พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.2 : วิหารม้าเทวดา
โดย : พงศกร
พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้
การเดินทางไปยังซัมเซ เริ่มต้นขึ้นอย่างเร่งรีบในเช้ามืดของวันถัดมา แขกชาวไทยทั้งสามพากันตื่นแต่เช้า ทุกคนรีบเช็คเอาท์ก่อนฟ้าสาง ในขณะที่แขกคนอื่นๆ ยังอยู่ในนิทรารมณ์
ขบวนเดินทางประกอบด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสองคัน คันแรกเยชิให้ลูกหาบของเขาเป็นคนขับ ในรถบรรจุสัมภาระที่จำเป็นทั้งหมด ส่วนตัวของเขาและคินซานั่งอยู่ในรถคันที่สองพร้อมกับคณะเดินทางจากประเทศไทย
รถคันแรกแยกไปรับอาหารสดในตลาด ก่อนจะตามมาสมทบที่จุดนัดหมาย จากนั้นรถทั้งสองก็ขับตามกันไป ทิ้งระยะห่างพอมองเห็น
คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามถนนสายทิมพู-พาโร ถนนในช่วงแรกยังสามารถใช้การได้ปกติ เมื่อถึงจุดพักรถก่อนเข้าตัวเมืองพาโร เยชิจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางสายรองแทน
สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ บางช่วงเป็นทุ่งโล่งเห็นสีน้ำเงินของป๊อปปี้ขึ้นกระจายเต็มท้องทุ่ง เยชิเห็นนารีญาทำท่าอยากถ่ายรูป เขาเลยแบบแตรให้สัญญาณรถคันหน้า ก่อนที่คณะเดินทางจอดแวะให้ลูกทัวร์ชาวไทยได้ลงไปเก็บภาพทุ่งดอกป๊อปปี้
“อูย” นารีญาเกรงใจ “ไม่ต้องลงก็ได้ค่ะ”
“พอแวะได้อยู่ครับ…รีบถ่ายแล้วรีบไปต่อก็แล้วกัน” เยชิส่งยิ้มให้หญิงสาวชาวไทย “เดือนนี้เดือนเดียว ที่ป๊อปปี้สีน้ำเงิน พร้อมใจกันบานเต็มท้องทุ่ง ถ้าพวกคุณมาเดือนอื่นจะไม่เห็นภาพแบบนี้”
“ขอบคุณค่ะ” นารีญารับปากแล้วกระโดดลงรถอย่างว่องไว
ลูกหาบทั้งสี่ในรถคันแรก ไม่มีใครลงมา พวกเขานั่งพักผ่อนอยู่ในรถ ปล่อยให้แขกในรถคันที่สองได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่
นารีญากวาดสายตามองไปรอบๆ และเริ่มถ่ายภาพวามประทับใจเก็บเอาไว้ แต่ครั้นจะถ่ายภาพวิวเฉยๆ นั้นไม่ใช่นารีญา ยังไงก็ต้องมีรูปเธอกับทุ่งดอกไม้สีฟ้าสวย สำหรับโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย นารีญาส่งมือถือให้ลิ่วลมและบอกเขาว่า
“กดรัวๆ เลยนะ”
“ไม่โพสต์หน่อยเหรอ” ลิ่วลมเลิกคิ้ว
“ไม่” รีญาส่ายหน่า “ฉันอยากให้ดูเหมือนภาพแอบถ่าย”
“แอบที่ไหนกัน” ลิ่วลมบ่น “ตั้งใจชัด”
“เถอะน่ะ จะบ่นไปทำไม เราไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ นะ…นี่ๆ ไม่เอาตรงนั้น…เดินมาทางนี้สินายลม มุมนี้สวยกว่า เห็นทุ่งป๊อปปี้ชัดกว่า” นารีญาชี้นิ้วบอก และลิ่วลมก็ยอมทำตามแต่โดยดี
นารีญาเดินลุยลงไปในทุ่ง นั่งลงกลางดงดอกป๊อปปี้สีน้ำเงินสวย ระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ไปเหยียบลำต้นอันแสนจะบอบบาง แสงแดดยามเช่ากำลังอุ่นสบาย สีทองของแสงอาทิตย์ก่อให้เกิดบรรยากาศงดงาม สองหนุ่มสาวเริ่มเพลินกับการถ่ายภาพจนลืมว่ายังมีธุระสำคัญรออยู่ข้างหน้า
“พอได้แล้วเด็กๆ” อัญญาวีร์ปล่อยให้หลานสาวถ่ายภาพอยู่นานจนเริ่มเกรงใจเยชิและคินซา เมื่อเห็นไกด์ทั้งสองคนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เธอก็เรียกหลานสาวให้ขึ้นรถ “ไปกันต่อเถอะ อย่าเถลไถล เดี๋ยวจะผิดแผน”
เยชิตั้งใจจะพักรถที่ตาโชกัง ลาห์กัง (Tachogang Lhakhang) หรือที่คนภูฏานเรียกกันว่าวิหารม้าเทวดา
“วิหารม้าเทวดาเหรอครับ” ลิ่วลมพึมพำ เมื่อขบวนรถมาจอดลงที่ริมทางหลวงสายทิมพูพาโร
ลูกหาบในรถคันแรกยังนั่งอยู่บนรถ ไม่ได้ตามคณะเดินทางไปด้วย เยชิพาทุกคนเดินเท้าต่อไปอีกประมาณสิบนาที เพื่อจะนำทุกคนไปชมสะพานแขวนโบราณที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๓
“วัดนี้และสะพานแขวนที่พวกคุณเห็นอยู่ข้างหน้า คือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของพาโร เป็นแลนด์มาร์ดที่นักท่องเที่ยวที่มาภูฏาน ต้องแวะมาชมให้ได้สักครั้ง” คินซาชี้มือไปยังสะพานไม้เก่าแก่ ที่ทอดข้ามแม่น้ำไปยังวิหารไม้ขนาดกะทัดรัด “สะพานนี้สร้างโดยพระภิกษุที่ชื่อว่าทังทอง กยัลโป…ท่านเป็นทั้งพระ สถาปนิก แพทย์ วิศวกรและช่างเหล็ก”
ดวงตาของลิ่วลม นารีญา และอัญญาวีร์ทอดมองสะพานตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่ง
“ท่านทังทองเป็นคนแรกในภูฏานเลยก็ว่าได้ คิดสร้างสะพานแขวนแบบนี้ขึ้นมา” คินซาเล่าต่อ
“ตอนที่ท่านเริ่มทำสะพานรูปแบบใหม่ ผู้คนไม่เข้าใจ หาว่าท่านเป็นบ้า ใครจะมาเสียเวลายึดโยงสะพานแบบนี้” เยชิช่วยเล่า “เพราะก่อนหน้านี้ผู้คนสร้างสะพานไม้ธรรมดา เกิดอุทกภัยขึ้นเมื่อไร สะพานแบบนั้นก็มักจะถูกน้ำพัดจนพัง แต่สะพานแขวนแบบที่ท่านทังทองสร้างขึ้นมานี้ทนทานมาก เจอน้ำท่วมน้ำป่าก็ไม่พังเหมือนสะพานแบบเดิม ต่อมาเลยกลายเป็นต้นแบบให้เนปาล ธิเบต เอาสะพานแขวนแบบท่านทังทองไปสร้างในประเทศของตัวเองบ้าง”
ขณะที่คินซาและเยชินำทุกคนเดินข้ามสะพานไปยังวิหารฝั่งตรงข้าม นารีญาก็ยกมือถือของเธอขึ้นถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว ได้ภาพวิวจนพอใจแล้ว ก็ยกขึ้นถ่ายเซลฟี่ตัวเอง
“เอ๊ะ”
นารีญาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เมื่อนักท่องเที่ยวฝรั่งสี่ถึงห้าคน กับชายชาวอินเดียอีกหนึ่งคนโผล่เข้ามาทางด้านหลัง นารีญาจำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่เจอที่ Memorial Chorten ดูเหมือนวันนี้พวกเขาจะมีเพื่อนใหม่มาสมทบ เพราะมีฝรั่งหน้าใหม่อีกสามคนในกลุ่มที่นารีญาไม่เคยเห็นหน้า
นารีญารอจนพวกเขาเดินผ่านไปแล้ว จึงยกมือขึ้นถ่ายภาพเซลฟี่อีกครั้ง ก่อนจะรีบวิ่งไปสมทบกับอัญญาวีร์และลิ่วลมที่วิหารเก่าแก่
เยชิและคินาขออนุญาตเจ้าอาวาส พาแขกของเขาเข้าไปกราบพระบรมสารีริกธาตุและไหว้พระ อากาศวันนี้เย็นสบาย ภายในวิหารมีกรุ่นหอมของกำยานลอยอวลในอณูอากาศ ชาวไทยทั้งสามก้มกราบพระด้วยใจที่สงบ เยชิเล่าว่าปกติวิหารม้าเทวดาไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาสักการะพระพุทธรูป แต่จะต้องขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
“ที่ชื่อวิหารม้าเทวดา เพราะท่านทังทองมานั่งสมาธิอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วเกิดนิมิตเห็นม้าตัวใหญ่ ท่วงท่าสง่างาม เปล่งเสียงก้องเป็นกังวาน และมีรัศมีเรืองรองรอบตัวเหมือนไม่ใช้ม้าธรรมดา แต่เป็นม้าจากสรวงสวรรค์…ม้ามาปรากฏให้เห็นที่ฝั่งตรงข้าม ท่านก็เลยสร้างวิหารขึ้นมา ซึ่งก็คือวิหารที่เรากำลังไหว้พระอยู่นี่ละครับ”
“วัดนี้เป็นวัดส่วนตัวของท่านทังทอง”
ประโยคนั้นของคินซาช่วยตอบข้อสงสัยของลิ่วลมพอดี
“ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันก็เป็นลูกหลานของท่านทังทอง ตระกูลกยัลโปยังคงทำนุบำรุงวัดของท่านทังทอง และช่วยกันดูแลรักษามาจนถึงทุกวันนี้”
“ไหว้พระเสร็จแล้วเราไปกันต่อเถอะครับ” เยชิชวน เขาเห็นทุกคนไหว้พระขอพรกันเป็นที่เรียบร้อย คินซาบอกให้ทุกคนเข้าห้องน้ำและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เพราะจากนี้ไปจะเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านเข้าไปในป่าสน และไม่มีจุดสำหรับพักรถแบบนี้อีก
“เราจะพยายามไปให้ถึงจุดกางเต็นท์ก่อนตะวันตกดิน”
มีจุดกางเต็นท์สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่ใจกลางป่าใหญ่ เยชิคุ้นเคยเป็นอย่างดีเพราะเขาและลูกหาบที่เป็นลูกน้องเก่า เคยทำงานดูแลป่าในบริเวณนี้
“กินยาแก้เมารถกันไหมคะ” คินซาถามลูกทัวร์ของเธอ
“ดีค่ะ” อัญญาวีร์เป็นคนเดียวที่ขอยาแก้เมารถกินป้องกันเอาไว้ก่อน ขณะที่ลิ่วลมและนารีญาปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่” ลิ่วลมส่ายหน้า
“หนูไม่เคยเมารถ” นารีญาตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ฉันว่ากินสักหน่อยดีกว่า” คินซาคะยั้นคะยอ
คราวนี้ลิ่วลมลังเล เขามองหุบเขาที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปรับยาแก้เมารถมากิน ส่วนนารีญานั้นยังคงยืนกรานว่า
“ไม่กินค่ะ ฉันแข็งแรง…รับรองว่าไม่เมารถแน่นอน…”
เธอหัวเราะเสียงใส แล้วหันไปล้อลิ่วลมว่า
“โธ่เอ๊ย…นึกว่าจะแน่ ที่จริงก็ป๊อดนี่นา…”
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.2 : ฤดูแห่งดวงดาว
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 11.1 : อ้อมกอดแห่งขุนเขา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.2 : วิหารม้าเทวดา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.1 : ออกเดินทาง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.2 : Orchid Hunter
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1 : เหตุร้าย
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 8.2 : นิมิตของลิ่วลม
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 8.1 : พยับฟ้าโพยมดิน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 7.2 : Til the Earth through the Heavens
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 7.1 : เบาะแสของดอกไม้ทิพย์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 6.2 : พิพิธภัณฑ์ผ้าเคซัง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 6.1 : ภัณฑารักษ์จาก The MET
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.2 : ท่านครุ
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.1 : วิหารฟ้าคะนอง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 4.2 : เกาตัน ซับบา
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 4.1 : ฝากไว้
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 3.2 : เธอคือแสงตะวัน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 3.1 : ความทรงจำเหมือนม่านหมอก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.2 : วันฟ้ากระจ่าง
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.1 : มีเมฆบ้างเป็นบางวัน
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.2 : ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
- READ พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.1 : Udumbara - อุทุมพร ดอกไม้สวรรค์
- READ พยับฟ้าโพยมดิน : บทนำ