ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (1)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (1)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

แม้วงศ์เวหะนั้นเรียกตนว่าสืบสายเลือดละโว้มาแต่โบราณ หากแท้จริงแล้วได้ผสมปนเปไปกับกลุ่มชนต่างแคว้นไปก็มาก หากก็มักเกี่ยวดองกันอยู่ในกลุ่มนครลุ่มแม่น้ำพระแดง ที่รวมตัวกันจนสร้างความเจริญมั่นคงเป็นปึกแผ่น รุ่งเรืองขึ้นเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งทางเศรษฐกิจแลอารยธรรมพุทธศาสนาอันรุ่งโรจน์ เป็นที่รู้จักในนามกลุ่มอาณาจักรทวารวดี อันประกอบไปด้วยลวปุระ จันเสน ศรีเทพ อู่ทอง ศรีมโหสถ คูบัว แลเมืองเล็กเมืองน้อยอื่นๆ ละแวกใกล้เคียง เมื่อใดนครใดเป็นใหญ่ ก็จักมีอำนาจต่อรองมากกว่านครเพื่อนบ้าน ถูกยกเสมือนเป็นราชธานีแห่งทวารวดีไปโดยปริยาย ดังเช่นลวปุระในยามนี้

ดังนั้น บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่สืบสายเลือดละโว้บริสุทธิ์แท้จริง หรือที่เรียกกันว่าสืบวงศ์พระจันทร์เสี้ยวนั้น จึงมักทระนงตนว่าสูงศักดิ์กว่ากลุ่มเจ้าลูกผสมต่างแคว้นที่กลมกลืนกลายเป็นวงศ์เวหะ แลเหล่าเจ้าลูกผสมเหล่านั้นเอง ก็พยายามแทรกแซงช่วงชิงบทบาทในราชสำนักให้ฝ่ายตนมีอิทธิพลเหนือชาวละโว้ดั้งเดิมเช่นกัน เกิดเป็นสงครามย่อยๆ ขับเคี่ยวกันภายในราชสำนักมาหลายยุคหลายสมัย

แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็นับเป็นเครือญาติ เป็นผู้ที่ ‘คนนอก’ เรียกขานรวมกันว่า ‘พวกทวารวดี’ มีความเป็นพวกเป็นพ้อง น้ำหนึ่งใจเดียวกันมากกว่าชาวแคว้นทะเลไกลโพ้นอย่างมลายู ผู้ที่พิศอย่างไรก็ไม่กลมกลืนกับชาวลุ่มแม่น้ำพระแดง ทั้งโครงร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม เครื่องหน้าคมคาย โดยเฉพาะดวงตากลมโตในกระบอกตาลึกกว้าง ไปจนถึงผมดำขลับราวขนกาน้ำอันหยักศกเป็นคลื่นดูแปลกตา หากก็นับว่าโดดเด่นจนชาวทวารวดีนำไปร่ำลือต่อกันว่าชาวทะเลใต้รูปงามสมบูรณ์ประหนึ่งรูปสลัก

เมื่อเจ้าหญิงมฤติกาจากรักตมปุระย่างบาทขึ้นเหยียบแผ่นดินชาวลุ่มน้ำพระแดงเป็นครั้งแรก พสกนิกรทั่วหล้าล้วนตื่นตะลึงกับสิริโฉมดุจประติมากรรมดั่งคำร่ำลือ ตื่นเต้นไปกับสตรีต่างเผ่าพันธุ์จากแดนทะเลแสนไกลที่จักเข้ามาเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกับชาวแผ่นดินตอนใน หากครั้นถามว่ารักตมปุระอยู่ที่ใด พวกเขากลับตอบมิได้ รู้เพียงอยู่ไกลแสนไกลออกไปทางใต้ ไกลกว่าไชยาแห่งศรีวิชัยไปหลายเท่านัก…ว่ากันว่าใช้เวลาเดินเรือนานร่วมกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะมาถึงปากแม่น้ำเพื่อเข้ามาในแผ่นดิน

แลเมื่อก้าวเข้ามาในราชสำนักละโว้อันรุ่งโรจน์ ก็ยังผลให้ฝ่ายในสั่นสะเทือน ด้วยมิเพียงพระนางมฤติกามีสิริโฉมงดงามจนเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าจักวัติวิราชมากกว่าชายาทุกพระองค์แล้ว เจ้าหญิงจากแดนไกลยังเสด็จมาพร้อมสรรพวิชาความรู้วิทยาการหลายแขนง และถ่ายทอดให้ชาวละโว้อย่างใจกว้าง ทรงเป็นนารีผู้ทรงปัญญาปราดเปรื่องหลักแหลม ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านประหนึ่งบุรุษนักปกครอง ต่างจากสตรีในราชสำนักทวารวดีโดยสิ้นเชิง แลความเก่งกาจฉลาดเฉลียวนั้นก็ได้ข่มขวัญทุกฝ่ายที่หวังครองฐานอำนาจใหญ่ในลวปุระ…ให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า

เจ้าหญิงมฤติกามิใช่เพียงเจ้าหญิงแดนเถื่อนไกลโพ้นไม่ประสีประสา หรือเป็นเพียงเจ้าหญิงบรรณาการสานสัมพันธไมตรีธรรมดาๆ เสียแล้ว

หากทรงครรภ์เมื่อใด ทุกฝ่ายต้องพ่ายแพ้ราบคาบเป็นแน่

ทว่า จนแล้วจนรอด ผ่านไปนานปี พระนางกลับยังไม่มีโอรสถวาย

ทรงมีประสูติกาลพระธิดาถวายราชันเช่นเดียวกับพระชายาองค์อื่นๆ

พิษสงน่าเกรงขามของรักตมปุระในสายตาราชสำนักจึงค่อยแผ่วเบาบางลง

กระทั่ง…เจ้าหญิงชวาลาเติบใหญ่ขึ้นนั้นแล

นอกจากพระโฉมเลอลักษณ์อันเป็นส่วนผสมระหว่างความเข้มคมแลนุ่มนวลแล้ว ยังมีพระสติปัญญาปราดเปรื่อง ปรีชาสามารถจนได้รับอภิสิทธิ์กว่าเจ้าหญิงพระองค์อื่นในด้านการมีส่วนร่วมต่อราชการงานเมือง กิจในราชสำนัก ไปจนถึงมีสิทธิ์เลือกที่จักมิถูกคลุมถุงชนออกเรือนหากไม่เต็มใจได้

ทว่าประการใดก็มิสำคัญเท่าเป็นผู้ที่เจ้าอุปราชพึงพระทัยมาแต่วัยเยาว์ แลส่งผลให้เจ้าหญิงชวาลากลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของสตรีฝ่ายในไปโดยปริยาย ฝ่ายรักตมปุระจึงต้องคอยระมัดระวังเจ้าหญิงของพวกเขาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเมื่อวันประกาศเลือกพระชายานั้นใกล้เข้ามาเต็มที

ภายในตำหนักชวัลรวีของรักตมปุระจึงค่อนข้างเคร่งเครียดมิน้อย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหญิงชวาลามิได้ดูทุกข์ร้อนประการใด ยังคงเสด็จไปทั่วราชธานีเพื่อปฏิบัติราชกรณียกิจอย่างเคยจนพระมารดาอ่อนใจ

“ลูกข้านั้นหรือก็แสนใจเย็น คงมั่นใจว่าอย่างไรเจ้าเขนก็ต้องเลือกนางอยู่แล้ว แต่ข้าก็มิอยากให้เจ้าวาชะล่าใจ ตราบใดที่ยังมิได้ตบแต่งเป็นชายาอุปราชก็ยังวางใจมิได้”

พระชายามฤติการำพึงกับเจ้าหญิงเกษวดีและเจ้าหญิงปทุมวดีผู้มีศักดิ์เป็นภาคิไนย (1) ติดตามพระนางมาจากรักตมปุระ มีฐานะเป็นทั้งชายาของพระเจ้าจักวัติและพระพี่เลี้ยงของเจ้าหญิงชวาลา แต่ทั้งสองสมัครใจเรียกตนเองเป็นคุณท้าวพี่เลี้ยง มิได้ถือตนเป็นบาทบริจาริกาแห่งราชันแล้วตีเสมอมฤติกา

“แล้วนี่เจ้าวาไปไหนเสียเล่า ปรูดปราดไปโน่นมานี่ไม่หยุดหย่อนเสียเลย”

“ไปเรียนคัมภีร์พิชัยสงครามเพคะ” เกษวดีตอบพลางถอนใจ “ทรงเคยเรียนมาบ้างแล้วก็จริง หากก็ยังมิได้ลงลึกมาก ครานี้พระฤๅษีว่าจักสอนให้แตกฉานยิ่งขึ้น ประเดี๋ยวก็เสด็จกลับแล้วเพคะ”

“เฮ้อ…” พระชนนีกระแทกพัดขนนกลงบนตั่งอย่างมิสบอารมณ์ “หาใช่เวลาศึกษาแตกฉานวิชารบไม่ ข้ามิเคยเห็นด้วยกับการเรียนวิชาสงครามลึกเกินจำเป็นเช่นนี้ รู้ไว้เพียงเพื่อมิให้ถูกพวกขุนนางหลอกก็พอแล้ว เพลาเช่นนี้สมควรเก็บเนื้อเก็บตัวเสียบ้าง มิใช่ออกไปเป็นเป้านิ่งให้เสือสิงห์กระทิงแรดเล่นงานเอาเสียเปล่า มิสู้ควรมาเตรียมตัวให้พร้อมต่อการเป็นชายาอุปราชหรอกหรือ”

“หม่อมฉันว่าองค์หญิงวาก็เพียบพร้อมทุกด้านแล้ว มากกว่าเจ้าหญิงทุกพระองค์ในลวปุระ มิมีเรื่องให้เตรียมตัวเป็นพระชายามากไปกว่านี้แล้ว” ปทุมวดีทูลเสียงอ่อนแต่หนักแน่น “แล้วที่เสด็จไปที่นั่นที่นี่ ศึกษาเพิ่มเติมมิหยุดนั้น หม่อมฉันกลับมองเป็นเรื่องดี ด้วยพสกนิกรจักได้ยลพระโฉมพระบารมีบ่อยๆ ได้เห็นพระปรีชาสามารถรอบด้าน องค์หญิงจักเป็นเจ้านายที่ทวยราษฎร์รักใคร่ แล้วเสด็จไปที่ใดก็มีองครักษ์อารักขาแน่นหนา เจ้าน้ามิต้องทรงกังวลไปหรอกเพคะ”

“ก็จริงของหลาน” พระนางมฤติกาพยักพักตร์ช้าๆ “แต่ข้าก็มิใคร่สบายใจนัก หลานดูแต่ละฝ่ายเถิด พวกจันเสนก็หาเรื่องเจ้าวาไม่เว้นแต่ละวันว่าทำตัวมิสมเป็นกุลนารี เอาแต่ตะลอนไปทั่วอย่างกับบุรุษ แลที่ร้ายนักก็กล่าวหาเจ้าวาว่าให้ท่าเจ้าเขน”

“หากทำเพียงเท่านี้ก็ยังพอมองว่าเป็นเพียงลมปากระคายหูรำคาญใจเท่านั้น ตราบใดที่มิสร้างเรื่องหรือปล่อยข่าวลือแพร่สะพัดผิดๆ ก็ยังพอมองข้ามได้ พวกที่บ้าดีเดือดอย่างฝั่งศรีเทพนั้นแลที่หม่อมฉันว่าน่ากังวล ทั้งเจ้าชายวิรามรที่กักขฬะบ้าสตรี กระเหี้ยนกระหือรือใคร่อภิเษกเจ้าวาเป็นชายาให้ได้ พยายามกล่อมขุนนางทุกฝ่ายให้สนับสนุนเรื่องนี้ แล้วยังคอยก่อกวนราชการงานเมืองของเจ้าอุปราชรามราชอยู่เรื่อย ทั้งเจ้าหญิงวิมุทราอีกเล่า ทรงพยายามทำองค์เป็นสตรีไชยาขึ้นมาเสียอย่างนั้น น่าขันเหลือเกิน” เกษวดีส่ายหน้าไปมาเมื่อนึกถึงราชนิกุลฝ่ายศรีเทพทั้งสอง

“เฮอะ ทำอย่างไรก็ไม่ทันเสียแล้ว ครั้งเจ้าเขนมาถึงละโว้ใหม่ๆ สองตาพวกนั้นมิเหลือบแลพระองค์แม้แต่น้อย จะเหมือนพวกเราที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อศรีวิชัยไปได้อย่างไร ก็อย่างที่พวกเขาถือตัวกันนักว่าเป็นชาวลุ่มน้ำพระแดง สืบสายทวารวดีกันมา อย่างน้อยเป็นพวกพ้องเครือญาติกัน มินับให้พวกเราเข้าร่วมวงศ์วานด้วย รักตมปุระกับไชยาก็เฉกเช่นกัน แม้รักตมปุระเป็นนครอิสระ มิได้ขึ้นกับศรีวิชัย แต่หากนับไปแล้วพวกเราล้วนเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันทั้งสิ้น” มฤติการับสั่งอย่างอัดอั้นตันใจ ขณะเดียวกันก็นึกสมเพชฝ่ายศรีเทพที่แสดงออกอย่างโง่เขลา

“แต่หม่อมฉันกลับมองว่าพวกที่นิ่งเงียบผิดปกติอย่างอู่ทองต่างหากที่น่ากังวล” ปทุมวดีรินสุธารสชาถวายพระมาตุจฉาพลางครุ่นคิด “จริงอยู่ว่าเจ้าชายชนุดรเคยอาละวาดแผลงฤทธิ์มาก่อน หากก็นานมาแล้ว หลังจากนั้นพวกอู่ทองก็มิเคลื่อนไหวใด ไม่แสดงออกโจ่งแจ้งนักว่าประสงค์จักมีส่วนร่วมในราชบัลลังก์เช่นกัน เจ้านายแต่ละองค์ก็มิค่อยรับสั่งอันใดมาก คนพวกนี้มองยากเพคะ”

“ถูกของเจ้า” เกษวดีพยักพเยิด “ยังมิรวมกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอีกมากมายที่เรามิทราบที่หวังครองอำนาจเช่นกัน เรามิมีทางวางใจได้เลยจนกว่าเจ้ารามราชจักขึ้นเป็นกษัตริย์และองค์หญิงได้เป็นอัครเทวี”

“ระหว่างนี้เราต้องมิลืมรักษาประโยชน์แห่งรักตมปุระเช่นกัน” พระนางมฤติกายกสุธารสชาขึ้นจิบ พระเนตรกลอกไปมาอย่างใช้ความคิด “ข้ากรุยทางเอาไว้มากแล้วเพื่อให้ชาวเราเข้าถึงศูนย์อำนาจในแผ่นดิน หากก็ต้องรู้จักขยายต่อยอดมิหยุดยั้ง นับว่ายังดีที่เจ้าเขนฉลาดปราดเปรื่อง มีหัวเรื่องทำมาค้าขายสมเป็นโอรสแห่งนครการค้าอันเกรียงไกร ก็เสมือนออกหน้าให้พวกเรามิต้องถูกเพ่งเล็งเป็นเป้าสนใจ”

“เจ้าน้าทรงพระปรีชาเหลือเกิน” พระภาคิไนยกล่าวจากใจจริง “ค่อยๆ สอนให้เจ้าชายกัษษกรซึมซับแนวคิดวิธีการทีละน้อยๆ”

“เรื่องนี้หาใช่ความดีของข้าเพียงผู้เดียว” เจ้าหญิงมฤติกาตอบอย่างผู้มองเห็นตามความเป็นจริง

“ต้องสรรเสริญไปถึงเจ้าพ่อ…​สมเด็จปู่ของพวกเจ้าที่ทรงมองการณ์ไกลตั้งแต่เริ่มเจริญไมตรีกับพวกทวารวดีแล้ว” ทรงหมายถึงกษัตริย์ปาลทัตผู้ล่วงลับ ราชันนักเดินเรือที่ล่องเภตราไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำจนได้พบจอมราชทวารวดี ที่ครั้งกระโน้นยังเป็นเพียงเจ้าราชบุตรผู้ถูกส่งไปร่ำเรียนแลสำรวจภูมิประเทศตามชัยภูมิสำคัญต่างๆ “พวกเราเป็นใหญ่ทางภาคพื้นสมุทรแล้ว ไยจักมิแผ่ขยายอำนาจเข้าไปในแผ่นดินด้วยเล่า เจ้าพ่อเคยตรัสไว้ว่า หากเรามักน้อยมิทำ นครรัฐอื่นก็ต้องทำอยู่ดี เมื่อนั้นเราจักเสียผลประโยชน์มหาศาล แล้วได้แต่นั่งมองเพื่อนบ้านกอบโกยไปอยู่ดี”

พระนางถอนพระทัยก่อนขยายความต่อ “แล้วก็ยังระลึกถึงน้ำพระทัยพระเชษฐาของข้า เจ้าพ่อของพวกเจ้าอย่างไรเล่าที่ไว้ใจข้าให้ทำหน้าที่ทรงเกียรตินี้ แลต้องนับถือน้ำใจเจ้าแม่ของพวกเจ้าเช่นกันที่ยอมให้แก้วตาดวงใจทั้งสองพ้นจากอก ติดตามข้ามาด้วย รวมถึงตัวพวกเจ้าด้วยแล ที่ยอมเสียสละชีวิตสุขสบายในรักตมปุระ เดินทางมาดินแดนแสนไกล หนทางเป็นอย่างไรก็สุดจะคาดเดาได้”

“โธ่ พวกหม่อมฉันเต็มใจอย่างยิ่ง ถือเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติเช่นกันเพคะ”

“ยังมิหมดหรอกหนา เจ้าเขนเองก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างซื่อตรง ต่อให้เรามิเสี้ยมสอน ก็ทรงงานอย่างแข็งขันเอาจริงเอาจัง ก็เจ้าเขนนั้นมิใคร่ให้ใครมองว่าเป็นเจ้าชายที่อาศัยแผ่นดินอื่นแล้วประพฤติตนไร้ประโยชน์ ก็เลยเอาแต่คร่ำเคร่ง มิใคร่หาความสำราญให้ตนเอง แต่กลับกลายเป็นผลดีต่อพวกเราไปด้วย เพราะช่วยรักษาประโยชน์การค้าให้พวกเราชาวทะเลใต้ไปโดยปริยาย”

พระนางตรัสแล้วก็แย้มสรวลจางๆ

“สุดท้ายก็ต้องระลึกถึงบุญคุณของเจ้าวา…หากลูกข้าปัญญาทึบ ดื้อรั้น มิเอาการเอางานเหมือนเจ้าหญิงพระองค์อื่น ทุกสิ่งที่พวกเราเพียรสร้างกันมาก็คงสูญเปล่า เชื่อหรือไม่เกษวดี ปทุมวดี ว่าข้ามิเคยเสียใจเลยที่ให้กำเนิดธิดาแทนพระโอรส ลองนึกกันดูเถิด ว่าหากข้าตั้งครรภ์โอรสขึ้นมาจริงๆ จักเป็นเช่นไร”

“ตกอยู่ในอันตรายทุกขณะจิต” เกษวดีทำคอย่น “อาจไม่มีพระชนม์รอดมาจนโตเป็นแน่”

“เช่นนั้นแล…” เจ้าหญิงมฤติการะบายสรวลออกมาเล็กน้อย แววเนตรอ่อนแสงลงเมื่อนึกถึงราชธิดาแก้วตาดวงใจ “เป็นอย่างเจ้าวานั้นแลเหมาะสมที่สุดแล้ว จักมีสิ่งใดเหมาะสมลงตัวไปกว่าการมีขัตติยราชชาวทะเลสององค์ครองบัลลังก์ราชธานีในทวารวดีอีกแล้วเล่า”

“เช่นนั้นพวกเราก็ต้องระมัดระวังความปลอดภัยองค์หญิงวาให้มาก” ปทุมวดียังวิตก “พระอาจารย์วาสุเทพเองก็เปรยเรื่องนี้อยู่บ้าง ถึงให้องค์หญิงมีวิชาติดองค์ไว้หลายแขนง”

“พวกเรามีบุญนักที่วาสุเทพฤๅษีเอื้อเอ็นดูเจ้าวา เจ้านายในละโว้มีมากมายหลายฝ่าย ท่านกลับเลือกพวกเรา ฤๅอาจด้วยบารมีสุกกทันตฤๅษีก็เป็นได้ พวกเขาเป็นสหายวัยเยาว์ตั้งแต่ชมพูทวีปโน้น”

“มิรู้พระฤๅษีทั้งสองแยกกันคนละทิศละทางแล้วกลับมาพบกันได้อย่างไรนะเพคะ” เกษวดีคิดตาม “พระอาจารย์เคยเล่าว่าจากชมพูทวีปนั้น ท่านสุกกทันตะจาริกลงมาทางใต้ ล่องเรือจนมาถึงเมืองท่าไชยา พำนักในศรีวิชัยอยู่นานโขก่อนค่อยย้ายขึ้นเรื่อยมาจนถึงละโว้ ได้ถวายคำสั่งสอนสรรพวิชาให้กษัตริย์แคว้นต่างๆ นับมิถ้วน ส่วนตัวพระอาจารย์วาสุเทพนั้นขึ้นเหนือเรื่อยมา ข้ามผ่านภูมิประเทศร้อนหนาวกันดารทุกรูปแบบจนมาถึงอาณาจักรศรีเกษตร (2) ลัดเลาะป่าเขาเรื่อยมาจนมาปักหลักอยู่แถวอุฉุจบรรพตของพวก…อืม… ระมิงค์กระมัง หม่อมฉันก็จำชื่อมิใคร่ได้ ท่านว่าผู้คนที่นั่นยังล้าหลังอยู่มาก หากน้ำใจงดงาม ท่านเรียกดินแดนแถบนั้นว่าแดนเหนือ”

 

เชิงอรรถ : 

 (1) หลานที่เป็นลูกของพี่สาวหรือน้องสาว

 (2) อาณาจักรของชาวพยูซึ่งเป็นชนชาติพม่าดั้งเดิม ก่อนเกิดอาณาจักรพุกามในภายหลัง

 



Don`t copy text!