พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1  :  เหตุร้าย

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 9.1 : เหตุร้าย

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“เป็นสัญญาที่แปลกประหลาดมาก” นารีญาพึมพำเมื่ออยู่ตามลำพังกับอัญญาวีร์ในห้องพักที่โรงแรม “น้าอัญว่าไหม” 

“นั่นสิ” อัญญาวีร์พยักหน้า พวกเธอกลับมาจากพิพิธภัณฑ์ของเคซัง ลุนดรัปตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน “แสดงว่าผ้าผืนนี้ต้องมีความสำคัญมาก คุณเคซังถึงได้เข้มงวดขนาดนี้” 

“ถ้าสำคัญแบบนั้น ทำไมถึงยอมยกให้เรามาง่ายๆ ก็ไม่รู้” นารีญายังไม่หายสงสัย 

“เขายกสำเนาคัดลอกให้มาจ้ะ” อัญญาวีร์แก้ให้ถูก “ไม่ได้ยกผ้าของจริงสักหน่อย” 

“นั่นแหละ” นารีญายักไหล่ “ก็ถ้ามันสำคัญขนาดนั้น…” 

“คงเพราะเขาอยากช่วยน่ะสิ ให้ของจริงก็ลำบากใจ จะไม่ให้เลยก็ไม่ได้ เลยยกสำเนาที่คัดลอกลายให้มาแทน” อัญญาวีร์เดา “เพราะถ้าไม่มีเบาะแสว่าดอกอุทุมพรขึ้นอยู่ตรงไหนของซัมเซ โอกาสจะหาตัวล่องเมฆก็ยากมาก” 

“ได้สำเนาลายผ้ามาก็ใช่ว่าจะง่ายขึ้น” นารีญายังนึกไม่ออก “สัญลักษณ์ในพยับฟ้าโพยมดินดูแล้วไม่เข้าใจเลยว่าหมายถึงอะไร” 

“คินซากับเยชิคงพอช่วยได้” อัญญาวีร์ฝากความหวังไว้กับไกด์สองคนนั้น 

“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะคะ ถอดรหัสได้จะได้เจอตัวล่องเมฆไวๆ” นารีญาพึมพำ “หนูลางานมาได้แค่สามสัปดาห์เองนะคะน้าอัญ วันหยุดพักร้อนตลอดทั้งปี บวกกับวันหยุดนักขัตฤกษ์…ถ้าสามสัปดาห์แล้วยังไม่เจอตัว หนูคงต้องบ๊ายบาย ขอกลับบ้านก่อน” 

“ถึงตอนนั้นคงเจอแล้วน่ะ” ถึงปากจะพูดกับหลานสาวเช่นนั้น หากในใจของอัญญาวีร์ก็อดจะหวั่นวิตกมิได้ เพราะหนทางไปถึงซัมเซอาจใช้เวลามากกว่าที่คิดเอาไว้ในตอนแรก 

“ว่าแต่สัญญาสามข้อนี่…หนูยังติดใจอยู่เลยนะน้าอัญ มันแปลกมาก” นารีญายังบ่นเรื่องเดิม  

“แต่สัญญาทั้งสามข้อ ก็ไม่ได้ยากเกินไปไม่ใช่หรือ” อัญญาวีร์หวนนึกไปถึงคำมั่นที่เคซัง ลุนดรัปขอให้ลิ่วลมรับปาก 

“ถ้าลิ่วลมคิดว่าทำได้ ก็แล้วแต่เขา” นารีญายักไหล่ “ไม่เกี่ยวอะไรกับหนู” 

“เราเนี่ยน้า” อัญญาวีร์หัวเราะเบาๆ “เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นกันแต่เช้า” 

คินซาและเยชินัดทุกคนมาพบกันที่ล็อบบี้โรงแรม เพื่อประชุมวางแผนการเดินทางไปซัมเซ ท่าทางของเยชิดูจะเคร่งเครียดกว่าใคร เพราะการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไปเส้นทางปกติ แต่จะต้องใช้เส้นทางอ้อมภูเขา ผ่านป่าใหญ่ เพราะเส้นทางสายหลักเสียหายไม่สามารถผ่านได้ ครั้นจะรอเวลาให้ซ่อมทางเสร็จก็ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งลิ่วลมไม่มีเวลารอนานขนาดนั้น  

…ทุกนาทีสำหรับชายหนุ่มหมายถึงชีวิตของล่องเมฆ… 

นารีญาเข้านอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว อากาศที่ภูฏานเย็นสบาย บริสุทธิ์สะอาด สูดลมหายใจเข้าไปรู้สึกได้ถึงความสดชื่น  

เธอตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนเจ็ดโมงเช้า แต่นารีญาต้องสะดุ้งตื่นก่อนนาฬิกาปลุก เพราะเสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนของใครบางคน 

“ค่า…มาแล้ว มาแล้ว…รอประเดี๋ยวค่า แหม ใจร้อนจริง”  

นารีญาลุกจากเตียง เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับชุดนอน ขณะที่อัญญาวีร์เปิดประตูห้องน้ำออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น 

“อุ๊ย” 

หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ…ตกใจจริงๆ เพราะที่เคาะประตูห้องของเธอนั้นเป็นชายวัยกลางคนสองคน ดวงหน้าของพวกเขาเข้มขรึม คนหนึ่งไว้หนวดหนาเหนือริมฝีปาก อีกคนมีเคราที่คาง ทั้งสองสวมชุดประจำชาติที่ตัดเป็นเครื่องแบบเหมือนกัน ดูจากเครื่องหมายที่ประดับบนหน้าอกและบ่า นารีญาคิดว่าทั้งคู่เป็นตำรวจ 

“ขออภัยที่ต้องรบกวนมิสครับ” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษชัดถ้อยชัดคำ “ผมร้อยตำรวจเอกจิกมี ซิงห์หา กับลูกน้องของผมร้อยตำรวจโทดอร์จี นัมเกล…เราขอเชิญมิสทั้งสองลงไปสอบปากคำข้างล่างหน่อยครับ” 

นั่นไง…ตำรวจจริงๆ เสียด้วย 

“เดี๋ยวก่อนนะคะ…สอบปากคำ…เรื่องอะไรคะ” อัญญาวีร์เดินมาสมทบกับหลานสาว ดวงตาองเธอกวาดมองชายทั้งสองด้วยท่าทางระมัดระวัง “เกิดอะไรขึ้น” 

“มีคนบุกรุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ผ้าลุนดรัปเมื่อคืนที่ผ่านมา ทำร้ายพนักงานและยามได้รับบาดเจ็บ” ผู้กองจิกมีเล่าสั้นๆ “พวกคุณคือแขกชุดสุดท้ายที่ไปเยือนพิพิธภัณฑ์ เราเลยอยากขอสอบปากคำพวกคุณสักเล็กน้อย” 

“แล้วคุณเคซังเป็นอย่างไรบ้าง” อัญญาวีร์เป็นห่วงชายคนนั้น 

“บาดเจ็บเล็กน้อย แอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาล” ร้อยตำรวจเอกเจ้าของคดีถอนใจเบาๆ ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางห่วงใยจริงๆ เลยอธิบายเพิ่มเติมว่า “ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่ห้ามคนเยี่ยม” 

“เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน” อัญญาวีร์พึมพำ มือไม้สั่น เธอจับมือหลานสาวเอาไว้แน่น แล้วพากันเดินตามตำรวลงไปที่ล็อบบี้ชั้นล่าง 

เพื่อไม่ให้เป็นการเอิกเกริกจนแขกคนอื่นตกใจ ทางโรงแรมเลยเปิดห้องประชุมเล็กให้ตำรวจใช้สอบปากคำ ลิ่วลมนั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ทันทีที่ชายหนุ่มเห็นอาจารย์ของเขาและหลานสาวเดินตามตำรวจลงมา ลิ่วลมก็ผุดลุกขึ้นรวดเร็ว 

“อาจารย์…” เขาพึมพำ 

“นี่มันอะไรกัน” อัญญาวีร์กระซิบถาม และลิ่วลมได้แต่ส่ายหน้า 

“ผมก็ไม่รู้ครับ” 

ชายหนุ่มอยู่ในชุดลำลอง เห็นได้ชัดว่าตำรวจไปเรียกเขาลงมาจากห้องนอนเช่นกัน 

“ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือนะครับ” ร้อยตำรวจเอกจิกมีเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่างที่ผมได้เล่าให้ฟังไปแล้ว…เมื่อคืนนี้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์เคซัง ทำร้ายพนักงานและยาม รวมถึงทำร้ายคุณเคซังด้วย พวกมันพยายามค้นหาอะไรบางอย่าง แต่ไม่น่าจะหาไม่พบ เพราะสุดท้ายพวกมันก็กลับไปโดยไม่ได้เอาอะไรไปด้วยเลย” 

“แล้วคุณเคซังล่ะคะ พวกมันทำอะไรเขา” อัญญาวีร์ใจหาย นึกไปถึงดวงหน้าสุขุมลุ่มลึกของชายวัยกลางคนผู้นั้น 

“คนร้ายใช้ด้ามปืนตีเข้าที่ศีรษะของคุณเคซังครับ” ตำรวจเล่าออกมาในที่สุด “พวกมันคงวางแผนจะจับตัวเขาเพื่อคาดคั้นให้หยิบของสำคัญให้ แต่คุณเคซังมีสติ เขาแกล้งหมดสติ พอพวกมันเผลอก็รีบหลบพวกมันไปที่รถแล้วขับหนีไปที่โรงพยาบาล ระหว่างทางก็โทรไปแจ้งตำรวจว่ามีคนร้ายบุกไปที่บ้าน ตอนขับรถไปถึงโรงพยาบาล คุณเคซังเสียเลือดมากจนหมดสติไป หมอกับพยาบาลรีบพาตัวเข้าห้องฉุกเฉิน เขาเลยได้รับการรักษาทันท่วงที” 

“แล้วตำรวจไม่มีเบาะแสอะไรเลยหรือคะ” นารีญาอดถามไม่ได้ 

“ตอนที่พวกเราไปถึง คนร้ายไม่อยู่แล้วครับ มียามถูกยิงบาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน พนักงานของคุณเคซังบาดเจ็บเล็กน้อยอีกสองคน ทั้งสองยังตกใจมาก สับสนและหวาดกลัวเสียจนให้การอะไรไม่ได้ กล้องวงจรปิดเสีย เราไม่รู้เลยว่าคนร้ายคือใคร” 

“แล้วพวกคุณคิดว่าพวกฉันคือคนร้ายหรือไง” นารีญาถามตรงๆ ตามนิสัย “ถึงต้องมาสอบปากคำแต่เช้าแบบนี้” 

“ก็มีความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือครับ” คำตอบตรงๆ ของนายตำรวจหนุ่ม ทำให้นารีญาถึงกับเงียบไป 

“ตอนนี้เราต้องสงสัยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณเคซังเอาไว้ก่อน” ร้อยตำรวจเอกจิกมีพูดต่อ เขาหันไปสบตาลูกน้องแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิมว่า “อีกอย่างผมจำเป็นต้องทำตามหน้าที่ พวกคุณคือแขกชุดสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ หลังจากพวกคุณกลับไปได้ไม่นานก็เกิดเหตุร้ายขึ้น ผมอยากสอบถามรายละเอียดจากพวกคุณให้มากที่สุด เพราะบางทีอาจจะมีเบาะแสให้รู้ว่าคนร้ายคือใคร และบุกเข้าไปด้วยวัตถุประสงค์อะไรกันแน่…” 



Don`t copy text!