พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 26.2 : ถะถั่งหลั่งไหล

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 26.2 : ถะถั่งหลั่งไหล

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

เลือดสีดำเข้มยังทะลักออกมาจากแผลที่ดวงตาของปลายักษ์ ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง

อาการเจ็บปวดจากบาดแผลที่ดวงตา ทำให้ปลายักษ์ดิ้นรนรุนแรง จนลำตัวของมันไปฟาดเข้ากับหน้าผาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของลำธาร

โครม…

ครืนนน…

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อร่างของปลายักษ์กระแทกเข้ากับหน้าผาฝั่งตรงข้าม และลิ่วลมเห็นรอยปริของแผ่นหิน

ครืนนน…

ยิ่งดิ้นรน ปลายักษ์ก็กระแทกเข้ากับหน้าผาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พื้นดินที่ทุกคนยืนอยู่สั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว

พร้อมกันนั้น เกิดมีรอยแตกขึ้นบนผนังหน้าผาที่มีธารน้ำเล็กๆ ไหลมารวมกันเป็นธารน้ำสายใหญ่ ก็กลับปริแตกออกจากกันอย่างง่ายดาย ผนังหน้าผาที่ดูน่าจะแข็งแรง กลับเป็นเหมือนกับขนมปังกรอบที่ถูกแรงกระแทกแล้วแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ มวลน้ำมหาศาลที่พุ่งทะลักออกมาจากรอยแตกหลังหน้าผาเหมือนก๊อกแตก ลิ่วลมเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้ว หลังหน้าผาก็คืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และลำธารตรงหน้าของเขาเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของปริมาณน้ำทั้งหมดนั่นเอง

ครืนนนน…

เสียงมวลน้ำถะถั่งหลั่งไหล ทะลักทลายลงมาราวเขื่อนแตก พริบตาเดียวน้ำในลำธารก็เอ่อท่วมขึ้นมาถึงฝั่ง ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในขณะที่ปลายักษ์แน่นิ่งไปแล้ว

“เอาไงดี” เยชิหันไปปรึกษากับเชวัง

การจะเดินทางต่อไปตามแผนที่คิดเอาไว้ก็ทำไม่ได้ เพราะน้ำไหลพุ่งมาจากทางนั้น ถ้าจะให้เดินย้อนกลับไปทางเดิมคงไม่มีใครเห็นด้วย เพราะมีความเสี่ยงที่จะไปพบกับคนจาก Linn Plant อีกครั้ง ทั้งยังจะต้องไปเสี่ยงภัยกับอะไรอีกก็ไม่รู้ อีกอย่าง…จากจุดที่พวกเขากำลังยืนอยู่นี้ไปจนถึงถ้ำรังเซ เน ระยะทางก็อีกไม่ไกลแล้ว

“ชูชีพ” เชวังตะโกนแข่งกับเสียงน้ำ “มีชูชีพอยู่ในเป้ เอาออกมาสวมตอนนี้เลย”

ทุกคนรีบค้นสัมภาระของตัวเอง ในเป้ทุกใบมีชูชีพที่เชวังและเยชิเตรียมเอาไว้ให้ ตอนแรกที่ได้รับมาลิ่วลมนึกไม่ออกว่ามีความจำเป็นอย่างไร ถึงตอนนี้เขาต้องขอบคุณความรอบคอบของทีมไกด์

ลิ่วลมสวมชูชีพให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็หันไปช่วยนารีญาบ้าง ขณะที่เชวังกำลังช่วยอัญญาวีร์อยู่ทางด้านหลัง ใช้เวลาไม่ถึงอึดใจทุกคนก็สวมชูชีพเรียบร้อย พร้อมกับระดับน้ำท่วมขึ้นมาจนถึงเอวและเริ่มไหลแรงขึ้นทุกขณะ

เปรี๊ยะ!

ยังไม่ทันที่ใครจะได้ว่าอะไรต่อ เสียงเปรี๊ยะดังลั่น เมื่อแผ่นหินขนาดใหญ่อีกแผ่นหนึ่งบนหน้าผาแตกทลาย และครั้งนี้รุนแรงกว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมา เพราะมวลน้ำจำนวนมหาศาลกว่าเก่า พุ่งออกมารุนแรงราวเขื่อนแตก

น้ำท่วมสูงจนมองไม่เห็นกรวดอัญมณี ไม่เห็นร่างไร้วิญญาณของปลายักษ์ ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว นอกจาก น้ำ น้ำ และน้ำ

ราวกับว่าทุกคนกำลังอยู่กลางแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ขุ่นคลั่กราวกับโคลน

“พยายามพยุงตัวเอาไว้นะทุกคน” เชวังยังคงตะโกนบอกกับคณะเดินทาง เสียงของเขาถูกเสียงครืนครั่นลั่นเลื่อนของมวลน้ำกลบจนแทบไม่ได้ยิน ขณะที่ลูกหาบทั้งสามถูกกระแสน้ำพัดลอยลิ่วไปข้างหน้า ลิ่วลมจับมือนารีญาเอาไว้แน่น แต่หญิงสาวยังห่วงกล้องมือถือ ห่วงข้าวของในเป้ที่ยังถืออยู่ในมือ

“ทิ้งเป้ไปรีญา” เขาบอกหญิงสาว

“แล้วจะเอาเสื้อที่ไหน เอกสาร พาสปอร์ต เงิน…” นารีญายังทำใจไม่ได้

“จะเอาสมบัติหรือจะเอาชีวิตรอด” ลิ่วลมเอ็ด

นารีญาได้สติจึงยอมปล่อยเป้ให้ลอยหายไปในกระแสน้ำ เธอยังแอบเก็บโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ยัดมันเข้าไว้ในอกเสื้อ ไม่รู้ละ…ยังไงขอเก็บเอาไว้ก่อน…

“น้าอัญ น้าอัญ”

พอได้สติ เธอก็นึกถึงน้าสาว นารีญาถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นเชวังจับชูชีพของอัญญาวีร์เอาไว้ ก่อนจะลอยลับหายไปด้วยกัน

“อย่าเกร็งนะคุณ ปล่อยตัวสบายๆ” ลิ่วลมตะโกนบอก เมื่อเห็นว่านารีญาพยายามแข็งขืนตัวสู้กับกระแสน้ำ

หากในสภาวะเช่นนี้ ไม่มีทางจะสู้ได้อย่างแน่นอน นอกจากกระแสน้ำจะซัดรุนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ช่วงที่ไปเจอกับโขดหิน กระแสน้ำก็หมุนวน ดูดกลืนสรรพสิ่งที่เข้าใกล้ ม้วนเป็นเกลียวจมหายไป

“ฉันกลัว” นารีญาเสียงสั่น เธอไอแค่กๆ เมื่อกระแสน้ำตีจนหน้าคว่ำสำลักน้ำไปหลายอึก

“จับมือผมไว้” ลิ่วลมเอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวเอาไว้แน่น พยายามบังคับเสียงตัวเองเต็มที่ไม่ให้สั่น ไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าเขาก็กำลังกลัวเช่นกัน

คณะเดินทางถูกน้ำซัดลอยลิ่วไปข้างหน้า คนละทิศทางกับที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก เคราะห์ดีมากที่ทุกคนสวมชูชีพได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงจมน้ำตายไปตั้งแต่นาทีแรกแล้ว เพราะมีชูชีพ ทุกคนจึงลอยละลิ่วไปเรื่อยๆ ตามแต่กระแสน้ำจะพัดพาไปถึงไหน

เสียงครืนครั่น ดังสะท้านสะเทือน

ทางที่มวลน้ำมหาศาลพัดพาไปเป็นโพรงถ้ำดำมืด ลิ่วลมหวนนึกไปถึงตอนเป็นเด็กแล้วเล่นอุโมงค์น้ำที่สวนสนุก

มันเป็นแบบเดียวกันไม่มีผิด ต่างกันตรงที่อุโมงค์น้ำนั้นไม่ซับซ้อน ไม่วกวน ไม่น่ากลัวเท่านี้

โพรงถ้ำที่น้ำซัดพวกเขาลอยไปนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด บางตอนพุ่งดิ่งลงลึก บางตอนกลับยกขึ้นสูง แถมยังเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมา

เขาพยายามจะประคองตัวเองสุดความสามารถ พยายามยกศีรษะและอ้าปากหายใจเป็นจังหวะ หันไปดูก็พบว่านารีญาก็ทำแบบเดียวกัน ตอนนี้หญิงสาวหยุดโวยวายแล้ว เพราะรู้ว่าโวยวายไปก็ไม่ช่วยอะไร แถมยังทำให้คนอื่นเครียดไปด้วยเปล่าๆ

ในเมื่อต่อต้านไม่ได้ ก็ปล่อยตัวตามไปให้ถึงที่สุด

ลิ่วลมหันไปหานารีญา พยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเธอ หากทว่ากระแสน้ำซัดตัวเขาขึ้นสูงโดยกะทันหัน

จังหวะนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่โพรงถ้ำมีหินย้อยลงมาจากเพดาน

“โอ๊ะ…”

ลิ่วลมส่งเสียงร้องดังลั่น เมื่อศีรษะของเขากระแทกกับหินย้อยแหลมคมโดยแรง

ดวงตาของลิ่วลมพร่าพราย ขณะที่เขาพยายามประคองตัวเองไม่ให้จมลงไป

ของเหลวอุ่นๆ เหนียวๆ ไหลลงมาจากบาดแผลที่ศีรษะ กลิ่นคาวของมันบอกให้รู้ว่าเป็นเลือดสดๆ

แล้วก่อนที่ลิ่วลมจะทันได้ทำอะไร กระแสน้ำก็พัดพาร่างสูงใหญ่ของเขากระแทกเข้ากับผนังถ้ำอย่างรุนแรงอีกครั้ง

…จากนั้นทุกอย่างก็ดับมืดลง…



Don`t copy text!