กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (1)
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
ปราบจ้วงพายเรือด้วยสายตาเป็นกังวลเมื่อมองเห็นใบหน้าของแก้วอาบน้ำตามิหยุดหย่อน มือหนาวางไม้พายลงก่อนจะขยับเข้ามาจับสองมือเล็กเอ่ยปลอบโยน
“จักร้องไห้ไปไยกันเล่าแม่แก้ว คนเขามิใคร่ให้ช่วยก็ปล่อยเขาไปเถิด”
“พี่ปราบ…ฉัน…ฉันมิเคยคิดริษยาแข่งขันกับพี่ผกากรองเลยนะจ๊ะ”
“พี่รู้…แม่แก้วของพี่จิตใจดีเป็นที่หนึ่ง เป็นทองแท้ที่หาได้ยากยิ่ง ให้เปลวเพลิงร้อนเพียงใดก็มิอาจทำร้ายแม่แก้วของพี่ได้”
หรือหากมีเปลวเพลิงใดคิดหมายทำร้ายเอ็ง พี่จะปกป้องดูแลเอ็งเอง พลันใบหน้าของคุณพริ้มก็ปรากฏในความคิด มือที่กำไม้พายเอาไว้เกร็งแน่น กล้าดูถูกดูแคลนแม่แก้วของเขา
แก้วน้ำตาไหลพราก ขยับตัวโถมเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น ในใจเกิดความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะอธิบายออกมา แต่ที่เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนก็คือความน้อยเนื้อต่ำใจ
“นิ่งเถิดหนาคนดีของพี่ ผู้อื่นไม่เห็นค่าน้ำใจเอ็ง เอ็งก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”
“พี่ผกากรองเข้าใจฉันผิด ฉันจักทำอย่างไรดี…”
“เอาเถิดๆ มิต้องเอ่ยความแล้ว เอ็งมีพี่ที่รักแลเข้าใจเพียงผู้เดียวก็พอแล้วมิใช่รึ”
รักแลเข้าใจ แม้รู้ว่าปราบเพียงสรรหาคำมาปลอบโยนทว่าหัวใจของแก้วก็เต้นระรัวอิ่มเอมจนหวาดหวั่นว่าเจ้าของอ้อมแขนจะสัมผัสได้
เมื่อเห็นว่าแม่แก้วสงบลงแล้วปราบจึงยอมคลายอ้อมแขน พลางใช้หลังมือปาดหยาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างอ่อนโยนแล้วขยับตัวกลับไปพายเรือดังเดิม
“วันนี้พี่จักลงครัวทำแกงเทโพของโปรดให้ลิ้มรสดีหรือไม่”
“ทำเป็นหรือเจ้าคะ”
คนที่ก่อนหน้ายังร่ำไห้จนตาแดงเอ่ยเย้า ปราบจึงเชิดหน้าเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“เอ็งลืมไปแล้วรึว่ารสมือของแม่พี่ดีเพียงใด เยี่ยงนี้แล้วพี่ที่เป็นลูกเพียงคนเดียวจักเป็นลูกไม้หล่นไกลต้นได้อย่างไร”
แก้วยิ้มกว้าง มองคนที่โอ้อวดรสมือตนอย่างขบขัน หากแต่ยามที่ยกสำรับขึ้นเรือนมาแก้วก็ตระหนักได้ว่าคำของปราบนั้นมิเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
“รสมือพี่ดีหรือไม่”
“ดีมากเลยจ้ะ หากพี่ลงครัวบ่อยๆ ฉันคงตัวกลมมีเนื้อเกินงาม”
“รูปร่างเอ็งจะเป็นอย่างไรก็งามในสายตาพี่เสมอ”
คำหวานที่เรียบง่ายเรียกริ้วแดงขึ้นที่พวงแก้มเนียนจนแก้วต้องเบนสายตาหลบ สายเห็นสองผัวเมียหยอกเย้ากันก็ขยับตัวลุกขึ้นเข้าหอนอนเปิดทางให้คนทั้งคู่ แก้วเม้มริมฝีปากบางก่อนจะยกสำรับลงไปเก็บด้วยท่าทีเขินอาย
วันต่อมาคุณหุ่นเกิดล้มป่วยกะทันหัน และเรียกหาเพียงนางสายบ่าวคนสนิท จมื่นเมฆจึงให้คนมาเชิญนางสายไปที่เรือน แก้วที่ได้ยินข่าวก็ห่วงใยคุณหุ่นขอติดตามไปด้วยอีกคน
“วันนี้พี่มีกิจธุระสำคัญไปส่งมิได้ แต่เย็นๆ จะไปรับกลับเรือน”
“มิเป็นกระไรจ้ะ เรือนคุณหุ่นฉันกับแม่ก็ไปอยู่บ่อยครั้ง พี่มิต้องกังวลไป”
ปราบพยักหน้ารับ คิ้วหนายังคงขมวดแน่น หากมิใช่เพราะมีกิจสำคัญเป็นตายเขาก็มิยอมให้แก้วไปที่เรือนนั้นโดยไม่มีเขา ยิ่งคิดว่าวันนี้คุณนิ่มคงอยู่เฝ้าไข้คนเป็นแม่ที่เรือนในใจของเขาก็ยิ่งว้าวุ่นมิอาจสงบลง
ยามที่มาถึงเรือนจมื่นเมฆ นางสายก็เข้าไปปรนนิบัติคุณหุ่นในหอนอน ส่วนแก้วหลังเข้าไปกราบท่านแล้วก็ออกมานั่งอยู่ที่ชานเรือน เช่นเดียวกับคุณนิ่มที่นั่งบนตั่งกลางชานเรือนเพื่อรั้งอยู่เฝ้าคนเป็นแม่
“มิพบกันเสียนาน แม่แก้วสบายดีหรือไม่”
“สบายดีเจ้าค่ะ”
คุณนิ่มยิ้มกว้าง สายตามองใบหน้าหวานละมุนของหญิงสาวด้วยหัวใจที่อิ่มเอม แม่แก้วนั้นมิใช่หญิงงามตรึงตา แต่กลับตรึงใจของเขาอย่างน่าประหลาด เพียงพบพานครั้งเดียวก็ทำให้เขาคะนึงหาไม่สร่าง
“ฉันได้ยินมาว่าแม่แก้วเจรจาได้หลายภาษาจริงหรือไม่”
“พอได้อยู่เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นสอนฉันบ้างได้หรือไม่ ฉันอยากพูด…ภาษาฝาหรั่ง เอาไว้ตอนไปเจรจาราชการ”
“อิฉันเพียงพูดได้บ้าง มิกล้าสอนผู้ใดเจ้าค่ะ”
“มิต้องมาก แค่ไม่กี่ประโยคก็พอ อย่างเช่น…”
คุณนิ่มยกตัวอย่างรูปประโยคง่ายๆ แต่สำคัญขึ้นมา เมื่อไม่อาจปฏิเสธได้แก้วก็จำใจต้องช่วยชี้แนะอีกฝ่าย คุณนิ่มใจเต้นระรัวเมื่อคราได้พานพบครั้งแรก เขาตรึงใจในรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนของแม่แก้ว แต่ยิ่งได้คบหาพูดคุยก็ยิ่งตรึงจิตผูกเสน่หาจนยากจะถอนตัว
“แม่แก้วออกเรือนไปอยู่กับพ่อปราบสบายดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ อิฉันสบายดี”
“มิคิดอยากเป็นเมียขุนนางบ้างรึ”
หัวใจของแก้วกระตุกวูบ ใบหน้าซีดเผือดก่อนจะรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นสบแววตาคม แล้วเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
“อิฉันเป็นหญิงออกเรือนแล้ว แลมิคิดจะออกเรือนใหม่มิว่าด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม หัวใจของอิฉันรักมั่นเพียงพี่ปราบ ต่อให้ภายหน้าต้องยากลำบากเพียงใดก็มิคิดเปลี่ยนใจเจ้าค่ะ”
คำพูดที่หนักแน่นของแก้วดังก้องในโสตประสาทของคุณนิ่ม แลยังสะท้อนในใจของคนที่กำลังก้าวขึ้นบันได มุมปากหนายกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง ความกรุ่นโกรธเมื่อครั้งได้ยินคุณนิ่มเกี้ยวพานเธอพลันจางหาย ทว่ายังคงมีความหงุดหงิดขุ่นเคืองอยู่มากโข ยามที่ก้าวเหยียบพื้นเรือนคุณหุ่นจึงเอ่ยเสียงก้อง
“พ่อครูบอกว่าเพลงมวยคุณนิ่มมิค่อยดีนัก วันนี้ให้กระผมมาฝึกสอนเพิ่มเติมขอรับ”
คุณนิ่มย่อมรู้ดีว่าตนเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้าแล้ว ทว่าเพื่อให้ตัดใจได้อย่างเด็ดขาดครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า เพียงแต่ปราบมิได้รู้ความคิดของชายหนุ่ม ยามที่ประลองฝึกฝนเพลงมวยจึงไม่คิดออมแรง ทั้งหมัด ศอก เข่า ล้วนประเคนให้คุณนิ่มอย่างสุดกำลัง ผ่านไปไม่นานคุณนิ่มก็นอนคุดคู้ยกมือห้ามปรามเอ่ยยอมจำนน
“เมื่อรู้ว่ามิอาจชนะก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ หวังว่าคุณนิ่มจักเข้าใจคำเตือนนี้ของกระผม”
ปราบเอ่ยบอกน้ำเสียงลอดไรฟันเพียงให้ได้ยินแค่คนตรงหน้ากับเขาเท่านั้น คุณนิ่มขบกรามมองผ่านร่างสูงไปยังหญิงสาวเบื้องหลัง แม้จะเจ็บปวดอยู่มากโข แต่คงถึงคราวที่ต้องยอมรับแล้วว่าดอกแก้วนี้เขามิอาจครอบครอง
แก้วมองคนที่หาวิธีจัดการผู้อื่นอย่างสุจริตชอบแล้วส่ายหน้าไปมา ก่อนจะหยิบขันน้ำฝนไปส่งให้
“ไปกินรังแตนที่ใดมากันจ๊ะ จึงได้ไปลงกับคุณนิ่มเยี่ยงนั้น”
“ทำไม…หรือเอ็งเป็นห่วงคุณนิ่ม มิต้องห่วงดอก โดนแค่นั้นยังมิถึงตาย”
แก้วขบขันกับวาจาของอีกฝ่าย ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้าที่เอวมาซับเหงื่อบนกรอบหน้าคม
“ฉันเป็นเมียพี่ จักไปห่วงผู้อื่นได้เยี่ยงไรกัน”
“เป็นเมียแต่กลับมิยอมทำหน้าที่เมีย เยี่ยงนี้จะให้พี่ไว้ใจได้อย่างไร”
“เยี่ยงนั้นก็ให้ฉันทำหน้าที่เมียดีหรือไม่ พี่จะได้ไว้ใจแลมิต้องทำตัวพาลใส่ผู้อื่นให้เป็นที่ครหาขัดเคืองใจกันเยี่ยงนี้”
แก้วเอ่ยวาจาเสียยาวเหยียดทว่าสิ่งที่ปราบสนใจกลับมีเพียงคำว่า ให้ฉันทำหน้าที่เมียดีหรือไม่
“แม่แก้ว พี่เป็นคนยึดถือในคำพูดมากเอ็งรู้ใช่หรือไม่”
แก้วพยักหน้ารับ เรื่องนิสัยรักษาคำสัตย์เท่าชีวิตของปราบนั้นแก้วย่อมรู้ดี เพราะตั้งแต่เขารับปากจะดูแลเธอผ่านมาสิบกว่าปีก็มิเคยผิดคำเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นก็กลับเรือนเสียประเดี๋ยวนี้”
“กลับเรือน เหตุใดต้องเร่งกลับกันจ๊ะ แม่ยัง…”
“คืนนี้แม่ว่าจะนอนเสียที่เรือนคุณหุ่น”
นางสายที่ลงมาจากเรือนตั้งแต่ได้ยินว่าลูกชายตัวดีท้าตีท้าต่อยกับลูกชายของผู้เป็นนาย เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อตัวดีก็รู้เจตนาของอีกฝ่าย ดวงตาของหญิงสูงวัยปรากฏแวววิบวับ ยกยิ้มสบสายตาคมอย่างรู้ทัน
“เยี่ยงนั้นพวกเราก็กลับเรือนกันเถิด ประเดี๋ยวจะเย็นย่ำเสียก่อน”
ปราบเอ่ยจบก็ช้อนคนตรงหน้าอุ้มแนบอกก้าวเท้าลงเรือโดยเร็วจนคนด้านหลังอดที่จะขบขันมิได้ ทั่วทั้งพระนครจะหาใครหวงแหนเมียเท่าพ่อปราบหามีไม่ คำเล่าลือนี้ดูแล้วมิผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อยจริงๆ
ทันทีที่ลงเรือปราบก็จ้วงฝีพายอย่างเร่งรีบราวกับกังวลกลัวว่าคนตรงหน้าจะหลงลืมคำพูดของตนแล้วกลับคำ
“พี่ปราบมีเรื่องด่วนอันใดที่เรือนหรือจ๊ะ เหตุใดต้องเร่งรีบปานนี้”
แก้วเห็นการกระทำที่ร้อนรนอย่างผิดวิสัยของปราบก็เอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“พี่ก็เร่งกลับไปให้เอ็งทำหน้าที่เมียอย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินคำตอบของปราบสองแก้มของแก้วก็ร้อนผ่าว ตระหนักได้ในทันทีถึงคำพูดที่ไม่ระวังของตน
“พี่ปราบเมื่อครู่ฉันเพียงหยอกล้อเท่านั้น พี่อย่าถือเป็นจริงเป็นจังไปเลยนะจ๊ะ”
“แต่พี่นับเป็นเรื่องจริงจัง”
ปราบเทียบเรือเข้าท่าผูกมัดเรือแล้วขยับตัวสอดแขนเข้าโอบอุ้มคนตรงหน้าเข้าแนบอกอีกครั้ง แก้วเบิกตากว้างวางมือคล้องลำคอแกร่งอย่างไม่รู้ตัว
“พี่ปราบประเดี๋ยวก่อนจ้ะ”
ปราบยกเท้าขึ้นถีบบานประตูหอนอนก่อนจะก้าวเดินไปยังเตียงนุ่มทิ้งตัวทาบทับลงบนร่างเล็กในอ้อมแขน
“พี่ปราบ!…”
“เอ็งมิเต็มใจเป็นเมียพี่หรือ”
น้ำเสียงตัดพ้อแฝงความเศร้าของปราบทำให้หัวใจของแก้วสั่นไหว เธอออกเรือนกับเขามาร่วมปี นอกจากนอนร่วมเตียงแล้วปราบก็มิเคยทำกระไรเกินเลยกว่านั้น ริมฝีปากเล็กขบเม้มอย่างชั่งใจ ความตั้งมั่นที่จะมิใช้สามีร่วมกับพี่สาวกับความปรารถนาในใจตีกันจนสับสนไปหมด
“หากเอ็งบอกพี่ว่ามิเต็มใจ พี่จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ แลต่อไปจะมิกระทำให้เอ็งลำบากใจเช่นนี้อีก”
“ฉันเต็มใจหรือไม่หาสำคัญไม่ แต่พี่ผกากรอง…”
เสียงเล็กกลืนหายไปในลำคอ ดวงตากลมแดงก่ำฉ่ำวาว ในใจเกิดความรู้สึกปวดหนึบ ยิ่งคิดถึงภาพในวันวานเมื่อครั้งไปเยือนเรือนของหลวงโยธาธิบาล สายตาที่ปราบจดจ้องผกากรองอย่างมิลดละก็สะท้อนเข้ามาในห้วงความรู้สึก ร่วมปีมานี้แม้เธอได้อยู่ร่วมเรือน นอนร่วมเตียงกับเขา แต่ก็ยังมิใช่คนในใจของเขา
“เกี่ยวอันใดกับผกากรอง”
ปราบขมวดคิ้วหนาพลางจ้องมองนัยน์ตาที่สั่นไหวหลบสายตาเขาด้วยความสงสัย ก่อนจะจับปลายคางเล็กผินใบหน้างามมาสบตา
“แม่แก้ว เอ็งเป็นเมียพี่ มีเรื่องอันใดคับข้องใจก็ให้เอ่ยถาม อย่าได้คิดละเมอเพ้อเจ้อไปเอง”
“ฉันมิได้คิดละเมอเพ้อเจ้อไปเอง ฉันแค่มิใคร่ใช้ผัวร่วมกับพี่สาว”
ไม่ใช่เพียงเธอที่ไม่อยากใช้ผัวร่วมกับพี่สาว ผกากรองเองก็คงมิยินยอมเช่นกัน ดังนั้นหากภายหน้าไถ่ถอนตัวคนออกมาได้แลปราบรับผู้เป็นพี่มาเป็นเมียตัวเธอก็คงต้องจากไป ในเมื่อวันหน้าต้องจากลาแก้วจึงมิอยากผูกพันลึกซึ้งกับเขา เพราะสุดท้ายผู้ที่เจ็บปวดก็คงเป็นเธอผู้เดียว
“ใช้ผัวร่วมกับพี่สาว หมายความว่ากระไร”
ปราบได้ยินความคิดของคนใต้ร่างคิ้วเข้มก็ขมวดแน่น จดจ้องใบหน้าหวานด้วยความขุ่นเคือง
“เอ็งคงมิคิดว่าพี่มีใจหลงใหลแม่ผกากรองดอกนะแม่แก้ว”
“พี่ผกากรองเป็นหญิงงาม ชายใดเห็นก็ล้วนหมายปอง อยากได้มาเป็นเมีย หากพี่จัก…”
“แต่มิใช่พี่! ในสายตาของพี่หญิงเดียวที่พี่หมายปองก็คือเอ็ง หญิงเดียวที่อยากได้เป็นเมียก็คือเอ็ง”
แก้วได้ยินความในใจของปราบลมหายใจก็พลันสะดุด ดวงตาเบิกกว้าง ใจสั่นระรัว แม้แต่คำพูดที่จะเอื้อนเอ่ยก็อื้ออึงติดขัด
ปราบขบกรามแน่น ในใจปวดหนึบสั่นสะท้าน ขยับตัวลุกขึ้นยืนหันหลังหลบดวงตาหวานที่ไม่เชื่อมั่น
“แม่แก้วหากเอ็งบอกว่ามิเต็มใจยินยอมตกเป็นเมียพี่ พี่จะมิแตะต้องให้ขุ่นเคืองใจ แต่อย่าได้ผลักไสใส่ความพี่เยี่ยงนี้”
สติที่คล้ายหลุดหายของแก้วพลันหวนคืน ในจังหวะที่ปราบกำลังจะก้าวเดินจากไปมือเล็กก็รีบคว้าข้อมือหนาเอาไว้ในทันที
“ฉันเต็มใจจ้ะ แต่…”
เมื่อได้ยินคำว่า เต็มใจ เอื้อนเอ่ยออกมาจากคนบนเตียงปราบก็มิสนข้อแม้ที่เธอกำลังจะเอ่ยต่ออีก ร่างสูงโปร่งหมุนตัวกลับมาทาบทับกดแนบเธอลงบนเตียงอีกครั้ง ริมฝีปากหนากดประกบแนบชิดริมฝีปากนุ่ม ลิ้นร้อนสอดเกี่ยวกระหวัดดูดดึงราวกับนี่เป็นสิ่งที่เขาปรารถนามานานนม สองมือลูบไล้ไปตามเรือนร่างนุ่มสอดสัมผัสเรือนกายที่ได้สัดส่วนอย่างแนบชิด ผ้าผ่อนบนกายถูกปลดเปลื้อง ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นกลัวของหญิงสาว ปราบก็ข่มกลั้นความปรารถนาในกายตนเอง โลมเล้าอย่างใจเย็นจนแก้วคลายความตื่นตระหนกพร้อมทั้งกายและใจจึงได้ขยับตัวสอดประสานมอบความรักอันอ่อนโยนให้กับเธอ
แก้วเม้มริมฝีปากบางตัวเกร็งเมื่อร่างกายถูกเขาครอบครอง เสียงเล็กครวญสั่นสะท้านก้องดั่งเสียงหรีดเรไรที่ร้องอยู่นอกเรือน ปราบมอบความสุขสมอย่างลึกซึ้งอยู่ค่อนคืนจวบจนใกล้รุ่งสางจึงยอมหยุดมือเอนกายลงนอนที่ฟูกข้าง แก้วผ่อนลมหายใจยาวอย่างอ่อนล้าค่อยๆ ขยับตัวเพื่อลงครัวดั่งเช่นทุกวัน
“นอนต่อเถิด ประเดี๋ยววันนี้พี่ลงครัวเอง”
เสียงแผ่วเบาคลอเคลียไม่ห่างเอ่ยบอกเมื่อแก้วขยับตัวจะลุกขึ้น มือหนาขยับปัดป่ายไปตามเรือนร่างที่เนียนนุ่มเปลือยเปล่า
“พี่ปราบพอแล้วจ้ะ”
“อีกคราเถิดหนาแม่แก้ว”
“แต่ฉันไม่มีแรงแล้ว”
“พี่แรงดีนัก เอ็งแค่นอนเฉยๆ ให้พี่ได้รักก็พอ”
คนมีแรงขยับตัวทาบทับบนกายสาวอีกครั้ง แลกว่าเขาจะยอมหยุดตะวันก็เคลื่อนขึ้นสูง แก้วทั้งอ่อนล้าทั้งอับอายทว่าที่ทำได้ก็มีเพียงมุดตัวลงในผ้าแพรเพลาะเนื้อดีเท่านั้น ปราบมองหญิงสาวที่เขากล้าเอ่ยได้อย่างเต็มปากว่าคือเมียด้วยรอยยิ้มกว้าง กดริมฝีปากลงบนหน้าผากเล็กผ่านผ้าแพรเพลาะแล้วก้าวลงจากเตียงเข้าครัวเตรียมสำรับเช้าอย่างเอาใจ
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทส่งท้าย
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ