เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “We go native”

เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “We go native”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของคนทำงานป่าไม้ เพราะแม่น้ำหลายสายแห้งขอดจนเห็นกรวดทราย ข้ามฝั่งง่ายแค่เตียว…เดินไป ไม่ต้องใช้เรือแจวหรือถ่อแพ แลด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจล่องซุงไปตามลำน้ำได้ ต้องรอให้ถึงหน้าฝนน้ำหลากรี่ไหล ช่วงเวลานี้นายห้างปางไม้จึงพักผ่อนหย่อนใจด้วยการเที่ยวไปในเมืองต่างๆ ช้างลากไม้ที่เช่ามาจากชาวบ้านก็คืนไป รอทำสัญญาเช่าครั้งใหม่เมื่อถึงฤดูขนส่ง ส่วนช้างของบริษัทก็ปล่อยให้อาศัยเป็นอิสระในป่า ทว่าสิ่งที่ทำได้ตลอดทั้งปีคือ การเข้าป่าเพื่อกานไม้ที่ได้ขนาดแล้ว

คณะเข้าป่ากานไม้นำโดยมิสเตอร์อีแวนเดอร์…นายฝรั่งต้นคอแดงผู้พร่ำอยู่เสมอว่า อาจเข้าป่าเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่นายห้างหนุ่มผู้มาใหม่ วิลเลียมและลีรอยต้องเก็บเกี่ยวความรู้ไว้ให้มากที่สุด ใน ขณะที่เมืองลอบอมยิ้มมิให้นายห้างต้นคอแดงเห็น

แต่ไม่พ้นสายตาลีรอย เขาแอบถามเมื่อมิสเตอร์อีแวนเดอร์เผลอ เมืองก็กระซิบว่า

“นายห้างประกาศแบบนี้เสมอ แต่ปีๆ หนึ่งอยู่ป่ามากกว่าอยู่บ้านกับเมียเสียอีก”

ลีรอยอดหัวเราะไม่ได้เมื่อรู้เหตุผล ซ้ำน้ำเสียงของเมืองก็มีนัยคล้ายจะท้าทายว่า…นายห้างคอยดูไปสิ

วิลเลียมและลีรอยสวมเสื้อยืดเพื่อซับเหงื่อ เพราะมิสเตอร์อีแวนเดอร์บอกว่าอากาศหน้าร้อนที่นี่ร้อนแทบขาดใจ และป่าหน้าร้อนไม่อันตรายเท่าป่าหน้าฝน จากนั้นจึงสวมทับด้วยเสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นสีกากี หมวกกะโล่บังแดดสีเดียวกัน พันข้อเท้าด้วยผ้าหนาสีน้ำตาลเข้มจากตาตุ่มขึ้นมาถึงเข่า แล้วจึงสวมรองเท้าบู๊ตที่มีปุ่มกันลื่น สิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้คือสายวัดขนาดไม้

มิสเตอร์อีแวนเดอร์แต่งกายแบบเดียวกัน วันนี้เขาตัดใจจากคิลท์ที่รักหนักหนาได้ แต่ไม่วายเปลือยเท้าย่ำไปบนพื้น ไม่สะทกสะท้านว่าพื้นนั้นกระด้างและร้อนราวแผ่นเหล็กเผาไฟ

เมืองเลือกคนงานเงี้ยวที่ชำนาญการเดินไพรมาเพียงสองคนให้ติดตามเข้าป่า ก็เป็นอันครบถ้วนคณะสำรวจป่าขนาดเล็ก

ครั้นถึงพื้นที่ป่าสัมปทานของบริษัท สิ่งแรกที่มิสเตอร์อีแวนเดอร์ชี้ให้ผู้จัดการคนใหม่ดูคือต้นสักขนาดใหญ่หลายคนโอบที่โคนต้นมีรอยบากรอบ เขาใช้ไม้อันหนึ่งเคาะลำต้นให้นายห้างหนุ่มฟังเสียง พึมพำกับตัวเองพร้อมบอกไปในคราวเดียวกันว่า

“ยังไม่ได้ที่ ต้องรออีกสักปี”

เมืองพลิกบัญชีไม้ในมือ ไล่เรียงดูแล้วให้ข้อมูลเพิ่ม

“ต้นนี้เพิ่งกานเมื่อปีที่แล้วครับ นายห้าง”

“นั่นสิ ถึงยังไม่ได้ที่” มิสเตอร์อีแวนเดอร์ย้ำความแม่นยำของตนเอง เขาไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าในการถ่ายทอดความรู้สู่นายห้างรุ่นใหม่ “ไม้สักที่นี่คุณภาพดีที่สุดในโลก มูลค่าของป่าสักไม่ต่างจากเหมืองทองคำ ไม้สักต่างจากไม้ชนิดอื่นๆ ตรงที่เมื่อแห้งสนิทแล้วจะไม่หด บวม หรือแตก และไม่มีปัญหาเรื่องมอดหรือแมลงเจาะไช จึงเหมาะมากที่จะใช้ต่อเรือ แต่ต้องมั่นใจว่าไม้แห้งสนิทแล้วจริงๆ นะ”

“ทำไมต้องทำอย่างนี้ครับ?” วิลเลียมชี้ไปยังรอยบากลึกที่โคนต้น

“นี่ละ บทที่หนึ่งของวิชาป่าไม้” มิสเตอร์อีแวนเดอร์หัวเราะดังอย่างถูกใจ บอกเล่าเหมือนครูอนุบาลที่กำลังจะสอนเด็กให้รู้จักตัวอักษรเสียก่อนพัฒนาไปสู่การผสมคำ “เมื่อเธอพบต้นสักที่ถูกใจ ได้ขนาดมาตรฐานตามที่กำหนดแล้ว เธอจะตัดเลยไม่ได้ แต่ต้องทำให้มันยืนต้นตายเสียก่อน วิธีนี้เรียกว่า กานไม้”

ลีรอยย่อตัวลงดูรอยบาก วางฝ่ามือทาบลงไป

“ต้องบากลึกแค่ไหนครับ?”

“ประมาณฝ่ามือ หรือกว่านั้นสักหน่อยก็ได้ ให้มั่นใจว่าตัดถึงท่อน้ำเลี้ยง กานไม้คือการทำให้ต้นไม้ยืนต้นตายอย่างช้าๆ ด้วยการบากที่โคนต้น สูงประมาณฟุตถึงสามฟุตอย่างนี้ละ เมื่อต้นไม้ขาดอาหารและน้ำไปหล่อเลี้ยง มันก็จะค่อยๆ ตาย บางต้นหนึ่งปี บางต้นเกือบสองปี กว่าจะตัดได้” ย้ำในตอนท้ายว่า “เธอต้องมั่นใจว่าไม้แห้งสนิทดีแล้วจึงค่อยตัด”

“ถ้าเราตัดก่อนเวลาล่ะครับ?” วิลเลียมใคร่รู้จริงจัง

“เวลาล่องซุงบางท่อนที่หนักมากก็จะจม เธออย่ายึดมั่นในทฤษฎีว่าไม้ไม่จมน้ำเสมอไป ไม้สักที่แห้งสนิทดีแล้วน้ำหนักจะเบา ล่องไปตามลำน้ำง่าย และพร้อมใช้งานได้ทันที แต่ไม้ที่ยังมีน้ำอยู่ในเนื้อไม้ ต้องทิ้งไว้ให้คายน้ำจนหมดเสียก่อนจึงจะเอามาใช้งานได้ ทำให้เสียเวลารอคอย”

ตลอดบ่ายมิสเตอร์อีแวนเดอร์พาคณะเดินเคาะไม้ที่กานไว้เมื่อปีกลาย ฝึกให้ฟังเสียงไม้ว่ายังมีน้ำอยู่หรือไม่ ต้นใดพร้อมแล้วสำหรับการตัดในฤดูนี้ ต้นใดยังต้องทิ้งไว้ และต้นใดที่พร้อมสำหรับกาน

“ช่วงนี้สถานีป่าไม้หลายแห่งถือเป็นช่วงพัก แต่สำหรับฉัน การกานไม้ไม่มีฤดูกาล” มิสเตอร์อีแวนเดอร์บอกแก่สองหนุ่ม

ต่อมาจากนั้น…หลายครั้งเมื่อวิลเลียมได้ฟังหนูพูดถึงสามี นางมักเล่าเชิงขำขันระคนบ่นพ้อสามีว่า เขารักการใช้ชีวิตในป่ามากกว่าการอยู่บ้านกับลูกและเมีย แต่ก็ดีว่าหมดกังวลเรื่องนอกใจ ถ้าอีแวนเดอร์จะเสน่หาในลิงค่างบ่างชะนีในป่าก็เชิญหลงได้ตามใจชอบ

ตะวันคล้อยต่ำไปทางทิศประจิม พอดีกับคณะถึงที่เหมาะสำหรับตั้งแคมป์ เมืองและคนงานเงี้ยวช่วยกันกางเต็นท์และก่อไฟทำอาหาร ในขณะที่มิสเตอร์อีแวนเดอร์พาสองหนุ่มไปที่หน้าผาเพื่อดูผืนป่าที่ได้สัมปทาน จนแสงตะวันลับขอบฟ้า อาหารก็พร้อมสำหรับมื้อค่ำรอบกองไฟ

“ทำไมคุณถึงเปลือยเท้าตลอดเวลา ไม่ร้อนหรือ ป่านนี้เท้าคงด้านไปหมดแล้ว” วิลเลียมถามตรงๆ เพราะมิสเตอร์อีแวนเดอร์ย่ำเท้าเปล่าไปทั่วป่าตลอดทั้งวัน ไม่มีแม้แต่ผ้าพันข้อเท้าถึงหน้าแข้งอย่างเขาและลีรอย ขนาดเขาสวมรองเท้าก็ยังไม่วายถูกหนามเกี่ยวเป็นระยะ

มิสเตอร์อีแวนเดอร์หัวเราะถูกใจ ใช้ไม้เล็กยาวเขี่ยขี้เถ้าร้อนหมกหัวเผือกและมัน

“ฉันภูมิใจในความเป็นไอริชของฉัน ภูเขาที่นั่นสภาพไม่ต่างจากป่าไม้ที่นี่หรอก พวกคนงานที่นี่ขี้เกียจ มีแต่ข้ออ้างสารพัดที่จะเลี่ยงงาน ฉันจึงย่ำเท้าเปล่าเพื่อให้ไอ้พวกลิงป่าที่นี่ได้เห็นว่าเราแข็งแกร่งและอดทนเพียงใด”

ลีรอยระบายลมหายใจช้าๆ ไม่ให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ในหัวมีคำถามว่า…แล้วมันคุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้หรือ เพราะคนงานก็มิได้ขยันขึ้น เพียงแต่มีท่ากลัวลนลานเมื่อนายฝรั่งต้นคอแดงเดินผ่านเท่านั้น

มิสเตอร์อีแวนเดอร์เขี่ยกองไฟ เติมกิ่งไม้และเปลือกส้มตากแห้งเข้าไปเพื่อไล่ยุง หลังอาหารค่ำแทนที่เขาจะจิบเหล้าหรือสูบซิการ์ เขากลับอมเมี่ยงที่นางหนูห่อเป็นก้อนพอดีคำ กะให้พอช่วงเวลาที่สามีเข้าป่าระยะสั้นๆ เป็นของว่างหลังอาหาร เรียกใบตองและเครื่องยาเส้นจากคนงานเงี้ยวมามวนเป็นบุหรี่หรือ บูรีขี้โย อัดเข้าปอดพ่นควันปุ๋ยอย่างสบายอารมณ์

“คุณทำตัวเป็นคนที่นี่เข้าไปทุกที” ลีรอยว่าขำๆ ไม่มีเจตนาเหน็บแนม คนถูกทักหัวเราะร่า ทว่ามีริ้วขื่นอยู่ในคำตอบนั้น

“ฉันกลายเป็นคนพื้นเมืองแล้ว I became native”

“คุณอยู่ที่นี่นานเท่าใดแล้ว ได้กลับบ้านบ้างไหม?” วิลเลียมเห็นท่าทีของมิสเตอร์อีแวนเดอร์คล้ายถูกความเหงาเศร้าจับอยู่ครู่หนึ่ง ‘บ้าน’ ที่เขาถามถึงคือสกอตแลนด์ มิใช่บ้านที่เขาอยู่ร่วมกับภรรยาชาวพื้นเมือง

“นายห้างอย่างพวกเรา ต้องทำงานครบสามปีก่อนถึงจะลาพักผ่อนได้ บางคนก็รอให้ครบห้าปีจึงขอลาสักครั้งหนึ่ง” เล่าพลางก็ถามนายห้างหนุ่มทั้งคู่ “เธอเองก็คงต้องอยู่ที่นี่อีกนานกว่าจะได้กลับไปพบครอบครัวที่อังกฤษ”

“พวกเราไม่มีห่วงอะไรที่อังกฤษแล้วครับ ทั้งผมและลีรอย เรากำพร้าทั้งคู่”

มิสเตอร์อีแวนเดอร์พยักหน้ารับรู้อย่างไม่ซักถามรายละเอียดให้วุ่นวาย ไม่แม้แต่จะแสดงความเวทนาในชะตากรรมของสองหนุ่ม แต่กลับเล่าถึงที่มาของตนเองเมื่อถูกถามว่าเหตุใดเขาจึงมาอาศัยอยู่ไกลบ้านเช่นนี้ และมีแววว่าจะอยู่ตลอดไปจนถึงบั้นปลายชีวิต

เรื่องราวของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ถึงถูกถ่ายทอดเป็นนิทานรอบกองไฟ

แม้จะเกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์ประเทศอังกฤษและใช้ชีวิตวัยเรียนที่เมืองเชอร์เล่ย์ แต่บรรพบุรุษของเขาก็เป็นชาวสกอตที่มาจากลุ่มน้ำไคลด์ใกล้เมืองกลาสโกลว์ ซ้ำยังเกิดในตระกูลมั่งคั่งเจ้าของโรงกลั่นน้ำตาลในสกอตแลนด์ที่บ้านใหญ่เทียบเท่าปราสาท การเดินทางสู่อีกซีกโลกหนึ่งของอีแวนเดอร์จึงเหมือนเด็กหนุ่มที่ชีวิตสมบูรณ์พร้อมเกินไปอยากผจญภัยสู่โลกกว้าง

“ฉันพบกับหลุยส์ และทำงานกับเขาที่บริษัทบริติชบอร์เนียว”

นายฝรั่งต้นคอแดงเล่าถึงชีวิตสนุกสนานเมื่อแรกเริ่มทำงานกับหลุยส์ที่ระแหง เชียงใหม่ ก่อนจะผิดใจกันด้วยเหตุผลที่เขาบอกว่า

“หลุยส์ขี้เล่นและมีเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป ในขณะที่ฉันยึดมั่นในความถูกต้อง”

หลุยส์หัวเสียเป็นอย่างมากเมื่ออีแวนเดอร์ยื่นใบลาออก บอกเหตุผลด้วยวาจาถึงแนวทางการทำธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกัน มิสเตอร์อีแวนเดอร์ในตอนนั้นแทบจะเป็นมือขวาของหลุยส์ก็ว่าได้ การลาออกอย่างฉับพลันทำให้หลุยส์ ‘เป๋’ ไปพักหนึ่ง แล้วถึงกับโมโหเลือดขึ้นหน้าเมื่อในเวลาต่อมา อีแวนเดอร์ทำงานที่บริษัทบอมเบย์เบอร์มา อันนับว่าเป็นทั้งคู่สัญญา คู่ค้า และคู่แข่ง แม้จะเป็น ‘บริษัทน้องใหม่’ ในกลุ่มที่ได้สัมปทานทำไม้ในป่าล้านนา

ปัญหาที่หลุยส์สร้างไว้แก่บริษัทบริติชบอร์เนียวเข้าขั้นอีรุงตุงนัง ทำให้หลุยส์ตัดสินใจตั้งบริษัทของตนเองเป็น ‘นายหน้า’ มากกว่าจะทำไม้ด้วยตนเอง เส้นทางของหลุยส์และอีแวนเดอร์จึงวนมาบรรจบกันอีกครั้ง

จนกระทั่งอีแวนเดอร์พบรักกับสาวพื้นเมือง บ่าวคนสนิทของเจ้านางผู้หนึ่งจนกระทั่งครองรักกัน แม้มีอุปสรรคขวางกั้นพอสมควรกว่าจะได้สมใจ หลุยส์ก็ไม่วายเหน็บทุกครั้งที่พบหน้าทำนองว่าสิ่งที่อีแวนเดอร์เคยตำหนิตนทั้งเรื่องกลโกงในการทำธุรกิจและการหาความสำราญกับหญิงพื้นเมืองนั้น อีแวนเดอร์กำลังกลืนน้ำลายตัวเองด้วยการเจริญรอยตามเขา

 

เสียงป่ายามราตรีมีผลให้ความคิดของวิลเลียมเพริศไปถึงคน ‘ทางโน้น’ เขาเชื่อว่านี่คือโชคชะตาที่นำพาเส้นทางของเขาและมุ่ยให้มาบรรจบกัน หาไม่แล้วก็คงคลาดแคล้วไปจนได้

เหตุการณ์ที่กาดกองต้าทำให้อีแวนเดอร์เป็นกังวลว่าเจ้านางนกน้อยจะบุกถึงบ้านในช่วงที่เขาเข้าป่า ใช้ทั้งบุญคุณเกลี้ยกล่อม ใช้กำลังและอำนาจฉุดคร่านางหนูข้าเก่ากลับไปอยู่ที่คุ้ม ซึ่งอาจแปลได้ว่าคุมขังกักตัวไว้ไม่ให้กลับมาพบกับสามีอีก

ก่อนวันเดินทางเป็นวันเดียวกับที่หนานทิพย์มาที่สถานีป่าไม้เพื่อรับตัวลูกสาวกลับไปอยู่กับหมอและมิสซิสสจ๊วต มิสเตอร์อีแวนเดอร์จึงขอร้องหนานทิพย์ให้มุ่ยอยู่เป็นเพื่อนนางหนูที่สถานีป่าไม้ เพราะรู้แน่ว่าเจ้านางนกน้อยไม่ใคร่เข้ามาในเขตของสถานีด้วยความจงชัง แต่ก็ทำให้มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าปลอดภัย แม้หนานทิพย์ไม่ค่อยเต็มใจหากสุดท้ายก็อนุญาต และกำชับว่าถ้าคณะสำรวจป่ากลับวันใด ตนจะมารับลูกสาวกลับไปในวันนั้น

ก็อีกไม่กี่วันนี้เอง

วิลเลียมระบายลมหายใจช้าๆ ครุ่นคำนึงว่าจะหาเหตุผลใดมารั้งตัวมุ่ยไว้ได้อีก

“นายยังไม่นอนอีกหรือ?” เสียงเบาถามมาจากคนที่นอนข้างๆ

“นายก็ยังไม่นอนหรือ ฉันคิดว่านายหลับไปเสียแล้ว”

“นานเท่าไหร่แล้ว ที่เรานอนพร้อมกัน ตื่นพร้อมกัน กินพร้อมกัน” ลีรอยปรารภขึ้นมาโดยไม่ต้องการคำตอบ

“ก็นานเท่าที่เรารู้จักกันมานี่แหละ”

“นายกังวลเรื่องมุ่ยกับเบ็ตตี้อยู่ใช่ไหม?” ลีรอยถามแต่ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอ่ยต่อไป “ไม่ว่านายจะตัดสินใจอย่างไร นายจะมีคนหนึ่งที่ไม่คัดค้านและพร้อมจะอยู่เคียงข้างนายทุกเมื่อ นอนเถอะ เรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็ให้เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน”

“ขอบใจนายมาก ลีรอย นายรู้ไหม สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจโดยไม่เคยกังขาเลยว่าจริงหรือลวง ก็คือความรู้สึกของนายนี่ละ ฉันรู้ว่าวันที่ฉันไม่เหลือใครสักคน จะยังมีนายอยู่ข้างๆ หรือในวันที่ฉันทำอะไรบ้าๆ ลงไป นายก็พร้อมจะกระโจนไปด้วยกันโดยไม่ถามเหตุผลจากฉันว่าเพราะอะไร”

“เพราะฉันรักนาย” ลีรอยเอ่ยออกมาแล้วขยายไปว่า “…เพราะเราเป็นเพื่อนรักกัน”

“ใช่…เพราะเราเป็นเพื่อนรักกัน” วิลเลียมทวนคำพูดนั้น ลมหายใจเริ่มสงบผิดกับก่อนหน้านี้

“กลางคืนในป่ากลางฤดูร้อนที่นี่อากาศก็เย็นใช่ย่อย แม้ไม่หนาวจนถึงกับตัวสั่น แต่ก็เย็นมากทีเดียว นายว่างั้นไหม” ลีรอยถามออกไป แต่ไม่มีเสียงตอบมาจากคนที่นอนข้างกัน วิลเลียมหลับแล้ว มีรอยยิ้มมุมปากน้อยๆ อย่างคนที่ปิดตาพักผ่อนได้อย่างสบายใจ

ลีรอยขยับเบียดเข้าใกล้โอบแขนกอดร่างเพื่อนรักเพื่อช่วยคลายความหนาวเช่นที่เคยเป็นมา…หลายครั้ง

 

แต่ละวันหมดไปอย่างรวดเร็วกับการสำรวจไม้ที่พร้อมตัดในปีนี้ เพื่อคำนวณจำนวนช้างที่ต้องเช่ามาชักลากซุงเมื่อถึงตอนเปิดป่าและขนส่ง วิลเลียมและลีรอยสนุกกับหน้าที่ใหม่ ภูมิใจเมื่อมิสเตอร์อีแวนเดอร์ชมว่าเรียนรู้ได้รวดเร็ว

ปัญหาที่ต้องเผชิญคืออากาศร้อนจัดยามเที่ยงวันไปจนบ่าย เหงื่อไหลย้อยเป็นทางจนรู้สึกคล้ายธารน้ำไหลจากตัว นอกจากเสียงจักจั่นที่กรีดปีกจนดังระงมไปทั้งป่าแล้ว ก็ยังมีแมลงหวี่ แมลงวัน และยุง ที่คอยบินวนสร้างความรำคาญต้องคอยโบกไล่และตบไม่รู้แล้ว ส่วนเสือสางหรือผีป่านั้นยังไม่เคยเจอ

หากกระนั้นวิลเลียมก็ยังแขยงแขงขนเมื่อเห็นซากงูที่ตายจนเน่า แมลงวันฝูงใหญ่ตอมแน่นจนเป็นก้อนดำ ทำให้ระแวงว่าในป่านี้ต้องมีงู หากมันเลื้อยออกมาจะเผชิญหน้าอย่างไรดี คิดเรื่องนี้ทีไรก็ให้เห็นแต่หน้าของ ‘ไอ้ตัวร้าย’ ถือหน้าไม้ท้าวสะเอวต่อว่าเขา คราวเมื่อมันยิงงูจงอางที่เลื้อยไปนอนใต้เก้าอี้ที่เขานั่งอย่างไม่รู้ตัว

มิสเตอร์อีแวนเดอร์เห็นว่าค่ำนี้วิลเลียมดูหงอยลงไป ใช้ไม้ยาวเขี่ยหัวมันที่หมกขี้เถ้าร้อนประเมินว่าสุกดีแล้วจึงเขี่ยออกมา แจกจ่ายคนละหัว

“รู้ตัวไหมพ่อหนุ่ม ว่าตอนนี้เธอเป็นยังไง” มิสเตอร์อีแวนเดอร์ถามวิลเลียม

“เป็นยังไงครับ?”

“ก็เป็นเหมือน…คนที่ออกมาทำงาน แล้วพะวงถึงแต่เมียที่บ้านนะสิ” ว่าพลางหัวเราะขำ “คนที่จะมีอาการแบบนี้ควรเป็นฉันมากกว่าเธอ คุณบรูค”

วิลเลียมรีบปฏิเสธทันควันเพราะรู้นัยว่าผู้พูดเย้าเรื่องอะไร

“ผมกับเบ็ตตี้ เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น”

“ฉันพูดสักคำหรือ ว่าหมายถึงเบ็ตตี้” ท่าทางหรี่ตามอง ยิ้มมุมปากทำให้วิลเลียมรู้ตัวว่าพลาดไป แต่เขาไม่คิดปิดบังความรู้สึก ในเมื่อผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนอ่านเขาได้ทะลุแล้วเช่นนี้ เพียงยิ้มรับน้อยๆ ปล่อยให้มิสเตอร์อีแวนเดอร์พูดต่อไป

“ความรักเป็นสิ่งสวยงาม พ่อหนุ่ม เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าใครหรือเวลาไหน แต่ฉันอยากจะเตือนเธอไว้สักสองข้อ”

วัยหนุ่มทั้งสามคน…วิลเลียม ลีรอย และเมือง…เอียงหน้ารอฟัง

“ข้อแรก เธอควรชัดเจนกับความรู้สึกของเธอ แล้วมุ่งตรงไปยังเส้นทางสายนั้น แต่หากเส้นทางยังคลุมเครือด้วยม่านหมอกแห่งความไม่แน่ใจ เธอควรจัดการให้กระจ่างเสียก่อน” ผู้พูดรู้ว่าทั้งสองหนุ่มเข้าใจสิ่งที่เปรียบเปรย หากเขาก็ขยายให้กระจ่าง “หญิงต่างชาติที่ไม่มีสถานะใดๆ ในบ้านเมืองนี้ น่าสงสารยิ่งกว่าชาวบ้านหรือขอทานเสียอีก ตอนนี้เบ็ตตี้อาจยังไม่รู้สึกอะไรนัก แต่ต่อไป…อีกไม่นานนี้หรอก หล่อนจะถูกคนรอบข้างถามอยู่ไม่รู้แล้ว ว่าอยู่ที่นี่ในสถานะใด”

ระยะเวลาอันใกล้ที่เขาอ้างถึงก็คืออีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าที่นายห้างและคนงานเริ่มกลับมารวมตัวที่สถานีป่าไม้เพื่อเข้าป่าตอนต้นฤดูฝน

“แล้วข้อที่สองล่ะครับ?” วิลเลียมถาม

“ข้อสองก็คือ ถ้าเธอคิดจะร่วมหอลงโรงกับแม่เอื้องป่าถิ่นนี้แล้วล่ะก็ เธอต้องยอมรับให้ได้ว่าสังคมชาวต่างชาติจะค่อยๆ ห่างจากเธอไป…We go native”

“go native…” วิลเลียมครางเบาๆ จะว่าไม่เข้าใจก็ไม่เชิง

“มันเป็นคำกึ่งเหยียดหยามอยู่เหมือนกัน เพราะพวกเราคือผู้ศิวิไลซ์ เมื่อใฝ่ต่ำรักชอบคนพื้นเมืองเช่นนี้แล้ว เพื่อนฝูงและสังคมของเราก็รับไม่ได้” เมื่อพูดออกมาแล้ว มิสเตอร์อีแวนเดอร์จึงเผยความรู้สึกไปจนหมดสิ้น “เธอคงจำเรื่อง ‘ช้าง’ และฮาเร็มของหลุยส์ได้ สังคมชาวตะวันตกจะไม่ว่าอะไรเลยถ้าเธอเกี่ยวข้องกับแม่เอื้องป่าดอกงามเฉกนางบำเรอ แต่หากเธอยกย่องพวกหล่อนขึ้นมาเป็นเมียออกหน้า…เหมือนกรณีของฉัน…พวกเขาจะไม่ยอมรับเลย ฉันเคยคิดจะวางมือจากงานที่ปางไม้ แต่ฉันก็ยังสนุกกับการเข้าป่า ป่าที่นี่คือชีวิตของฉัน แต่นี่แน่ะ…พ่อหนุ่มทั้งหลาย เมื่อฉันรู้ว่าตัวเองจะกลายเป็นพ่อ ทั้งที่เขายังไม่คลอดออกมา ฉันก็นึกเห็นภาพล่วงหน้าได้เป็นฉากๆ เลยละว่า เพื่อนพ้องชาวตะวันจะยิ่งถอยห่างจากฉันออกไปเพียงไร”

วิลเลียมและลีรอยจับได้ถึงน้ำเสียงกึ่งเหงากึ่งปลงของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ สายตาที่มองเข้าไปในเปลวเพลิงวะวาวด้วยน้ำตาคลอคลองหากไม่ร่วงลงมา สักครู่หนึ่งเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกราวจะตัดความหม่นเศร้าที่ผ่านเข้ามาให้หายไป

“เธอสังเกตไหม หลังจากวันที่ฉันประกาศว่าจะจดทะเบียนสมรสกับหนู เพื่อนฝูงหลายคนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป”

ทีแรกวิลเลียมไม่สงสัยในพฤติกรรมของเพื่อนร่วมชาติ เห็นเพียงว่าแต่ละคนมี ‘ธุระ’ ที่ประจวบเหมาะพอดี จึงไม่สามารถวิสาสะกับมิสเตอร์อีแวนเดอร์ได้ เพิ่งมาเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงในวันนี้

“ตอนที่หลุยส์อยู่เชียงใหม่ เขามีภรรยาชาวพื้นเมืองหลายคน เพื่อนฝูงก็ตีตัวออกหากจากเขาเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้น หลุยส์ก็มีเงิน”

เหตุผลนั้นเพียงพอที่จะทำให้วิลเลียมเข้าใจว่า เพราะเหตุใดหลุยส์จึงใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ จัดงานเลี้ยงที่บ้านบ่อยครั้ง ให้เพื่อนฝูงในสังคมตะวันตกได้มาพบปะสรวลเสเฮฮา ลึกๆ แล้วหลุยส์ก็คงเหงาและอยากให้เพื่อนฝูงยอมรับเขาอย่างคนเชื้อชาติเดียวกัน

“เธอยังไม่ต้องตอบฉันเดี๋ยวนี้หรอกนะ พ่อหนุ่ม เรื่องของหัวใจ ถ้าเธอมั่นใจในคำตอบของตนเองแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องประกาศหรืออธิบายแก่ใคร แต่เธอต้องหาคำตอบให้ได้…โดยเร็ว”

 

นายห้างหนุ่มแปลกใจที่บนสมุดวาดเขียนของเขามีดอกไม้วางอยู่ ลีรอยหยิบหัวพืชขนาดนิ้วโป้งขึ้นมาพิศดูดอกสีชมพูหวาน กลีบดอกมีจุดประกระจาย เป็นความงามแปลกตาที่ไม่เคยพบมาก่อน

เสียงทักกลั้วหัวเราะนำเข้ามาก่อนทำให้เขาสะดุ้ง หยัดตัวลุกยืน

“ตื่นแล้วหรือ ลีรอย ฉันคิดว่านายจะเป็นไข้ป่าหรือมาลาเรียไปเสียแล้ว แกร่งมาได้ตั้งห้าวัน จะร่วงกันง่ายๆ ได้ยังไง” วิลเลียมถามด้วยความห่วงใย “นายหิวหรือเปล่า?”

ลีรอยมองรอบด้านเห็นแสงแดดก็รู้ตัวว่าสายมากแล้วจวนเที่ยงวัน วิลเลียมยังพูดปนขันให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ตื่นมากินมื้อเที่ยงเลย ประหยัดอาหารเช้า…ข้าวงายไปมื้อหนึ่ง”

“ขอโทษที วิลเลียม ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย”

“ก็ตอนรุ่งสางน่ะ นายตัวรุมๆ แล้วเหมือนจะเพ้อ ฉันก็เลยจับนายกินยา คงไม่รู้ตัวเลยสินะ…เช้านี้พวกเราก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ย้ายแคมป์ เดินสำรวจรอบบริเวณนี้ก็พอ เผื่ออาการนายทรุดหนัก เราจะได้รีบพาไปส่งหมอ แต่ตอนนี้นายดีขึ้นแล้วใช่ไหม…หรือยังไง”

“ก็…ดีขึ้นแล้วละ” ลีรอยยังงงๆ “อันที่จริงฉันไม่รู้สึกว่าป่วยด้วยซ้ำ”

“อย่างนั้นก็มากินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว” วิลเลียมส่งชามข้าวต้มใส่เผือกหั่นชิ้นใหญ่ให้เพื่อน “เมืองทำไว้ตั้งแต่เช้า เละหน่อย แต่ก็น่าจะเหมาะดีสำหรับคนป่วย”

ในวงข้าวที่นั่งล้อมกันอยู่มีเพียงสี่คน คือนายห้างฝรั่งทั้งสามและเมืองผู้เป็นทั้งเลขานุการ เสมียน และผู้นำทาง คนงานเงี้ยวแยกไปกินสองคนที่มุมหนึ่ง ลีรอยสะดุดกับกระทงที่ทำง่ายๆ จากใบสัก ภายในบรรจุหัวดอกไม้ชนิดเดียวกับที่วางบนสมุดวาดเขียนของเขา

“นั่นดอกอะไรรึ นายเก็บมาทำไม?”

วิลเลียมชะงักมือที่ปั้นข้าวเหนียวกำลังจะจิ้มถั่วเน่าหมก หันมองกระทงใบตองตึงแล้วตอบคำถามเพื่อน

“อ้อ…นี่นะเหรอ ฉันเห็นว่ามันสวยดี แปลกตาด้วย ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เลยเก็บไปฝากมุ่ย เมืองว่าเป็นกล้วยไม้ดิน ชื่ออะไรนะ ฉันจำไม่ได้อีกแล้ว”

“เอื้องพลาย” ชายหนุ่มตอบคำถามแล้วปั้นข้าวจิ้มน้ำพริกข่าส่งเข้าปากเคี้ยว

“นายเก็บไปฝากแต่มุ่ย ระวังเถอะ เบ็ตตี้จะงอน” ลีรอยกระเซ้าเพื่อน

“ของเบ็ตตี้ฉันก็มีให้น่า ไม่ลืมหรอก” วิลเลียมยิ้มกริ่ม “แต่เอื้องพลายนี้พิเศษ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมืองเองก็บอกว่าเอื้องพลายมีหลายชนิด แต่ดอกแบบนี้เพิ่งพบที่ป่านี้”

“นายก็เลยเก็บไปฝากคนพิเศษใช่ไหม?” ลีรอยยั่วเย้าเอาสนุกเน้นคำว่าพิเศษอย่างมีนัย

“แน่นอนสิ ของพิเศษอย่างนี้ ฉันก็ต้องมอบให้เฉพาะคน ‘พิเศษ’ เท่านั้น” วิลเลียมเน้นคำบ้างเป็นการยั่วเย้าตอบโต้

ลีรอยไม่เอ่ยอันใดอีก มีเพียงรอยยิ้มเต็มหน้าและคล้ายจะเจริญอาหารขึ้นมาทันที

 



Don`t copy text!