โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 18 : ปล่อยเธอไป (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 18 : ปล่อยเธอไป (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ตั้งแต่กลับมาจากเมืองจีนทั้งมโนชาและเฉินเอินต่างอยู่ในโลกของตนและพูดจากันแทบนับคำได้ เธอไม่รู้ว่าเขาจะเอายังไงกับเธอกันแน่เพราะเฉินเอินไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรแล้วเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม

จุดประสงค์ของเขาเธอค่อนข้างแน่ใจว่าที่เขาตัดสินใจบอกเรื่องราวทั้งหมดเพราะอยากให้เธอถอยห่างออกมา แต่สำหรับมโนชาที่เธอครุ่นคิดอยู่ตอนนี้คือกำลังตัดสินใจว่าจะถอยห่างหรือจะกระโจนเข้าไปดี

ทุกอย่างบนโลกล้วนไม่แน่นอน ความรู้สึกของมนุษย์ยิ่งผันแปรได้รวดเร็วยิ่งกว่ากระแสน้ำ เรื่องราวของความรักใช่ว่าคนเราจะคาดหวังได้ รักกันตั้งแต่เปิดม่านมุกจนได้ฝังร่างเคียงคู่ล้วนเป็นคำพูดสวยหรูจากในนิยาย เดี๋ยวนี้บางคนรักกันวันนี้พรุ่งนี้หย่ากันก็มีให้พบเห็นได้

ในเมื่อไม่มีอะไรการันตี ทำไมไม่ให้ค่ากับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดี เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งมีค่าที่แท้คือของที่อยู่ตรงหน้าหรืออยู่บ่อหน้ากันแน่ หรือบางทีก็อาจต้องรอไปจนถึงชาติหน้า

มโนชาไม่อยากรอไปจนถึงขนาดนั้น แต่เรื่องแบบนี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดัง ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้น มือก็ได้จับแล้ว วันถัดมาเขาก็ปิดประตูใส่ดังปัง

“เฉินเอินคนนี้นี่นะ บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาแบบนี้คือยังไง ให้เข้าใกล้หรือไม่ให้เข้าใกล้ เปิดเผยเรื่องส่วนตัวคือหมายความว่าให้สนิทได้ หรือตั้งใจจะบอกเป็นนัยว่าอย่ามายุ่ง”

คนถูกเอ่ยถึงซึ่งกำลังจิบชาอยู่ยังหอตำราสำลักน้ำชาเสียจนหน้าแดง สวีสุ่ยเหอที่ยืนอยู่ด้วยกันยื่นส่งทิชชูมาให้ ชายหนุ่มรับมาแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย ทั้งโมโหทั้งระอาคล้ายไม่อยากจะเชื่อปะปนกันไป

เขาคงประเมินเธอต่ำเกินไป มโนชาคนนี้เป็นคนที่มีมุมมองต่อโลกแปลกเป็นพิเศษ ตาชั่งในใจเธอหน้าตาเป็นแบบไหน มันตั้งจุดศูนย์ถ่วงเอาไว้ยังไง หากเป็นคนอื่นได้รู้ในสิ่งที่เธอรู้จะยังคิดแบบนี้อย่างเธออยู่ไหม เขาว่าเธอเข้าใจเรื่องที่เขาต้องการจะสื่อคือเขาและเธอเวลามันไม่อาจจะเดินไปพร้อมกันได้

“คุณเฉิน” เสียงสวีสุ่ยเหอเอ่ยเรียกเขาเป็นครั้งที่สอง เมื่อครู่กำลังคุยธุระกันเรื่องการรับน้ำชาครั้งต่อไปทว่าอยู่ดีๆ เจ้าของโรงน้ำชาคนนี้ก็คล้ายจะนิ่งงันไปทั้งยังดูเหมือนจะจมดิ่งลงไปในโลกของตนอยู่ครู่ใหญ่ ต่อเมื่อคนที่ติดอยู่ในภวังค์เลื่อนลอยเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้เตือนเรื่องที่เอ่ยค้างกันไว้

มือหนาของเจ้าของโรงน้ำเช้ายกขึ้นมานวดคลึงตรงหว่างคิ้วก่อนค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา

“ฉันจะให้พยากรณ์วันรับน้ำชาเย็นนี้ ได้วันแล้วก็นัดเข้ามาได้เลย แล้วก็ช่วยตามมโนชามาให้ด้วย”

มโนชาที่ว่ากำลังฝึกงานให้เด็กใหม่ซึ่งเพิ่งจะสมัครเข้ามาทำงานเป็นวันที่สอง ในตอนนี้หลังจากเวลาผ่านไปเกือบปีหน้าร้อนก็เวียนมาถึง ลูกค้าก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเพราะร้านที่ขายออนไลน์อยู่เริ่มมีคนรู้จัก พอได้พูดคุยกับลูกค้า ได้แนะนำชาให้ หลายคนเมื่อผ่านมาทางนี้ก็ยอมอ้อมมาอีกสักหน่อยเพื่อจะได้แวะทักทายและชิมชาใหม่ๆ แต่ถึงจะเพิ่มกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าขายดิบขายดีอะไร ที่นี่ยังคงสงบเงียบ ห่างไกลความวุ่นวาย สันโดษและโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขาและไร่ข้าวโพด

“ซินไม่ว่าง” มโนชาเอ่ยกับคนที่นำข้อความนั้นมาบอกเธอ สวีสุ่ยเหอถลึงตาใส่เธอถึงยู่ปากบ่นออกมาแบบเด็กกำลังงอแง

“ก็ซินกำลังสอนงานน้องใหม่อยู่ ว่าแต่พี่สุ่ยเหอรู้ไหมคะว่าคุณเฉินให้ตามซินไปทำไม” พักหลังเธอกับเขาแทบจะพูดจากันนับคำได้และส่วนมากก็เมื่อตอนมีบุคคลที่สามอย่างป้าจู สวีสุ่ยเหอ หรือน้องฝึกงานอยู่ด้วย เฉินเอินหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัวมโนชารู้ดี แม้ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงดีก็ตาม

บางครั้งเธอก็รู้สึกโกรธเขาที่เหมือนโยนระเบิดลูกใหญ่ใส่เธอแล้วไม่ยอมมาเก็บกวาดซากปรักหักพัง การรับน้ำชาความทรงจำนั่นที่เขาเคยบอกว่าจะพาไปดูสุดท้ายก็ไม่ได้เกิดขึ้น จนถึงตอนนี้มันก็ดูเลือนรางคล้ายความฝัน

บางครั้งเธอยังรู้สึกเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เพราะเมื่อกลับมาที่นี่สิ่งแวดล้อมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เขาก็ยังเป็นเขาคนเดิมคนเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นแล้วบอกกับไม่บอก สิ่งที่ดำเนินไปตรงหน้าก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปแต่อย่างใด นั่นยังรวมถึงความรู้สึกที่เธอมีให้เขาด้วย

เวลาไปนั่งอ่านนิยายอยู่ที่หอกลางน้ำ บางครั้งเธอก็ยังหวังให้เขามาปรากฏตัว พบกันในตอนเย็นคุยเรื่องหนังสือหรือเรื่องของกินจนกระทั่งฟ้าเปลี่ยนเป็นสีขาวจาง ยามรัตติกาลสลัวรางก็ยังนึกหวังได้เดินพูดคุยกันใต้เงาจันทร์กระจ่างเช่นดังคืนวันไหว้พระจันทร์ ท่องบทกวีไม่ก็เล่าตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์

มโนชาระบายลมหายใจออกมารู้สึกหนักอยู่ข้างในลึกๆ

กว่าเธอจะมาหาเขาได้ดวงไฟทั้งโรงน้ำชาก็สว่างขึ้นแล้ว มโนชาไม่ได้ไปในทันทีเพราะเขาไม่ได้บอกว่าให้เธอไปหาตอนไหน เธอรอจนกระทั่งทำงานเสร็จ แพ็กของเรียบร้อย ตอบคำถามลูกค้าจนครบทุกคำถามแล้วถึงค่อยไป ซึ่งการไปโดยไม่เลือกเวลาของเธอก็ดันไปตรงกับเวลาอาหารของเขาพอดี

มโนชามองเงาร่างนั้นจากประตูด้านนอก รอบข้างไร้เสียง หลอดไฟให้แสงสว่างอย่างเงียบๆ เขานั่งคนเดียวที่โต๊ะดูโดดเด่นและโดดเดี่ยวไปพร้อมกัน

ร่างสูงที่เพิ่งจะนั่งยังไม่ทันได้คีบข้าวเข้าปากวางตะเกียบลง เขาผงกศีรษะขึ้นมาส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะผายมือเป็นสัญญาณให้นั่งลงฝั่งตรงข้าม

“กินอะไรมาหรือยัง” เสียงที่ทอดเป็นสำเนียงนุ่มนวลเอ่ยถาม มโนชาส่ายหน้าเบาๆ

ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เลื่อนถ้วยข้าวของตัวเองมาตรงหน้าเธอแล้วส่งตะเกียบให้ มโนชาเพียงแต่มองไม่ได้รับมา มือหนาก็ขยับตะเกียบตรงหน้าขึ้นเป็นเชิงคะยั้นคะยอให้เธอรับมันไป แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่ได้แตะต้องข้าวในถ้วยนั้นแม้แต่เม็ดเดียว

เฉินเอินมองภาพนั้นเงียบๆ ถอนใจออกมา เขาดึงตะเกียบกลับมา คีบซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานใส่ถ้วยข้าวให้ก่อนจะวางตะเกียบพาดไว้ตรงปากถ้วย

“ต้องให้ป้อนไหม” เขาเอ่ยน้ำเสียงอ่อนใจ “โกรธอะไรหรือซิน” มโนชาตวัดสายตาขึ้นมองเขา

“คุณเฉินมีธุระอะไรคะถึงให้ซินมาหา ปกติเราไม่อยู่กันสองต่อสองนี่คะ”

“กินก่อน คิดว่าเธอน่าจะกำลังหิว คุยกันตอนนี้ไม่ดีแน่ ฉันไม่ได้จะยื้อเวลากวนประสาทเธอแต่อยากใช้เหตุผลคุยมากกว่าอารมณ์ บอกเธอก็ได้ว่าเป็นเรื่องการรับน้ำชา ทีนี้จะกินได้หรือยัง”

“ได้ค่ะ” เธอรับคำเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันเมื่อเขาทักว่าอารมณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นี้น่าจะเกิดจากอาการหิวร่วมด้วย “ซินตักข้าวให้นะคะ”

สองคนนั่งกินอาหารเงียบๆ ไร้เสียงพูดคุยทั้งที่เมื่อก่อนเคยพูดคุยสนุกสนาน จนกินเสร็จมโนชาก็ได้รับแจ้งว่าการรับน้ำชาครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อพระจันทร์เต็มดวงในสัปดาห์หน้า

บุคคลที่เข้ามารับน้ำชาเป็นคนที่มโนชาเห็นแล้วก็ต้องตาโตทันทีเพราะเป็นบุคคลมีชื่อเสียง เป็นศิลปินซึ่งอยู่ในวงการเพลงมายาวนาน เรียกได้ว่าพอรู้ความเธอก็เห็นเขาถือกีตาร์โลดแล่นอยู่ตามเวทีคอนเสิร์ต ซึ่งเด็กอย่างเธอมักจะได้ดูผ่านรายการเพลงในจอโทรทัศน์

วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบตัวจริงของเขา แต่หลังจากเวลาผ่านมาหลายปีภาพจำของเธอซึ่งประทับอยู่กลับดูแตกต่างจากคนตรงหน้าโดยสิ้นเชิง

มโนชารู้สาเหตุนั้นดี นั่นเพราะข่าวบันเทิงเพิ่งจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับเขาเมื่อหลายเดือนก่อน เขาเพิ่งจะสูญเสียภรรยาไปจากโรคร้าย ความทุกข์นั้นเรียกได้ว่าแม้คนไม่รู้จักแค่เพียงมองผาดก็ยังเห็นได้ มันมาพร้อมกับรูปร่างซูบผอม เบ้าตาลึกโหล และความโทมนัสอย่างสาหัสที่สะท้อนอยู่ในดวงตา

มโนชาไม่ได้ทักว่า ‘ยินดีที่ได้พบ หนูเป็นแฟนคลับของคุณ’ ออกไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเขาไม่อยู่ในอารมณ์นั้น เขาดูอมทุกข์คล้ายคนแบกโลกเช่นเดียวกับคนแถวนี้แต่เป็นหนักกว่ามาก สีหน้ายามได้พบราวกับมีภูเขากดอยู่บนบ่า



Don`t copy text!