ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

พวกนางทราบเพียงว่าวาสุเทพฤๅษีพำนักในแดนเหนืออยู่นานหลายปี ก่อนตัดสินใจเดินทางลงใต้มาสู่อาณาจักรทวารวดี แลเลือกปักหลักที่ลวปุระเรื่อยมา ในทวารวดีเองก็พบดาบสจากชมพูทวีปอย่างพระฤๅษีทั้งสองมากมายจนมิมีผู้ใดเห็นเป็นเรื่องแปลก ว่ากันว่านักบวชเหล่านี้แลเป็นผู้วางรากฐานระบบระเบียบการปกครองให้กษัตริย์ทั่วภาคพื้นสมุทรและแผ่นดินมาหลายยุคหลายสมัย

หากแต่มีอยู่ไม่กี่ตนที่รอบรู้สรรพศาสตร์อย่างเจนจบเชี่ยวชาญแท้จริง ดังเช่นฤๅษีทั้งสองนี้

“มีพระอาจารย์วาสุเทพกับสุกกทันตะคอยช่วยเหลือพวกเราเช่นนี้ก็ยังพออุ่นใจได้บ้าง หากก็ใช่ว่าฝ่ายอื่นจักมิมีผู้รู้วิชามากฝีมือช่วยเหลือ พวกเจ้าตรองดูเถิด” เจ้าหญิงมฤติกาคิดทบทวนก็สะดุดพระทัย

“อย่างเรื่องที่มีผู้สับเปลี่ยนรายงานของเจ้าเขนนั้นแล ยังหาตัวการมิได้ มิใช่ต้องเป็นคนในหรอกหรือถึงทำการอุกอาจเช่นนั้นได้ มิเช่นนั้นก็มีคนใกล้ชิดวางแผนให้อย่างดี”

คุณท้าวทั้งสองนิ่งไปอย่างพรั่นพรึง รักตมปุระมีปุโรหิตทรงวิชาคอยให้การสนับสนุน เหตุใดฝ่ายอื่นจักมิมีบ้าง…แลมิรู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นผู้ใด

“เช่นนี้หากองค์หญิงได้อภิเษกเป็นอัครชายาไปครองเมืองรามจักยิ่งมิอันตรายหรือเพคะ”

“ข้าว่าอาจปลอดภัยกว่าละโว้ก็เป็นได้ ด้วยเราจักสามารถคัดเลือกคนของเราทั้งหมดให้ติดตามไปได้ ไว้ใจได้มากกว่าที่นี่เสียอีก” พระนางเคาะพัดขนนกกับตั่งเป็นจังหวะ “ข้าก็มิได้วางใจเสียทีเดียว คอยส่งข่าวให้ทางรักตมปุระเรื่อยมา ราชันของพวกเราทราบเรื่องในละโว้อยู่เสมอ”

ปทุมวดีผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นนางกำนัลหน้าห้องให้สัญญาณ

“องค์หญิงวากลับมาแล้วเพคะ”

เจ้าหญิงชวาลาเสด็จเข้ามาด้วยดวงพักตร์ผ่องใส มิมีร่องรอยเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่ายต่อกิจธุระมากมายในแต่ละวัน เมื่อทอดพระเนตรอากัปกิริยาของสตรีทั้งสามก็ทรงดักคออย่างรู้ทัน

“จับกลุ่มคุยกันลึกลับเช่นนี้ ต้องกำลังพูดถึงลูกอยู่เป็นแน่ ลูกหาได้ไปเที่ยวเล่นสำราญเสียหน่อย”

พระชนนีและคุณท้าวทั้งสองหันมาสบตากัน

“ลูกไปสืบความมาต่างหาก ว่าดาบสลึกลับที่พบครานั้นเป็นผู้ใด” ตรัสแล้วก็อมยิ้มเมื่อเห็นแววตาพระมารดาและคุณท้าวพี่เลี้ยงกระตือรือร้นอยากรู้แต่สงวนท่าทีเก็บอาการไว้

“แต่น่าเสียดาย ดูทีจักมิเกี่ยวข้องกับผู้ที่เล่นงานเจ้าพี่เขนเลยเพคะ”

 

อาทิตย์คล้อยจากกึ่งกลางนภากาศเพียงเศษเสี้ยว ตะวันยังมิราแสง แผดเผาทั่วทุกแห่งหนในนครละโว้ประหนึ่งจักลุกไหม้ขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ ทว่าภายในตำหนักใหญ่แห่งฝ่ายในกลับร่มรื่นราวมิได้อยู่ในดินแดนเดียวกัน ด้วยถูกกรองจากร่มเงาไม้ใหญ่เรียงรายตลอดทาง จนผู้ที่ดำเนินมาตามทางอันแสนเย็นสบายนั้นอดนึกถึงตำหนักเดิมของตนมิได้…ตำหนักเล็กเรียบง่าย ไร้ความประณีต มิพักจักเรียกหาอุทยานเล็กๆ สักแห่งเลย แม้ต้นไม้ให้ร่มเงาสักต้นก็มิปรากฏ นับประสาอันใดกับพฤกษานานาพรรณจรรโลงตายาใจ

ทรงจำได้ว่าเมื่อครั้งย่างบาทเข้ามาในลวปุระคราแรก ได้ทอดพระเนตรพลับพลาของตน กัษษกรพลันรู้สึกตื้อในอุระ ความขมขื่นแล่นจับหทัย ทรงตระหนักได้ในบัดนั้นว่าฐานะของพระองค์ในนครลุ่มน้ำแห่งนี้คงต่ำต้อยอย่างถึงที่สุด ช่างห่างไกลเกินจักนึกฝันว่า…เช่นนี้น่ะหรือที่ราชันละโว้จักขอพระองค์มาเป็นพระโอรสบุญธรรม

ทรงนึกสงสัยขึ้นครามครันว่า แท้จริงแล้วพระองค์ถูกส่งมานครละโว้ด้วยเหตุผลใดแน่ แล้วเหตุใดจึงต้องเป็นกัษษกร…เจ้าชายเล็กๆ องค์หนึ่งจากราชสำนักไชยา

ประการหนึ่งที่ทรงทราบแน่ ก็เพราะว่าพระองค์มิใช่โอรสอันประสูติแต่อัครชายาอย่างเจ้าชายสินมหัต พระมารดาของพระองค์เป็นเพียงพระสนมนางหนึ่งที่บังเอิญสืบสายตระกูลชั้นสูงแต่โบราณ ฐานะของเจ้าชายกัษษกรจึงมิด้อยเกินไปนัก หากมิได้โดดเด่นเหมือนราชบุตรพระองค์อื่น

แม้ทรงได้รับการบอกกล่าวว่าราชสำนักละโว้ทูลขอเจ้าชายจากไชยามาเป็นโอรสบุญธรรมเพื่อสืบตำแหน่งอุปราชในภายหน้า หากก็ชวนให้ตะขิดตะขวงใจในความเป็นจริงอยู่มากโข ว่าเหตุใดนครอันไกลโพ้นจักเอาคนแปลกหน้ามาสถาปนาขึ้นสืบบัลลังก์ได้ ชะรอยคงต่อรองผลประโยชน์การค้ากันบางประการโดยมีเจ้าชายสักพระองค์มาเป็นตัวประกันเสียมากกว่า

กัษษกรสำคัญจนได้รับหน้าที่ทรงเกียรตินี้ หรือไร้ความหมายจนถูกเลือกให้เป็นฝ่ายนิราศจากไป

ทว่ากาลเวลาผันผ่าน ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่า พระดำรัสแห่งพระเจ้าหริมิตรเป็นความสัตย์จริง

พระดำริมากมายในพระทัยหยุดลงเมื่อเสด็จมาถึงศาลาหลังน้อยริมสระบัวขนาดใหญ่ ข้าราชบริพารชายหญิงพากันถวายความเคารพแล้วต่างเลี่ยงไปเฝ้าห่างออกไปเกินระยะได้ยิน ผู้ที่ประทับรออยู่ด้านในมีวรองค์เล็กบอบบาง ดวงพักตร์อ่อนหวานพริ้มเพรา หากทรงเครื่องเต็มยศแม้อยู่ในวาระพักผ่อนอิริยาบถ กระนั้นมัณฑนาเทวียังทรงดูอ่อนเยาว์เกินกว่าชันษาต้นสี่สิบยิ่งนัก เมื่อพบพระนางครั้งแรก พระองค์ยังนึกว่าสตรีนางนี้ชะรอยจักเป็นราชธิดาของพระเจ้าจักวัติเป็นแน่

เจ้าชายกัษกรผู้ที่บัดนี้เฉลิมสมัญญานามรามราชถวายบังคมราชเทวีละโว้ พระนางพยักพเยิดให้ประทับบนอาสนะเสมอกัน ก่อนมีพระดำรัสอ่อนหวาน

“มิต้องพิธีรีตองหรอก คิดเสียว่ามารดาต้องการคุยกับบุตรแล้วกัน…รามราช”

สดับเช่นนั้น กัษษกรก็เพิ่งตระหนักได้ว่า พระองค์แทบมิได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระราชเทวีมานานปี

มัณฑนาเทวีเคยรับสั่งไว้เมื่อครั้งพระองค์มาถึงราชสำนักละโว้ใหม่ๆ ว่า

‘เรามิเคยได้สัมผัสการเป็นมารดาว่ารู้สึกเช่นไร เจ้าจักให้โอกาสเราเป็นแม่เจ้าได้หรือไม่’

เมื่อแรกกัษษกรก็ตะขิดตะขวงทำพระทัยให้ชินมิได้ ด้วยทรงมีเจ้าหญิงตาราเป็นพระมารดามาตลอดพระชนม์สิบสองชันษา ยังถวิลหาอ้อมกอดอันอบอุ่นคุ้นเคยแลมธุรสวาจามิเหมือนผู้ใดของเจ้าแม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าครั้นปรับตัว ทำพระทัยได้ว่าคงมิได้หวนกลับไปไชยาอีกแล้ว ถ้าจักอยู่ให้รอดได้ก็ต้องยอมรับพระชนนีองค์ใหม่ มินานก็เปิดพระทัยรับได้ เพราะมัณฑทนาเทวีเองก็เป็นสตรีนุ่มนวล พระทัยเย็น

หลังจากนั้น ตำหนักจันทมณีของเจ้าชายกัษษกรก็ค่อยเริ่มมีหมู่มวลพฤกษาปรากฏขึ้น มิได้ดูอนาถาอีกต่อไป

พระนางชวนราชบุตรบุญธรรมสนทนา ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบอีกพักใหญ่จึงเข้าเรื่องที่ทรงคาดหมายไว้

“ลูกพึงใจเจ้าหญิงองค์ใดหรือ เป็นดังที่ร่ำลือกันหรือไม่ แม่เป็นแม่ อย่างไรก็ใคร่สดับจากลูกตน”

“ลูกยังมิอยากออกวาจาในยามนี้ มิใคร่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายก่อนถึงวันนั้น”

“หากต้องวุ่นวาย ช้าเร็วอย่างไรก็วุ่นวาย” พระนางหรี่พระเนตร “แม่เพียงมิใคร่ให้คนครหาว่าลูกฝักใฝ่ฝ่ายใดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นแคว้นแดนสมุทรเหมือนกัน”

เจ้าอุปราชพระพักตร์ตึงขึ้นมาทันควัน

“เช่นนั้นเหลือผู้ใดให้ลูกเลือกฤๅ…ในเมื่อเจ้าหญิงทุกพระองค์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งนั้น หาได้มีพระนางใดนับได้ว่าธำรงสายโลหิตละโว้เต็มองค์ เป็นวงศ์พระจันทร์เสี้ยวไม่ หรือหากมีก็เป็นเจ้าหญิงชั้นเล็กๆ ที่ถูกกีดกันไปแต่แรกแล้ว พ้นจากนี้ ลูกมิเห็นพระนางใดสืบวงศ์ละโว้ดั้งเดิมอีกแล้วนอกจากเจ้าแม่กับองค์หญิงตีรณา”

รับสั่งแล้วก็เสียพระทัยเมื่อเห็นมัณฑนาเทวีพระพักตร์เสีย หากยั้งโอษฐ์ไว้ไม่ทัน ด้วยทรงนึกรู้ว่าพระนางมีพระประสงค์จะผลักดันพระนัดดาห่างๆ ของตนให้เขา เสียแต่ว่าเจ้าหญิงตีรณาผู้นั้นโชคร้ายเป็นใบ้แต่กำเนิด ทั้งร่างกายพิกลพิการ พระชงฆ์ข้างหนึ่งลีบแบนมิมีแรง จึงไม่แม้แต่จะอยู่ในทำเนียบรายชื่อเจ้าหญิงผู้มีคุณสมบัติเป็นตัวเลือกว่าที่พระชายาอุปราชด้วยซ้ำ ข้อดีเพียงประการเดียวที่ตีรณามีเหนือผู้อื่นคือพอจะนับได้ว่าพระนางเป็นชาวละโว้ดั้งเดิมโดยสายเลือดเท่านั้น

“โหรของแม่กล่าวไว้ว่าตีรณาจักหนุนบารมีเจ้าให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น แม่เพียงปรารถนาให้เจ้าได้ดีเท่านั้น”

“เจ้าแม่…” กัษษกรถอนพระทัย “ลูกทราบว่าเจ้าแม่ต้องการธำรงวงศ์จันทร์เสี้ยวเก่าแก่แต่ดั้งเดิมไว้ ลูกเองมิอาจตีเสมอเทียบเทียมได้ หากก็ใคร่ให้เจ้าแม่ระลึกดูเถิดว่าอันลูกเองก็สืบสายจันทรวงศ์แห่งไชยา แม้มิใช่วงศ์จันทราเดียวกันก็ตาม แต่มิได้น้อยหน้าต่ำศักดิ์แต่อย่างใด เผื่อจักทำให้สบายพระทัยขึ้นบ้าง”

อัครเทวีทรงนิ่งไปด้วยลักษณาการที่คนทั่วไปอ่านมิออก หากผู้เป็นราชบุตรทรงทราบดีว่ามิเห็นด้วยแลมิพอพระทัยสักนิด แม้พยายามปิดบังซ่อนเร้นอย่างไร แววเนตรก็สะท้อนความรู้สึกที่พระนางมีต่อจันทรวงศ์แห่งไชยาว่ามิอาจเทียบเทียมกับวงศ์พระจันทร์เสี้ยวของพระนางได้เลยอย่างชัดแจ้ง

พลันรู้สึกว่างโหวงในอุระขึ้นมาอีกครั้ง ครานี้ทรงรำลึกได้แล้วว่าเหตุใดเมื่อเจริญชันษาขึ้น จึงหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงมิค่อยเสด็จเยี่ยมพระชนนีเท่าไร ด้วยเบื้องลึกในหทัยสัมผัสความว่างเปล่าสับสนในดวงเนตรมัณฑนาเทวี เป็นนัยนาที่บอกมิถูกว่าจักวางพระทัยรักราชบุตรของผู้อื่นดั่งบุตรในอุทรได้อย่างไร

เจ้าอุปราชเสด็จกลับตำหนักด้วยพระทัยหนักอึ้ง ครั้นผ่านบานทวารเข้าไปก็กลับเปลี่ยนพระทัย หันกลับไปอีกทาง แลห้ามมิให้องครักษ์ ข้าหลวงนางกำนัลติดตามมา ทรงลัดเลาะท้ายตำหนัก ผ่านแนวป่าโปร่งเรื่อยมาจนถึงท่าน้ำเล็กๆ อันซ่อนตัวใต้ต้นมะขามใหญ่ เมื่อตรวจสอบสภาพเรือว่ามิชำรุดเสียหาย ก็ลงมือพายนาวาลำน้อยล่องสายธารไปอย่างมุ่งมั่น

ปลายทางของพระองค์อยู่ที่กระท่อมริมธารแห่งหนึ่ง…เสด็จขึ้นบนท่าน้ำที่ดูผิวเผินประดุจรกร้างแรมปี หากพิศอย่างถี่ถ้วนจักพบว่าถูกทำให้ดูทรุดโทรม แท้จริงกลับแข็งแรงและถูกสัญจรใช้งานเป็นประจำ

“เขนน้อย…ออกมาพบเราบัดเดี๋ยวนี้”

รอบด้านยังเงียบสงัด

“เรารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ อย่าทำตัวขี้ขลาดเยี่ยงนี้เลย อ้อ…จักห้ามเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับการกระทำขี้ขลาดเยี่ยงนี้มาชั่วชีวิต”

มีเสียงลมหายใจฟืดฟาดดังแทรกในความเงียบงัน แม้แผ่วเบาหากมิรอดพระกรรณกัษษกร

“มิต้องการให้เราเข้าไปถึงอาศรมมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ออกมาเจรจากันเสียให้รู้ความ ณ บัดนี้ รัตตกร”

ผ่านไปหลายอึดใจจนเจ้าชายกัษษกรมิคิดว่าอีกฝ่ายจักแสดงตนแล้ว ก็กลับมีเสียงกุกกักดังมาจากหลังประตูกระท่อมที่ทรงขานว่า ‘อาศรม’

ร่างชะลูดผ่ายผอมในเครื่องนุ่งห่มสีขาวทับด้วยหนังเสือค่อยๆ ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ

“พระทัยร้ายเช่นเดิมมิเปลี่ยนเลยหนอ เจ้าพี่เขนหลวง”

 



Don`t copy text!