เพลงเงาดอกงิ้ว บทที่ 5 : ลาวดำเนินทราย
โดย : คีตาญชลี แสงสังข์
เพลงเงาดอกงิ้ว นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของศัลยแพทย์หนุ่มที่ถูกใส่ร้ายให้กลายเป็นฆาตกรโหด เขาจะหาความจริงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ไหม หากว่าไม่…ชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไป พร้อมกับสูญเสียหญิงสาวที่รักที่สุดไปด้วย
วันนี้คิมหันต์ไม่ต้องเข้าเวร เขาเตร็ดเตร่อยู่ในโรงพยาบาลจนห้าโมงเย็นก็เดินกลับบ้าน สวนกับส้มและราตรี สองพยาบาลที่มักเข้าเวรด้วยกันเป็นประจำ
“กลับบ้านแล้วหรือหมอคิม” ราตรีพยาบาลร่างท้วมและอาวุโสกว่าเอ่ยทัก
“ครับ พี่เข้าเวรเหรอ ทำไมมาเร็วจัง”
“คนมันขยัน” เธอว่าพลางหัวเราะคิกคัก
“แล้วนี่ขยันกันทั้งคู่เลยเหรอ” คิมหันต์แหย่ เขาหันไปทางพยาบาลสาวร่างชะลูด หล่อนยิ้มอายตอบเขากลับว่า ที่ทั้งคู่มาเร็วเพราะจะมาเอาของที่ฝากเพื่อนพยาบาลนางหนึ่งซื้อให้จากกรุงเทพฯ
คิมหันต์พยักหน้ารับแล้วเดินต่อ ปลายเดือนธันวาคมอุณหภูมิลดต่ำลงไปอีก คราวนี้คิมหันต์ตัดสินใจติดเครื่องทำน้ำอุ่น โดยมีนายสมที่ดูเหมือนจะทำเป็นหมดทุกอย่างเป็นผู้ดำเนินการให้
ทุ่งฉลองฤดูนี้งดงามอย่างที่คิมหันต์ไม่เคยนึกฝันมาก่อน ยามเช้าอวลไอด้วยสายหมอก ยามสายฟ้าใสจนไม่เห็นเมฆและเมื่อกลางคืนมาถึง ดาวก็สว่างกระจ่างตากว่าที่คิมหันต์เคยเห็นมาทั้งชีวิต นายสมเล่าอย่างหมื่นๆ ว่า มันเป็นฤดูที่ทำให้ตัวเขาได้เมีย เพราะช่วงเวลานี้มืดเร็วและสุดแสนจะโรแมนติก
สามสิบกว่าปีก่อน ฤดูหนาวของทุ่งฉลองสวยงามและหนาวกว่านี้มาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องใส่เสื้อกันหนาวกันทั้งวัน หนาวจนควันฉุยออกปาก วันไหนไปโรงเรียนก็ต้องนั่งเรียนกลางแดด ถุงเท้าก็ต้องใส่ซ้อนกันสองชั้น เพราะห้องเรียนเป็นพื้นปูนขัดมันเย็นยะเยือก เหยียบลงไปก็แข้งขาแข็ง หนาวเข้าไปถึงกระดูก
ช่วงฤดูหนาววันไหนครูใจดี ตอนเช้าก็จะต้มนมถั่วเหลืองแจกให้นักเรียนได้ดื่มร้อนๆ เมื่อถึงตอนเย็นก็ต้องรีบอาบน้ำ แม่จะต้มน้ำผสมเป็นน้ำอุ่นให้ อาบกันจนผิวแตกลายงา ต้องใช้น้ำมันมะกอกขวดละ 5 บาทหรืออย่างดีก็โลชั่นยี่ห้อสปริงซองมาทาแขนขา หลังอาบเสร็จก็มานั่งล้อมวงกินข้าวกันหน้าทีวี กินเสร็จก็นอนห่มผ้าดูละครบ้าง เล่านิทานบ้าง บางวันปู่กับย่าจุดไฟผิง ทั้งคนทั้งสัตว์ก็มาล้อมอยู่รอบกองไฟ แมวบางตัวหนาวจัดนอนใกล้ไฟจนขนไหม้ หมาก็เข้ามาเบียดคนครางหงิงๆ หนาวจนน่าสงสาร
ในกองขี้เถ้านั้นมีสารพัด ทั้งกล้วยปิ้ง มันมู้ มันเทศ บางทีก็มีข้าวหลาม ข้างกองไฟผู้ใหญ่คุยกันสัพเพเหระ เรื่องอากาศหนาวบ้าง เรื่องบ้านเมืองบ้าง ส่วนเด็กก็เบียดพ่อแม่นั่งกินของร้อนๆ บางครั้งงีบหลับข้างกองไฟไปก็เคย
ยิ่งช่วงปลายปี บรรยากาศมีแต่ความสนุก ทั้งลอยกระทง คริสต์มาส ปีใหม่ พอใกล้สิ้นปีเสียงเพลงปีใหม่จะดังให้ได้ยินไปทั่ว ทั้งจากทีวี วิทยุและจากร้านค้า เด็กชายสมจะไปเดินเลือก ส.ค.ส.ส่งให้เพื่อนบ้าง แอบส่งให้สาวที่เล็งเอาไว้บ้าง ความสุขมียาวไปจนถึงวันเด็ก ก็จบฤดูหนาวพอดี
“แล้วไปได้เมียตอนไหน” คิมหันต์เย้าเมื่อเห็นนายสมเล่าอย่างเมาน้ำลาย
“ก็ตอนเข้าวัยรุ่นไงหมอ หนาวเนื้อห่มเนื้อมันถึงจะหายหนาว” เขาพูดทะเล้นๆ “ปีนี้ก็หนาวมากนะหมอ ไม่แน่…อาจจะกลับมาหนาวเหมือนปี 41 ก็ได้ หมอต้องเล็งๆ เอาไว้บ้าง หนาวผู้หญิงน่ะมันหนาวจนอกสะท้านจะหาว่าผมไม่เตือน”
คิมหันต์หัวเราะ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงหาเนื้อมาห่มได้ง่ายๆ ตามสถานบันเทิง…เต้นๆ คั่วๆ ชนแก้ว ก็ได้เนื้อมาโดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือติดค้าง แต่พอเป็นที่นี่เขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปหาเนื้อที่ไหนมาห่มได้ง่ายๆ
อีกอย่างเรื่องที่เขาเพิ่งเจอมา ใหญ่โตเกินกว่าที่เขาจะเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ ไม่ว่าจะแบบเล่นๆ หรือแบบไหนก็ตาม…ชายหนุ่มเลยบอกนายสมกลับว่า “ทำงานให้มากหน่อย เดี๋ยวก็หายหนาวเอง”
“หมอไม่เหมือนผมร้อก…” นายสมว่า “หมอเป็นสุภาพบุรุษ”
“ไม่ใช่หรอก” คิมหันต์แก้ นายสมสั่นนิ้วชี้ไปมา
“คนดีๆ เขาก็พูดกันแบบนี้แหละ ตั้งแต่มาผมก็เห็นแต่หมอก้มหน้าก้มตาทำงาน แม่สาวๆ พยายามเข้าหา มองตาเป็นมัน ไม่เห็นหมอจะสนใจมอง เป็นผมหน่อยไม่ได้” คิมหันต์ได้ยินก็หัวเราะกว้าง
“ใครกัน…ไม่เห็นจะรู้เรื่อง”
“ช่างมันเถอะ เด็กมันใจแตกน่ะ หมอไม่เห็นก็ดีแล้ว อ้อ…แต่ถ้าหมอไม่กลัวหนาว ผมหมายถึงหนาวอากาศ ไม่ได้หนาวผู้หญิง ผมจะชวนไปวิดสระ เสาร์หน้าหมอหยุดไหม”
“เอ…ไม่แน่ใจนะ ต้องดูตารางเวรก่อน วิดสระงั้นเหรอ”
“บ้านไอ้ลอยมันจะถมที่สร้างบ้าน มันมีสระอยู่ลูกหนึ่ง เลยว่าจะหวิดเอาปลาก่อนถม ไปสนุกด้วยกัน ทำไม่เป็นไปยืนดูก็ได้ ผมจะทำน้ำจิ้มสูตรเด็ดเอาไว้ให้หมอชิม”
ตอนนั้นเขาแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่แน่ใจจะชอบวิดสระเท่าตกปลาด้วยเบ็ดหรือเปล่า เพราะฟังดูแล้วน่าจะต้องลุยโคลน แต่เมื่อกลับมาถึงหน้าบ้าน พระอาทิตย์ลับลงดินและลมหนาวก็พัดวูบผ่านทุ่งเข้ามาจนปากคอเริ่มสั่น เขาเลยนึกอยากจะไปพบเจอผู้คน และอยากจะมีบรรยากาศข้างกองไฟอย่างนายสมบ้าง
อาจเป็นเพราะบรรยากาศ เมื่ออาบน้ำกินข้าวเสร็จคิมหันต์ก็เปิดหาหนังรักดูจากแอปพลิเคชันสตรีมมิงที่เป็นสมาชิกอยู่ แต่ดูไม่ทันจบเขาก็เบื่อ เลยปิดโทรทัศน์แล้วหันไปเปิดหน้าต่างฟังเสียงแมลงกลางคืนแทน
เพิ่งสามทุ่ม แต่เงียบแสนเงียบ คิมหันต์แหงนมองฟ้า ดาวหน้าหนาวงดงามอยู่กลางนภากาศ คนเมืองอย่างเขาไม่เคยเห็นดาวมากมายขนาดนี้มาก่อน ทว่าความงามก็ทำให้แสนเหงา
เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์แล้วตัดสินใจเดินลงไปในสวน แต่ระหว่างที่สวมรองเท้าและหูสดับเสียงน้ำไหลจากคลองหลังบ้าน เขาก็แว่วยินเสียงเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง มันกำลังบรรเลงเพลงที่เขาไม่รู้จัก คิมหันต์เดินตามเสียง กลิ่นดอกพะยอมทำใจของเขาเพริดไป กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่เขาก็เดินเข้ากำแพงวัดมาอยู่หน้าบ้านพักครูหลังหนึ่งแล้ว
เขาทอดตามอง ไฟสีส้มในบ้านสว่างวอมแวม สาดแสงพอให้เขาได้เห็นหญิงสาวผมยาวสยาย มือหนึ่งจับคันทวนมือหนึ่งจับคันชักของซออู้นั่งอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน กลิ่นดอกพะยอมรวยรื่นมาจากต้นไม้ใหญ่ที่เธอนั่งอยู่ และดูเหมือนเธอจะเพลินกับซอและตัวของเธอเองโดยไม่สังเกตเห็นใครเลย
คิมหันต์ยืนฟัง มุมที่เขายืนอยู่ทั้งมืดและหนาว เขาแน่ใจว่าการมาของเขาจะไม่มีทางรบกวนเธอ
เพลงที่เธอเล่นมันชื่อเพลงอะไรหนอ สำเนียงซอของเธอช่างขมขื่น ทำนองเพลงนั้นหวานอมเศร้า เขาเพลินตา เพลินหู เพลินมองใบหน้านิ่งงามเสียจนหัวใจหวามไหว รู้สึกราวใครเหวี่ยงหินลงหัวใจดังจ๋อม แล้วเกิดคลื่นกระเพื่อมแผ่วับวับออกไปเป็นวง
ใครกัน คนหรือนางไม้เขาไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้เธอกำลังสะกดเขา ติดตรึงอยู่ตรงนั้น ไม่อาจขยับไปไหนอีกแล้ว
“ครูคิด…” เสียงหนึ่งดังออกไปไม่ห่าง คิมหันต์สะดุ้ง ชื่อที่เขารู้จักดีนั้นทำให้เขาหันไปตามเสียง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหญิงผิวขาวหน้านวลรูปร่างกะทัดรัดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน หล่อนยืนห่างจากเขาไปราวๆ สามเมตรและกำลังเรียกชายหนุ่มข้างหน้าที่เขารู้จักดี
คริษฐ์ ไอ้ครูหน้ากวน ปากกว้าง
หมอนั่นกำลังยืนเอามือยัดกระเป๋าแจ็กเก็ตเพลินอยู่กับภาพใต้ต้นไม้ นอกจากจะไม่เห็นคิมหันต์แล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงของผู้หญิงด้านหลังอีกด้วย จนเธอเอ่ยเรียกอีกครั้ง เจ้าของชื่อจึงมีอาการสะดุ้ง หันไปตามเสียง
“ครูเจน…” คริษฐ์เบิกตาด้วยความตกใจนิดๆ กระนั้นสิ่งที่หลุดออกจากปากก็แผ่ว ราวกับกลัวว่าคลื่นเสียงของตัวเองจะรบกวนเสียงเพราะพลิ้วของซอ
คนที่ชื่อครูเจนมองหน้าคริษฐ์ทีหนึ่ง แล้วในที่สุดก็หันไปเห็นคิมหันต์ที่ยืนเก้กังในมุมมืดถัดไปไม่ไกลนัก
คริษฐ์มองตามสายตาหญิงสาวที่ชื่อครูเจน เมื่อเห็นคิมหันต์ ตาเชื่อมๆ ที่เขาเผลอมองหญิงสาวใต้ต้นไม้ก็เบิกกว้างขึ้น
ชายหนุ่มทั้งสองจ้องตากัน ค้างอยู่คู่หนึ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายฝืดลงคอ คิมหันต์รู้สึกเสียหน้า ราวกับกำลังโดนใครบางคนแฉความลับ
คิมหันต์รีบแก้ตัว
“ผมเดินตามเสียงซอมา”
“ฮือ” คริษฐ์ส่งเสียงรับ ทำเอาเจ้าขาหรือครูเจนหัวเราะสนุก
“ใครๆ ก็ตามเสียงซอมา แหม่…เสียงซอของครูแนทยิ่งกว่าปี่พระอภัย”
“นั่นครูแนทหรือ” คิมหันต์ตกใจ ไม่อยากจะเชื่อ เขาหันกลับไปมองหญิงสาวใต้ต้นไม้อีกครั้ง
เป็นเธอจริงๆ เขาไม่เคยเห็นเธอปล่อยผมมาก่อน ไม่เคยเห็นเธอสวมผ้าถุงนั่งพับเพียบ ไม่เคยเห็นเธอสวมเสื้อยืดตัวจิ๋ว มันรัดรึงเรือนร่างดูราวกับนางในวรรณคดีสวมเครื่องทรงอย่างประยุกต์ แล้วหลุดจากสมุดข่อย ผ้าผืนกว้างที่เธอคลุมศีรษะและหลังไหล่เอาไว้ทำให้เธอดูลึกลับ ยิ่งสีหน้าแบบนั้น เขาไม่เคยเห็นเธอหวานจับใจได้เหมือนคืนนี้
ไม่อยากจะเชื่อเลย หญิงสาวธรรมดา ดูเป็นทางการและจืดชืด จะน่าหลงใหลได้ถึงเพียงนี้
ระหว่างการตะลึงค้าง เสียงซอของเธอจบลงพอดี และเสียงกุกกักของชายหญิงทั้งสาม ก็ทำให้หญิงสาวใต้ต้นไม้หันมามอง
วัสสาน์ขยับผ้าให้ห่มคลุมร่างกายมิดชิดขึ้น ตอนนี้เธอเห็นพวกเขาสามคนแล้ว
“หมอคิม ครูคิดหรือคะ…มากันที่นี่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ไม่มีคำตอบจากคิมหันต์และคริษฐ์ มีเพียงเสียงอืออาของพวกผู้ชายบ้าใบ้ที่ทำอะไรไม่ถูก ครูเจนหรือเจ้าขาจึงช่วยสงเคราะห์ เธอเล่าว่าพวกหนุ่มๆ ตามปี่พระอภัยมา และแนะนำให้วัสสาน์ชวนแฟนคลับปี่พระอภัยเข้าไปในบ้าน
“เอาไปช่วยกินกล้วยบวชชีสิแนท กลัวไม่มีคนกินไม่ใช่เหรอ”
“อ่า…จ้ะ…” เธอรับคำเพื่อนร่วมบ้าน แล้วชวนพวกเขาเข้าด้านใน
กล้วยบวชชีร้อนๆ ทำให้ทุกคนอุ่นสบาย คิมหันต์คิดไปถึงเรื่องที่นายสมเล่าอวดว่า ทุ่งฉลองเมื่อก่อนนั้นโรแมนติกกว่าเดี๋ยวนี้ เขานึกอยากให้นายสมมาเห็นภาพที่เขาได้เห็นใต้ต้นไม้เมื่อกี้ และได้มานั่งกินกล้วยบวชชีร้อนๆ อย่างเขาบ้าง ว่ากันตามจริงเขาไม่ได้นึกถึงแค่นายสม แต่เขาอยากจะให้แก๊งเพื่อนนักล่าราตรีของเขาได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบนี้อย่างเขา คิมหันต์อาจจะไม่ใช่กวี บรรยายความงามของสิ่งใดไม่เก่ง แต่คำสั้นๆ ที่เขาอยากบอกเพื่อนๆ คือ ชดช้อย ลออตา…ไม่มีเสียงดนตรีคึกคัก ไม่มีความรู้สึกสาแก่ใจเวลาได้พ่นคำหยาบ เสียงซออู้ที่ครูแนทบอกว่าเพลงที่เธอบรรเลงนั้นชื่อลาวดำเนินทราย มันช่างหวานซึ้งละเอียดลออเหมือนทรายเม็ดงามจากเกาะแก้วพิสดาร และมันได้สร้างความสุขสมอย่างประณีตให้กับคิมหันต์ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“มีเนื้อร้องไหมครับ” เขาถาม
“มีเพลงดังยุคก่อนที่เอาทำนองไปใช้ค่ะ หมอคิมอาจจะเคยได้ยิน” เธอว่า คิมหันต์ขอให้เธอท่องให้ฟัง แต่อย่างที่ใครเขาว่ากัน ความสุขมันมักจะแสนสั้น ไม่ทันที่กล้วยบวชชีจะหมดถ้วย ไม่ทันจะได้สนทนา เสียงเอะอะก็ดังขรมขึ้นมาตรงหน้าบ้าน
พวกเขาวิ่งไปดู ก็ปรากฏชายหน้าแหลมร่างผอม ไม่ใส่รองเท้าร้องโวยวายด้วยอาการสติแตก
“ครู ช่วยเมียผมด้วย”
“อ้นเป็นอะไรหรือรุตน์” คริษฐ์ปราดออกมาถึงตัวชายหน้าแหลมเป็นคนแรก
“รถล้มครู…มันขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อของดองเซเว่น แล้วกลับมาล้มหน้าบ้าน เลือดออกเต็มเลย”
“ไปก่อนเลย เดี๋ยวปิดบ้านแล้วจะตามไป” ครูเจน เจ้าขาบอก เธอคว้าถ้วยกล้วยบวชชีที่สองหนุ่มวิ่งถือติดมือมาเข้าไปในบ้าน เมื่อถ้วยพ้นมือแล้วคริษฐ์ก็วิ่งนำทุกคนไปข้างหน้า
คิมหันต์วิ่งตามหลังอย่างคนไม่รู้ทาง จุดหมายปลายทางของคริษฐ์คือบ้านพักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่หลังอาคารเรียนพอดี คิมหันต์มารู้ภายหลังว่าเป็นบ้านพักครูคนเก่าซึ่งต่อเติมเสียจนใหญ่โตกว่าบ้านหลังที่วัสสาน์และเจ้าขาพักอยู่ ตอนนี้ครูท่านนั้นเกษียณแล้ว เมื่อไม่มีครูคนไหนมาอยู่ต่อ ภารโรงเมียหนึ่งลูกหนึ่งซึ่งกำลังจะมีคนที่สองอย่างนายรุตน์จึงได้เข้าไปอยู่แทน
แต่ตอนนี้คิมหันต์ไม่แน่ใจว่านายรุตน์จะได้มีลูกคนที่สองไหม เพราะเมียของเขาที่กำลังท้องแก่ นอนจมฝุ่นอยู่หน้าบ้านโดยมีลูกชายคนโตอายุไม่เกิน 7 ขวบนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ
คิมหันต์ตรงเข้าตรวจผู้เป็นแม่ ส่วนคริษฐ์นั้นตรงเข้าหาเด็กน้อย ครูหนุ่มอุ้มเด็กชายขึ้นปลอบแล้วส่งต่อไปให้วัสสาน์
คนไข้ค่อนข้างแย่ มีเลือดไหลชุ่มชุดคลุมท้อง คิมหันต์เงยหน้ามาบอกว่าต้องไปโรงพยาบาลด่วน คริษฐ์ที่ตัวสูงใหญ่กว่านายรุตน์มาก อุ้มหญิงท้องแก่ขึ้นมาจนตัวลอย ครูหนุ่มเดินกึ่งวิ่งมุ่งตรงไปยังกระบะสีดำ ปากก็ส่งเสียงเรียกคิมหันต์
“เร็วหมอ…”
คิมหันต์มองตาม นึกถึงคำพูดของแม่ที่ว่าคริษฐ์นั้น…หล่อเหมือนพระเอกคาวบอย
จริงของแม่ทุกอย่าง ครูปากกว้างนั่นดูแข็งแรง คล่องแคล่ว มีสติ และถ้าหมอนั่นมีปีก ก็คงจะโอบคลุมทุกคนที่อยู่ในที่นี้ไปแล้ว