หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 2 : ใครที่กลับมา (3)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

พอเจคปรากฏตัวหน้าห้องอีกครั้ง พวกแฟลตเมตก็ทักทายเสียงขรม ‘เจค! เพื่อนผู้หญิงคนนั้นของนายคนไทยใช่ไหม’

หนุ่มลาตินอเมริกายักคิ้ว ‘ที่เขาบอกสาวไทยยิ้มสวยนี่เรื่องจริงแฮะ’

เจคแค่นยิ้ม ‘เออ! ขอบุหรี่หน่อยสิ’

‘ปกติแกไม่สูบนี่ เมื่อวานก็หยิบที่ฉันทิ้งไว้ในครัวไปตั้งหลายตัว’ หนุ่มละตินควักซองบุหรี่หมายจะเคาะบุหรี่ให้ แต่เจคคว้าไปทั้งซองจนเรียกเสียงโวยวาย

‘เอาน่า เดี๋ยวซื้อใช้คืน’

เขาโบกซองบุหรี่ก่อนหายไปทางประตูหลังบ้าน ด้านนอกเป็นสนามหญ้า เตาปิ้งบาร์บีคิวตั้งทิ้งชิดรั้วข้างถุงขยะที่มีกระป๋องเบียร์อัดแน่น โต๊ะพลาสติกตัวยาวเต็มไปด้วยรอยขูดขีดกับเก้าอี้อีกหลายตัวสำหรับนั่งเอกเขนก แต่เจคกลับผ่านพวกมันไปแล้วเดินเลียบกำแพงบ้านจนถึงด้านนอกห้องตัวเอง นั่งแปะบนสนามหญ้าใต้หน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่บานเดียว บางสิ่งก็มีแค่เจ้าของห้องเท่านั้นที่รู้ ถ้าเปิดหน้าต่างไว้และนั่งตรงนี้จะสามารถได้ยินเสียงในห้อง ชายหนุ่มเริ่มสูบบุหรี่ ควันบางๆ ถูกปล่อยขึ้นฟ้าตอนที่เสียงสะอื้นของหญิงสาวลอยแว่วมา เจคหรี่ตาลง ควันสีเทาอำพรางความรู้สึกบนใบหน้า อัดบุหรี่เข้าปอดถี่ยิบราวอยากระบายความโกรธเกรี้ยวที่สุมเต็มอก

แต่เขากำลังโกรธใครกันแน่ เป็นตัวเองหรือโชคชะตา จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ตอบไม่ได้…

 

สักชั่วโมงวิมลินค่อยออกมาหาเจคที่สนามหลังบ้าน ชายหนุ่มยังนั่งตำแหน่งเดิม รับกระป๋องเบียร์ที่หญิงสาวยื่นให้

‘เพื่อนคุณฝากมาค่ะ’

‘ขอบคุณ ผมเป็นเจ้าบ้านที่แย่มากลืมถามคุณอยากดื่มอะไรไหม’

‘พวกเขาชวนดื่มเหมือนกันแต่ฉันขอกาแฟดีกว่า เพื่อนบอกคุณชงทิ้งไว้ในเหยือกตั้งเยอะ รู้ไหมคุณชงกาแฟอร่อยนะคะ’

วิมลินถอดโคตวางทิ้งในห้องเหลือแต่เสื้อคอเต่าและกางเกงขายาว สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผิวหญ้ามาหย่อนตัวข้างเขา มือถือแก้วกาแฟกับจานรองพร้อมสรรพ แก้วกระเบื้องแบบที่มีลายดอกไม้สวยๆ เสียด้วย เจคอาศัยที่นี่มาตั้งนานไม่เคยเห็นมันสักครั้ง ไม่รู้พวกแฟลตเมตสรรหาขุดมาจากไหน

หญิงสาวนั่งชันเข่าบนสนามหญ้า ประคองจานรองสีขาวพลางหลุบตาละเลียดกาแฟ ใกล้จนเห็นกระทั่งแพขนตาเรียงทีละเส้น มุมปากยกยิ้มนิดเดียวแทบสังเกตไม่เห็น กลับทำเอาเขาอยู่ไม่สุขจนเผลอขยับตัว แต่สัมผัสคันยุกยิกของหญ้าใต้ฝ่าเท้าราวจะลุกลามขึ้นแตะหัวใจแผ่วเบา…ไม่ยอมจางหาย

เจคแค่นหัวเราะในคอ ตอนที่คิดว่ารอยยิ้มครั้งแรกของวิมลินนับจากเจอหน้ากันดันมีให้แฟลตเมตแทนที่จะเป็นตัวเขาก็น่าหงุดหงิดอยู่หรอก แต่ถ้าลองไตร่ตรองดู การที่เธอยอมนั่งคุยกับเขาดีๆ ไม่ด่ากราดอาละวาดใส่หรือแม้กระทั่งซัดผัวะสักสองสามตุ้บ ก็สมควรยกย่องความใจเย็นของหญิงสาวมากแล้ว

‘ข้างนอกหนาว กลับเข้าข้างในไหมครับ’

‘ไม่เป็นไรค่ะ’ วิมลินเงยมองฟ้า ‘ลมเย็นๆ ช่วยสมองโล่งขึ้นเยอะเลย’

เขาแอบมองอีกครั้ง หญิงสาวคงแต่งหน้าใหม่จึงดูสดใสขึ้น แต่ถ้าสังเกตอีกนิดจะยังเจอรอยแดงๆ ตรงขอบตา ถึงกระนั้นเธอก็ดูสงบคล้ายพอทำใจเรื่องพี่ชายได้บ้างแล้ว

ชายหนุ่มเกรงใจจึงดับก้นบุหรี่กับดิน ‘เราจะเจรจากันดีๆ ได้หรือยังครับ’

‘ไม่รู้ควรเริ่มต้นคุยกับคนที่ทำแผนฉันพังไม่เป็นท่ายังไงเลยค่ะ’

จู่ๆ เจคก็ชักอยากบุหรี่ตัวใหม่เสียแล้วสิ ‘ผมยินดีไปยืนยันกับบุหรงกาญจน์เรื่องที่แคนเสียชีวิต ถ้าต้องรับผลอะไรผมพร้อมรับผิดชอบคนเดียว ส่วนคุณจะได้หุ้นพ่อไปทั้งหมด ก็ถูกต้องเหมาะสมแล้วนี่ครับ’

‘คุณไม่เข้าใจ ฉันต้องการแค่อย่างเดียว หาคนขวางการเป็นขึ้นประธานบริษัทของลุงเสริฐที่รักษาการแทนพ่ออยู่ตอนนี้ แต่พี่แคนไม่อยู่แล้ว’

‘อ้าว พี่ชายตาย น้องสาวอย่างคุณก็สืบทอดตำแหน่งต่อจากพ่อสิครับ หรือบุหรงกาญจน์ยังหัวโบราณจะยกตำแหน่งให้แต่ลูกชาย ไม่น่ามั้ง เพราถ้าหัวโบราณจริงพ่อคุณที่เป็นน้องคนที่สามคงไม่ได้ขึ้นเป็นประธานตัดหน้าพี่ชายคนรองอย่างลุงเสริฐอะไรนั่น’

‘จริงๆ พ่อเคยอยากวางตัวฉันเป็นทายาทแทนพี่แคนที่หายตัวไป แต่โชคร้ายฉันรับผิดชอบงานแรกก็ทำพลาดจนบริษัทเสียหาย เรื่องเลยชะงักไปเงียบๆ’

เขาคุยไปดื่มเบียร์ไป ‘ถึงผมไม่มีความรู้แต่ทำธุรกิจมันคงพลาดกันได้บ้าง พวกผู้บริหารก็ญาติๆ คุณทั้งนั้นทำไมใจแคบจัง’

‘พลาดทีหนึ่งสูญร้อยกว่าล้านเลยนะคะ’

เจคแทบสำลักเบียร์ รีบหันขวับมองเธอ วิมลินยังนั่งจิบกาแฟหน้าตาเฉยราวกับเมื่อกี้เพิ่งพูดว่าร้อยบาท…ไม่ใช่ร้อยล้าน!

หญิงสาวถอนใจเบาๆ ‘ก็นั่นแหละค่ะ แม้มีสิทธิ์ถูกต้องเหมาะสมยังไงคงไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนยอมให้คนแบบนั้นขึ้นเป็นประธานหรอก’

‘ตะ…แต่พ่อคุณถือหุ้นเยอะสุดนะ ถ้าคุณรับไปทั้งหมดแล้วทำหน้าหนาๆ หน่อยก็ดันตัวเองเป็นประธานได้มั้ง’

‘ถ้าฉันหอบหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์กลับไป พวกญาติๆ จะอ้างความไม่เหมาะสมกับตำแหน่งประธานเพื่อกล่อมกรรมการบริษัทไม่ให้สนับสนุนฉัน จากนั้นรวมหัวกันด้วยจำนวนหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ดันลุงเสริฐขึ้นเป็นประธานแล้วค่อยๆ บีบฉันเอาทีหลัง ฉันมีสิทธิ์แค่เลือกว่าจะทำตัวเป็นเด็กดีในโอวาทพวกเขา หรือกลายเป็นหมาหัวเน่าในบริษัท’

คนฟังห่อไหล่อย่างนึกปลง ‘สรุปคุณต้องการขวางทางลุงเสริฐแต่ทำเองไม่ได้ ถึงบินมาหาพี่ชายที่นี่แล้วดันเจอผม’

‘อย่างที่บอก…คุณทำแผนฉันพังไม่เป็นท่า’ เธอวางแก้วกาแฟ ขยับนั่งขัดสมาธิเผชิญหน้าเขา ‘เพราะงั้นฉันจะเปลี่ยนแผน คุณก็สวมรอยเป็นพี่แคนต่อแล้วบินกลับไทยพร้อมฉัน ทำทีรับตำแหน่งประธานซะ’

ชายหนุ่มกระเถิบห่างเธอทันควัน สีหน้าเหมือนโดนผีหลอก ‘ล้อเล่นแรงไปไหม ใจคอคุณอยากได้ตำแหน่งประธานมากขนาดยอมดันคนแปลกหน้าเป็นหุ่นเชิดแทนเลยหรือ นั่นบริษัทครอบครัวคุณเองนะ’

‘ขอโทษค่ะ ฉันคงรวบรัดเกินจนคุณเข้าใจผิด’ วิมลินเจรจาฉะฉานชนิดเห็นชัดว่าทบทวนเตรียมการไว้ล่วงหน้า ‘ก่อนอื่น…ฉันไม่เคยอยากได้ตำแหน่งประธานค่ะ ใช่ว่าลูกหลานบริษัทใหญ่อย่างพวกฉันจะชอบชิงดีชิงเด่นขอเป็นประธานจนตัวสั่นเสียทุกคนซะหน่อย’

เจคอ้าปากเหวอ ‘แต่คุณจะดันผมสวมรอยเพื่อรับตำแหน่งนี่’

‘เปล่าค่ะ แค่อยากประวิงเวลาให้ลุงเสริฐขึ้นเป็นประธานช้าลงเลยเอาคุณไปขัดตาทัพ ขอสัก…สี่ห้าเดือนก็น่าจะพอ จากนั้นจะหาวิธีเอาคุณออกจากบริษัทแบบสวยๆ แล้วปล่อยลุงเสริฐตามสบายเลย’

‘ตำแหน่งก็ไม่ได้ ผลประโยชน์ก็ไม่มี คุณลงทุนลงแรงขนาดนี้เพราะอะไรครับ’

เธอยักไหล่เบาๆ ‘ขอสงวนความลับไว้เฉพาะคนที่ตกลงเป็นพวกเดียวกันแล้วค่ะ’

เขานึกขำปนระอา ลูกล่อลูกชนแพราวพราวเชียว ก็ใช่…ผู้หญิงคนนี้เป็นนักธุรกิจเต็มตัวนี่นะ ‘ถ้าผมไม่ยอมล่ะ ทำไมผมต้องหาเรื่องใส่ตัวให้ยุ่งกว่าเดิมด้วย’

เจคลองแหย่เพราะอยากเห็นวิมลินร้อนรนบ้าง ทว่าเธอกลับรับมือด้วยความเยือกเย็นผิดคาด ‘คุณเอาแต่พูดปาวๆ จะรับผิดชอบทุกอย่างตามลำพัง เคยคิดไหมคะถ้าทางฉันเอาจริงขึ้นมาพ่อคุณจะรอดร่างแหได้หรือ เผลอๆ ครอบครัวใหม่ของพ่อคุณอาจโดนหางเลขไปด้วย’

เจคเค้นเสียงลอดไรฟัน ‘นี่คุณกำลังขู่ผม’

‘ไม่ได้ขู่ค่ะ แค่จะย้ำว่าถ้าฉันไปรายงานญาติๆ แล้วทางนั้นตัดสินใจเอาเรื่อง ในกรณีร้ายแรงที่สุดผลจะเป็นอย่างไร และฉันช่วยพวกคุณไม่ได้หรอกนะคะ เพราะถ้าลุงเสริฐรู้ว่าพี่แคนตายฉันก็ไม่เหลืออำนาจต่อรองอะไรเลย’

เขารีบคว้าบุหรี่จุดสูบทันที หลังสูดควันสองสามเฮือกค่อยรู้สึกว่าเส้นตึงๆ ในหัวผ่อนลงนิดหนึ่ง

‘ถ้าผมตกลงคุณจะไม่เอาผิดเรื่องการสวมรอย ไม่แพร่งพรายมันกับบุคคลที่สามใช่ไหม’

เธอพยักหน้า ‘และยินดีมอบค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อด้วย’

เจคโบกมือทำนองไม่สนใจเงิน ‘ให้ผมเป็นฝ่ายพูดเองคงแปลกหน่อย แต่ความลับอะไรนั่นที่ทำให้คุณลงทุนหลอกญาติตัวเอง มันสำคัญขนาดยอมแลกด้วยการละเว้นคนผิด ละทิ้งเรื่องที่พี่ชายคุณตายแล้วได้เลยหรือ’

หางคิ้ววิมลินกระตุกเฮือก ถ้อยคำที่เคยตอบโต้รวดเร็วพลันชะงัก เปลือกตาหลุบต่ำจนยากสังเกตอารมณ์ ‘คุณกำลังถามถึงคนผิด…แล้วใครกันล่ะที่ผิด คนที่หาประโยชน์จากการตายของพี่แคนหรือครอบครัวที่ผลักไสเขาจนต้องมาตายถึงที่นี่ คุณว่าควรกล่าวโทษฝ่ายไหนกันแน่…ฝั่งฉันหรือคุณ’

ชายหนุ่มก้มมองบุหรี่ในมือราวอยากจะให้มีเพิ่มอีกสักสิบมวน ‘ผมตอบไม่ถูกหรอกครับ’

‘แต่มีอย่างหนึ่งที่คุณตอบถูกนะคะ…ถูกมาตั้งแต่ต้น บ้านบุหรงกาญจน์ไม่เคยมีที่ให้พี่แคน ถ้าพวกเขารู้ข่าวพี่ตายเผลอๆ จะแอบดีใจด้วยซ้ำเมื่อตัดปัญหายุ่งยากไปได้ ส่วนฉันที่เอาการตายของพี่มาแปรรูปสวมรอยวกกลับไปทิ่มใส่พวกญาติๆ ให้เดือดเนื้อร้อนใจกันซะบ้าง พี่เขาจะโกรธไหมนะ ไหนคุณบอกรู้ใจพี่แคนทุกอย่าง ช่วยตอบคำถามฉันแทนเขาทีสิ’

ชายหนุ่มมองเธอที่อยู่ในท่ากอดเข่าเกยคาง คล้ายเด็กหลงทางแสวงหาสิ่งยึดเหนี่ยวสักอย่าง จนเกือบเผลอยื่นมือไปหาแต่รั้งไว้ทัน เพียงแค่เอ่ยเสียงแผ่ว ‘เขาไม่มีทางโกรธคุณหรอกครับผมรับประกัน อีกอย่าง…ได้เอาคืนพวกนั้นให้แสบๆ คันๆ บ้างก็ดี’

หลุดปากแล้วค่อยรู้สึกตัว นี่เขากำลังพูดสนับสนุนให้วิมลินทำตามแผนอยู่ใช่ไหม!

เจคถอนใจเฮือกใหญ่ เปรยเหมือนรำพึงกับตัวเอง ‘เอาเถอะ ถลำไปซะทั้งตัวคงหันหลังกลับไม่ได้แล้ว’

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ‘คุณว่าอะไรนะคะฟังไม่ถนัด’

แต่เขากลับถามย้อนว่า ‘ช่วยตอบผมหน่อยสิ ถือเสียว่าผมถามแทนแคนเขาแล้วกัน คุณอยู่ที่บุหรงกาญจน์มีความสุขไหม ก่อนจะตอบคิดดีๆ นะครับ ผมจะเซย์เยสหรือโนอาจขึ้นอยู่กับคำตอบนี้’

วิมลินค่อนข้างงงกับท่าทีเขาแต่ก็โต้ตอบทันควัน ‘ฉันมีความสุขสิคะ ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากนี้หรอก’

เจคเอียงคอพินิจเธอราวกำลังไล่ค้นหาคำโกหกในนั้น สุดท้ายจึงรับคำในลำคอ แหงนดูฟ้าสูบบุหรี่เงียบๆ จนหมดมวน ‘คุณสัญญาได้ไหม จบเรื่องผมจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับบุหรงกาญจน์อีก’

‘ฉันจะทำเต็มที่ค่ะ เอาเป็นว่าจะพยายามไม่ก่อปัญหาให้คุณอีกหลังทุกอย่างสิ้นสุด’

เจคถอนใจยาวเหยียด แล้วชูกระป๋องเบียร์มาทางเธอ ‘งั้นเราชนแก้วฉลองล่วงหน้ากัน อวยพรให้แผนของคุณลุล่วงไร้อุปสรรค’

วิมลินรอจนความหมายของเขาซึมซับเข้ามา ก่อนเบิกตาโพลงด้วยความยินดี รีบชนแก้วกาแฟกับชายหนุ่มแล้วต่างคนต่างดื่ม

แม้กาแฟจะเคยอร่อยมากแต่พอเย็นชืดรสชาติก็แย่ลงถนัดใจ ทำเอาเธอผะอืดผะอมเล็กน้อย จะว่าไปตอนที่วิมลินตัดสินใจใช้แผนสวมรอยหลอกพวกญาติๆ วิธีการที่ไม่เคยนึกฝันว่าตัวเองต้องลงมือทำ แวบหนึ่งเหมือนเคยรู้สึกคล้ายๆ กัน หากคายทิ้งเสียคงจะสบายกว่านี้มาก

แต่หญิงสาวก็ปล่อยกาแฟเย็นชืดล่วงผ่านลำคอ…โดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด



Don`t copy text!