ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 2 : เลือกคู่ (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 2 : เลือกคู่ (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

วาน้อยมิจำเป็นต้องช่วยสิ่งใดพระองค์เลย พระนางขึ้นปกครองบ้านเมืองเองได้ด้วยซ้ำ

แท้จริงมิจำเป็นต้องมีราชบุตรจากไชยา มิต้องมีกระทั่งอุปราชเมืองราม…ไม่ต้องมีกัษษกรผู้นี้เลย

“วาน้อย” เจ้าชายเพิ่งหาสุรเสียงตนเจอ “พี่ใคร่ชวนน้องไปกราบพระไชยทองเสียหน่อย เจ้าแม่ของน้องจักตำหนิพี่หรือไม่”

“เราหาได้ไปกันลำพังไม่ ข้าทาสบริวารเป็นพรวน” พระนางแย้มสรวลกว้างจนดวงเนตรเป็นเส้นโค้ง

“ทำราวกับเรามิเคยอยู่กันลำพังกระนั้นแล…แต่เจ้าพี่มีน้ำพระทัยคำนึงถึงเกียรติยศของหม่อมฉันเสมอนับว่าเป็นพระกรุณานัก”

ทั้งสองพระองค์กราบลาวาสุเทพฤๅษี ก่อนที่เจ้าชายกัษษกรจะพาชวาลาไปชมการก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่ทางประตูตะวันตก เมื่อผ่านประตูออกไปจะผ่านชุมชนตลาดน้ำแห่งใหม่ เริ่มมีผู้คนมากหน้าหลายตาต่างผิวพรรณปรากฏให้เห็นมากกว่าเดิม

“มิได้มานาน พวกแขกเยอะขึ้นมากนะเพคะ” พระนางตรัสแล้วกลับชะงัก สรวลแห้งๆ “เอ่ยเช่นนี้ก็มิถูก อันตัวหม่อมฉัน…หรือแม้แต่เจ้าพี่ ก็มีผู้เรียกลับหลังว่าเป็นแขกเสียก็มาก ก็รักตมปุระกับไชยาเรามีหน้าตาผิวพรรณเข้มคม ต่างจากคนทวารวดีดั้งเดิม”

“จริงของน้อง” กัษษกรพลอยสรวลไปด้วย “แต่วาน้อยยังสืบเชื้อละโว้อยู่ตั้งครึ่ง ผิวเจ้าจึงไม่ได้เข้มเหมือนสตรีแคว้นใต้ หน้าตาเจ้าก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา มิได้ดูขึงขังสักนิด ว่าแต่…เจ้าลองพิศแขกกลุ่มนี้เถิด หน้าตาผิวพรรณหาได้เหมือนคนทางทะเลใต้ไม่ ผิวออกขาวกว่า หน้าเข้มคม รูปร่างสูงใหญ่”

“ชาวเปอร์เซียกระมังเพคะ”

“ถูกแล้ว” มีหรือที่ชวาลาจักมิทราบ “ระยะนี้พวกเปอร์เซียนำเครื่องแก้วเข้ามามาก ราคามิสูงนัก เห็นว่ากลุ่มนี้เป็นพวกลี้ภัยสงครามมา แตกฉานซ่านเซ็นไปหลายแห่ง จึงตั้งราคามิเกินกว่าพอประทังชีพ”

“ได้ยินว่าพวกที่ยึดเปอร์เซียได้เป็นพวกกลุ่มชนเผ่าใหญ่ที่รับศาสนาใหม่เข้ามานะเพคะ” ไม่ว่าเขามีรับสั่งถึงการใดในบ้านเมือง ชวาลาก็ทรงตามทันเสมอ “ส่วนเครื่องแก้วพวกนั้น หม่อมฉันเห็นแล้วก็ว่างามดี ใคร่ปรึกษาเจ้าพี่เช่นกันว่าจักขอช่างฝีมือพวกเขามาสอนชาวละโว้เพคะ”

“เอาตามน้องว่าเถิด” กัษษกรพยักพักตร์ช้าๆ พลางหันไปทางเหล่าองครักษ์ “เอาละ ประเดี๋ยวต้องขึ้นเรือแล้ว เราจักเป็นผู้พายให้องค์หญิงชวาลาเอง”

พระพุทธรูปไชยทองประดิษฐานบนเกาะกลางทะเลสาบ นั่งเรือออกไปใช้เวลาห้าบาท (1) เมื่อประทับลำพังบนเรือน้อย ชวาลาก็ทรงจับสังเกตเจ้าชายอย่างถี่ถ้วนอีกหนหลังจากสะดุดพระทัยมาสักระยะแล้วว่าพระองค์ดูเงียบขรึมผิดปกติ แววเนตรครุ่นคิดคล้ายมีเรื่องรบกวนพระทัยตลอดเวลา ครานี้ยิ่งเห็นได้ชัด แม้พาหาจ้วงไม้พายกระทบผิวน้ำเป็นจังหวะเดียวกันแม่นยำอย่างผู้ครองสมาธิดี ทว่าผู้คุ้นเคยใกล้ชิดอย่างพระนางทราบดีว่าพระทัยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก

“เจ้าพี่เขนชวนน้องมากราบพระไชยทอง จักได้พูดเรื่องสำคัญกันตามลำพังใช่หรือไม่ ทรงมีเรื่องกังวลใดโปรดบอกหม่อมฉันเถิด ให้หม่อมฉันช่วยแบ่งเบาบรรเทาได้สักน้อยก็ยังดี”

กัษษกรเงยพักตร์ คลี่โอษฐ์ออกเล็กน้อยเห็นเขี้ยวพระทนต์ซี่เล็กๆ ทรงอดเย้ามิได้ว่า

“เหตุใดน้องคอยคิดแต่เรื่องช่วยเหลือผู้อื่นเสมอเล่า มิคิดบ้างหรือว่าพี่ใคร่เพียงพักผ่อนอิริยาบถกับเจ้าเท่านั้นเอง”

“หม่อมฉันก็ใคร่คิดเช่นนั้น” พระนางขยับองค์เก้อเขิน “แต่เจ้าพี่ก็ทรงทราบดีว่าพักตร์เจ้าพี่นั้นปิดหรือปดอันใดมิได้เลย ชะรอยจะเป็นเรื่องผู้ร้ายที่กลั่นแกล้งเปลี่ยนรายงานเจ้าพี่กระมัง”

“พี่ไม่แน่ใจ…มีผู้หนึ่งเข้าเค้า เพียงแต่หลักฐานยังไม่เพียงพอ”

“เช่นนั้นก็น่าจะเป็นผู้ที่หม่อมฉันสงสัย” เจ้าหญิงรับสั่งไม่อ้อมค้อม “เจ้าอาวิรามรกระมัง ทรงเสียประโยชน์จากเส้นทางลุ่มน้ำแหวนไปมากหลังจากที่เจ้าพี่เปิดทางใหม่ตรงจากทะเลเข้ามา เพียงแต่ยังมิทราบว่าเจ้าอาแอบสับเปลี่ยนรายงานได้เช่นไร”

พระพักตร์เจ้าชายกัษษกรกล่าวแทนพระดำรัสว่าพระองค์มิได้คิดว่าเป็นเจ้าชายวิรามร หากมิได้ปฏิเสธออกมาตามตรง ครั้นพระนางทำท่าจะทักท้วง กัษษกรจึงถอนปัสสาสะ

“จักว่าส่วนหนึ่งพี่กลุ้มใจด้วยเรื่องเจ้าอาวิรามร ก็หาผิดความจริงไม่” สบพระเนตรเจ้าหญิงชวาลาแน่วนิ่ง “น้องคงพอทราบมาบ้างว่าเจ้าอาพึงพระทัยในตัวน้อง บัดนี้เริ่มรุกเร่งทูลขอน้องจากเจ้าพ่อแล้ว”

“โธ่เอ๋ย ก็นึกว่าเรื่องร้ายแรงอันใด” ชวาลาถอนปัสสาสะพรู แล้วก็กลับสรวลรื่นเริง “มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเลยเพคะ เจ้าพี่ก็ทรงทราบดีว่ามิมีผู้ใดบังคับใจหม่อมฉันให้ออกเรือนได้”

เรือน้อยเข้าเทียบท่า นางกำนัลรีบกรูจากแพตามเสด็จเข้ามาเชิญเสลี่ยงแลกางกลดให้ ด้วยจากท่าเรือไปยังศาลพระไชยทองต้องเดินอีกพอสมควร ทว่าพระนางกลับทรงปฏิเสธเพื่อจักดำเนินไปเอง

แท้จริงเพียงประสงค์ได้สนทนากันลำพังให้นานขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

เจ้าชายกัษษกรจึงเป็นฝ่ายรับกลดจากนางกำนัลมากางให้เจ้าหญิงชวาลาแทนเสียเอง

“เจ้าพ่อเองก็มิเคยฝืนใจหม่อมฉันเรื่องนี้ ด้วยทรงเห็นว่าหม่อมฉันมีวิชาความรู้ สามารถทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้มากกว่าออกเรือนไปอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ เพราะน้ำพระทัยเจ้าอาวิรามรเองก็เห็นกันอยู่ว่านิยมกดขี่สตรีเพียงใด อย่าว่าแต่อยู่อย่างไร้ประโยชน์เลย จักถูกข่มเหงรังแกเอาเสียด้วยซ้ำ”

เมื่อเห็นเจ้าชายยังมิมีรับสั่งใด พระนางก็เอียงศอมองพลางครุ่นคิด

“เจ้าอาเองก็หาได้ประสงค์จะเสกสมรสกับหม่อมฉันด้วยสิเน่หาอันใดไม่ ทางฝ่ายศรีเทพก็เพียงต้องการกำจัดคู่แข่งว่าที่พระชายาของเจ้าพี่เท่านั้นเอง เจ้าพ่อก็ทรงทราบดี”

“วาน้อยดูมิทุกข์ร้อนใด…เจ้าพ่อคงเกรงพระทัยน้องมากทีเดียว”

ขณะนั้นทั้งสองเพิ่งเสด็จดำเนินมาถึงศาลพระไชยทอง บังเกิดความเงียบระหว่างกันอยู่ชั่วอึดใจ

“หามิได้เพคะ ที่มิต้องถูกบังคับออกเรือนเหมือนผู้อื่น ก็เพียงเพราะหม่อมฉันแค่…ยังมีประโยชน์อยู่เท่านั้นเอง” ชวาลาปรารภคล้ายพระทัยลอยชั่วขณะ กระนั้นเมื่อรู้องค์ก็หันมาคลี่สรวลอ่อนหวานให้เจ้าชายกัษษกร “หากเจ้าพี่ทรงกังวลเรื่องหม่อมฉันจะถูกยัดเยียดให้เป็นชายาเจ้าอาวิรามรแล้วถูกข่มเหงรังแกแล้วละก็ อย่าได้ทรงวิตกไปเลยเพคะ หากมิใคร่ออกเรือน ก็มิมีผู้ใดบังคับหม่อมฉันได้ มิเช่นนั้นคงออกเรือนไปเสียนานแล้ว ไม่อยู่จนเป็นสาวเทื้อยี่สิบชันษาเช่นนี้แน่…นี่แน่ะ ไหว้พระไชยทองกันดีกว่าเพคะ”

ตัวศาลพระไชยทองสร้างอย่างเรียบง่ายจากไม้และศิลาแลงครอบให้ร่มเงาแก่พระพุทธรูปทองเหลืองขนาดสามศอก ดวงเนตรคมใหญ่ในกระบอกตาลึกของพระไชยทองคล้ายทอดมองสองขัตติยราชละโว้ด้วยความเมตตาปรานี

ลมพัดรำเพยแผ่วเบาต้องวรกายให้สบายองค์ขึ้นเล็กน้อย ทว่าเจ้าชายกัษษกรกลับจุดธูปเทียนส่งให้เจ้าหญิงชวาลาด้วยพระทัยปั่นป่วน ทรงรู้สึกถึงลมอัดแน่นอุระจนตื้อไปทั้งทรวง ครั้นสวดไปยังมิทันจบบทดี ก็ทรงอดรนทนมิไหว

“วาน้อยมิต้องการ…เสกสมรสหรือ”

ดวงเนตรชวาลาวูบไหว หากยังคงสวดต่อไปจนจบ แล้วทอดพระเนตรองค์ชายอุปราชอย่างค้นคว้า

“หม่อมฉันมิได้เอ่ยเช่นนั้น” พระนางขบริมโอษฐ์ ถ้อยรับสั่งตะกุกตะกัก “หม่อมฉันมิใคร่เสกสมรสกับผู้ที่ไม่ได้ผูกใจสมัครรักใคร่ด้วย”

“เช่นนั้นแล้วน้องรักผู้ใด”

“เหตุใดถึงรับสั่งถามหม่อมฉันเช่นนี้เพคะ”

“น้องมิรู้จริงๆ อย่างนั้นหรือ”

“หม่อมฉันมิอยากคาดเดาไปเอง”

แม้ทรงทราบดีว่าวันนี้คงมาถึงเข้าสักวัน หากครั้นเมื่อเกิดขึ้นจริง พระนางกลับหวั่นไหวไม่มั่นพระทัยขึ้นมา อันเจ้าชายกัษษกรบัดนี้มิใช่เจ้าชายธรรมดาที่ไชยาส่งมารักษาสานไมตรีแลผลประโยชน์อย่างมิชัดแจ้งอีกแล้ว พระฐานะอันคลุมเครือของพระองค์ยามนี้กระจ่างอย่างเป็นทางการว่าจักขึ้นสืบบัลลังก์เป็นกษัตริย์ลวปุระในกาลข้างหน้า พระองค์สามารถเลือกกุลธิดาพระนางใดก็ได้ในราชสำนักหรือแม้แต่ในราชธานีได้ทั้งสิ้น

 

เชิงอรรถ : 

(1) นับเวลาแบบโบราณ 1 บาท เท่ากับ 6 นาที 5 บาทเท่ากับ 30 นาที 10 บาทเท่ากับ 1 ชั่วโมง

 



Don`t copy text!