เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก “หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์”

เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก “หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

รถม้าของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาผ่านเข้าไปจอดหน้าวิลล่าไม้สักหลังโตของ ‘มิตซ่าหลุยส์’ อย่างไม่มีพิธีรีตองหรือต้องรอให้เจ้าของอนุญาต วิลเลียมเตรียมคำพูดและแผนการไว้มากมายที่จะเผชิญหน้ากับหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ นับตั้งแต่ว่าถ้าแขกยามเฝ้าประตูไม่ยอมให้พบ เขาจะรับมืออย่างไร

แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดเมื่อหลุยส์และเรต้าภรรยาสาวสวยในชุดผ้ามัสลินอินเดียออกมาต้อนรับด้วยการยื่นมือให้ผู้มาเยือนจับประคองตัวขณะลงจากรถม้า

“สวัสดีครับมิสเตอร์เลียวโนเวนส์ ผม…”

หลุยส์โบกมือไปมาราวจะปัดธรรมเนียมที่คร่ำเคร่งเป็นทางการให้สลายไปในอากาศ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก นายห้างผู้จัดการ” เขาแกล้งเย้าด้วยการเรียกตำแหน่งพร้อมหลิ่วตาอย่างสนุก “ฉันรู้แล้วว่านายห้างมาจากบริษัทบอมเบย์ ตราบริษัทติดหราที่รถม้าขนาดนั้น ถ้าฉันไม่เห็นก็คงตาบอดไปเสียแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีครับ ผมจะได้มิต้องอ้อมค้อมว่ามาถึงนี่ด้วยเหตุใด”

“ฉันบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องมากพิธี” แม้จะทำท่ารำคาญแต่น้ำเสียงยังเริงรื่นรุนหลังวิลเลียมเข้าไปในบ้าน “นายห้างจะเป็นใครก็ช่าง แต่ทุกคนที่มาบ้านนี้ถือว่าเป็นแขกของฉัน และฉันก็อยากให้แขกของฉันได้เพลิดเพลินเจริญใจ ทำไมต้องมาทำหน้าเคร่งคุยแต่เรื่องธุรกิจกันก็ไม่รู้”

“ถ้าพวกผมเป็นแขกของบ้านนี้ ก็คงมีธรรมเนียมต้องลงชื่อในสมุดเยี่ยม” อย่างน้อยการลงชื่อในสมุดเยี่ยมก็จะเป็นหลักฐานการติดต่อเจรจาครั้งล่าสุด

“โอ้! แน่นอนนายห้าง ขอเชิญทางนี้”

หลุยส์พาวิลเลียมและคณะตรงไปที่เสาไม้สักต้นหนึ่ง ทุกคนก็ตามไปอย่างฉงน เจ้าของบ้านดันตัวแขกให้ยืนชิดเสา เรต้าส่งมีดเล็มเล่มให้สามี หลุยส์ก็ใช้ปลายมีดขีดเสาในระดับศีรษะของวิลเลียมให้เป็นรอย ครั้นแล้วก็เรียกลีรอยและเบ็ตตี้ให้มาทำแบบเดียวกัน

“ฉันต้อนรับแขกทุกคนของฉันอย่างนี้ ถ้าเธอดูที่รอยนี่จะเห็นเองว่ามีใครเคยมาเป็นแขกของฉันบ้าง” หลุยส์เล่าร่าเริงระคนถูกใจในวิธีการของตนที่ไม่ซ้ำแบบใคร ชี้ไปที่รอยหนึ่ง “ส่วนรอยนี้ไม่มีชื่อ แต่ฉันจดจำได้แม่นยำ เพราะเป็นรอยของคนที่ฉันรักที่สุด”

“เขาเป็นใครกัน” ลีรอยถามอย่างใคร่รู้

หลุยส์หันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้ภรรยาสาว ทุกคนก็ได้คำตอบโดยพลัน หากเสียงของหลุยส์ก็ยังส่งมายืนยันว่า

“ของเรต้า ภรรยาสุดที่รักของฉันเอง”

 

คณะทวงหนี้ของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาไม่อาจทำตามแผนการที่อุตส่าห์หารือกันมาอย่างดี เพราะยามที่จะเปิดปากเจรจา หลุยส์ก็เลี่ยงหรือตัดบทด้วยการหันเหไปเรื่องอื่นที่มีแต่ความสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นการชวนเล่นไพ่บริดจ์ ชวนให้ดูของสะสมแปลกๆ จนกระทั่งถึงเวลาอาหารกลางวันก็ชวนให้ร่วมโต๊ะอันนำความพึงพอใจมาให้เบ็ตตี้มากกว่าใครเพื่อน เพราะนานเท่าไรแล้วที่หญิงสาวเหินห่างจากมื้ออาหารหรูหราเช่นนี้ จนหล่อนอดอิจฉาเรต้าไม่ได้และคิดว่าตนเข้าใจเหตุผลที่หญิงสาวอ่อนเยาว์อย่างเรต้ายอมเป็นภรรยาชายสูงวัยอย่างหลุยส์

หล่อนคงอยากมีชีวิตที่หรูหราเป็นดั่งเจ้าหญิงในวิลล่าไม้สักแห่งนี้นี่เอง

เรต้าชวนเบ็ตตี้ไปที่ห้องเตรียมอาหารเพื่อแยกหญิงสาวออกมาจากธุระของพวกผู้ชาย ในช่วงเวลานั้นเองที่เบ็ตตี้ได้รู้ความเป็นมาของทั้งคู่ก่อนจะมาใช้ชีวิตเป็นคหบดีชาวต่างชาติที่มั่งคั่งในนครลำปางแห่งนี้

“ฉันกับหลุยส์อายุห่างกัน 22 ปี” เรต้าเริ่มด้วยสิ่งที่หลายคนมักสงสัยว่าตาเฒ่ากับสาวน้อยจะมีอายุต่างกันแค่ไหน “ฉันแต่งงานเมื่ออายุ 20 ตอนนั้นหลุยส์ผ่านวัยสี่สิบมาแล้วสองปี เราพบกันที่งานบอลล์ประจำปีของโบสถ์เซนต์แอนดรูว์ ฉันรู้ว่าเขาหลงเสน่ห์ฉัน พยายามเข้ามาเล่าเรื่องผจญภัยในสยามหวังว่าฉันจะหลงกลอยากติดตามมาดูว่าที่เขาเล่านั้นจริงหรือไม่ พ่อแม่ฉันก็รู้เห็นเป็นใจโดยที่ไม่สนเลยว่าอายุของเขากับฉันห่างกันมาก คงเพราะท่านอยากกีดกันฉันออกจากคนรัก เขาเป็นครูหนุ่มที่นอกจากความรู้และวัยไล่เลี่ยกับฉันแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้พ่อแม่ของฉันพอใจอีก เขาจนมากถ้าเทียบกับหลุยส์ และที่สำคัญเขานับถือคนละนิกายกับเรา”

เมื่อรู้ว่าวัยใกล้เคียงกัน เบ็ตตี้จึงสนิทสนมได้เร็วขึ้น ระหว่างบทสนทนาจึงได้รู้ว่าแต่เดิมนั้นสาวน้อยผู้โชคดีคนนี้ชื่อ เคธี บุลเลอร์ แต่ภายหลังจากพ่อแม่เสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรค เคธีจึงมาอยู่ในความอุปถัมภ์ของพ่อแม่บุญธรรมชาวออสเตรเลีย พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่ที่พ่อแม่บุญธรรมตั้งให้ว่า เรต้า แม็คลาฮอน

“เธอเสียใจหรือเปล่าที่ถูกกีดกันจากคนรักอย่างนี้”

“ไม่เลย” เรต้าส่ายหน้า ไม่มีความเสแสร้งอยู่ในนั้น “เพียงชั่วเวลาที่หลุยส์เพียรส่งดอกไม้มากำนัล หนุ่มคนรักของฉันก็ไปปลูกรักต้นใหม่กับสาวเยอรมัน ทำให้ฉันรู้ว่าเขามิได้มั่นคงกับฉันจริงอย่างที่ปากว่า เขาเริ่มหายหน้าไป ครั้นหลุยส์ชวนฉันไปดูเขาแข่งคริกเก็ต ฉันจึงตกลง ถือเป็นการประกาศให้ใครต่อใครรู้ไปในตัวว่าฉันเริ่มเปิดประตูหัวใจให้เขาแล้ว ฉันไม่รู้ว่าการแข่งขันวันนั้นหลุยส์แพ้จริงหรือแกล้งแพ้เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากฉัน แต่ฉันก็ให้รางวัลปลอบใจเขาด้วยการควงไปงานคอนเสิร์ตในคอนแวนต์ที่ฉันเคยเรียน”

เรต้าหยุดเล่า หัวเราะคิกคักกับตัวเองจนเบ็ตตี้ประหลาดใจ ถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ก็ได้คำตอบว่า

“ฉันกับหลุยส์ก็กลายเป็นอาหารรสเลิศของวงนินทาไปน่ะสิ รู้ไหมว่าเขาตั้งฉายาให้เราสองคนว่า Beauty and Wealth…สาวงามกับถุงเงิน”

“เธอก็เลยแต่งงานกับเขาแล้วมาอยู่ที่นี่น่ะหรือ”

“เล่าอย่างรวบรัดก็แบบนั้น แต่ถ้าจะให้เล่ารายละเอียดก็คือ เขากลับมาที่สยามเพื่อ ‘สะสาง’ ภาระทางนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน” เรต้าเน้นคำว่าสะสางจนเบ็ตตี้ใคร่รู้รายละเอียด หล่อนก็ขยายความนิดเดียวว่า “ก็จัดการเรื่องบรรดาเมียๆ ของเขาให้เรียบร้อยนั่นละ หลังจากนั้นฉันจึงเข้าประตูวิวาห์กับเขา ฉันยังจำได้ดีว่าวันนั้น คือวันที่ 12 สิงหาคม”

“งานแต่งงานของเธอกับหลุยส์คงใหญ่โตมาก” เบ็ตตี้คาดเดา

“เปล่าเลย งานแต่งของเราเป็นงานเล็กๆ เพราะพ่อของฉันเพิ่งเสียชีวิต หลังแต่งงานได้สิบเอ็ดวัน ฉันก็ตามหลุยส์มาที่ลำปาง”

 

จบจากอาหารเที่ยงหลุยส์ก็ยังไม่ปล่อยให้แขกกลับ ยังคงเดินหน้าปรนเปรอความสุขด้วยเหล้าหลังอาหารและซิการ์ชั้นดี กับเรื่องราวชีวิตในวัยเด็กของเขาที่ติดตามแม่มาอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังในรัชสมัยของคิงมงกุฎ ครั้นเรื่องเล่าในวัยเด็กถึงวัยหนุ่มในอังกฤษจบลง เรต้าก็บอกแก่แขกว่าน้ำชาพร้อมแล้วที่หน้าบ้าน คณะจึงเคลื่อนย้ายที่นั่งสนทนา เรต้ารินน้ำชาแจกทุกคนโดยมีเบ็ตตี้ช่วยเหลือ เมื่อได้รับแจกจ่ายกันครบถ้วนแล้ว เสียงบรรเลงดนตรีพื้นเมืองก็ดังขึ้น ตามด้วยเหล่านางรำนับสิบคนเยื้องย่างออกมาร่ายรำอยู่ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน สร้างความเพลิดเพลินสำหรับช่วงเวลาจิบน้ำชายามบ่าย

“เธอรู้ไหม นายห้างวิลเลียม ว่าเพราะนางรำพวกนี้แหละ ฉันจึงได้สัมปทานป่าที่นี่”

อยู่ๆ หลุยส์ก็ปรารภขึ้นมา สายตาที่จับจ้องไปยังนางรำที่เยื้องกรายนั้นแท้จริงเลยไปไกลสู่อดีต

“บริษัทที่ได้สัมปทานป่าไม้ที่นี่และที่พม่า จะว่าไปแล้วก็เหมือนเป็นตัวแทนของอังกฤษและฝรั่งเศส หรือไม่ก็เป็นบริษัทที่สยามมีหุ้นด้วย บริษัทของฉันจึงถือว่าเป็นบริษัทเอกชน สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของฉันเอง ซึ่งมันไม่ง่ายเลย เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะการขอสัมปทานทำไม้ในเมืองเหนือนี้ เธอต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหลวงเสียก่อน ยิ่งตอนนี้สยามยื่นมือเข้ามามีเอี่ยวด้วย เจ้าหลวงหัวเมืองเหนือทั้งหลายก็ยิ่งจะให้สัมปทานแก่ชาวต่างชาติยากยิ่งขึ้น”

หลุยส์ถามเองตอบเอง ราวกับว่าต้องการเล่าให้ฟังมากกว่า ครั้นเขาเงียบไปนาน วิลเลียมจึงถามอย่างเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาต่อผู้ใหญ่ที่เจนโลก มิใช่นายห้างจากบริษัทบอมเบย์เบอร์มาซักไซ้เจ้าของบริษัทที่ติดหนี้อยู่

“แล้วคุณทำอย่างไรถึงได้สัมปทานป่าไม้จากเจ้าหลวงเมืองเหนือ”

“เธอรู้ไหมพ่อหนุ่ม คนที่นี่รักสบายและติดการพนันอย่างร้ายกาจ ทุกคืนฉันต้องหอบเงินไปเล่นพนันในหอหลวง แกล้งแพ้พนัน แล้วทำทีว่าจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ให้ได้ ถ้าได้พื้นที่สัมปทานเพิ่ม ฉันก็มีเงินใช้หนี้คืนแน่ๆ”

วิลเลียมพยักหน้าเข้าใจพลางนึกถึงเรื่องราวบางส่วนที่มิสเตอร์อีแวนเดอร์เล่าให้ฟัง บัดนี้เขาได้เห็นเองแล้วว่าภายใต้ท่าทีเริงร่ารักสนุกอยู่เป็นนิจ จนหลายคนมองว่าสำมะเลเทเมา แท้จริงแล้วหลุยส์เจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยเหลี่ยมคมอย่างร้ายกาจ

“แล้วนางรำพวกนี้เกี่ยวด้วยอย่างไร” ลีรอยไม่วายสงสัยเพราะยังไม่ได้ความกระจ่าง

“มันเริ่มจากความชอบส่วนตัว” หลุยส์บอกอย่างไม่ปิดบัง “ฉันว่าการฟ้อนรำทางนี้ก็สวยดี เช่นเดียวกับกีฬาชกมวย เธอรู้ไหมว่าเจ้าหลวงหรือพวกขุนนางที่มั่งคั่งน่ะ เขาจะอุปถัมภ์วงดนตรี นักกีฬา หรือพวกช่างฝีมือ ฉันก็เลยตั้งคณะดนตรีกับค่ายมวยเป็นของตัวเอง…ทีแรกก็แค่นั้น แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเจ้าหลวงคิดว่าฉันนิยมชมชอบศิลปะของที่นี่ถึงขั้นคลั่งไคล้ ถึงกับลงทุนตั้งคณะช่างฟ้อนและค่ายมวย พวกเขาจึงนิยมในตัวฉันมากขึ้น”

เช่นนี้นี่เอง…วิลเลียมไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเหตุไฉน บริษัทหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ จึงได้สัมปทานพื้นที่ป่ามากกว่าบริษัทอื่น และยังพื้นที่สัมปทานของบริษัทรายย่อยที่เป็นของชาวพื้นเมือง ก็คงหนีไม่พ้นที่หลุยส์จะแทรกตัวเข้าไปเป็นยาดำเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้มากที่สุด

วิลเลียมปฏิเสธมื้อค่ำสำเร็จหลังจากเล่นกอล์ฟที่สนามหน้าบ้าน เขายอมรับแล้วว่าการเจรจาในวันนี้ไร้ผล หากในแง่ของการทำความรู้จักมิตรใหม่ในต่างแดนก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว หากไม่มีเรื่องขัดผลประโยชน์ของบริษัท หลุยส์ก็เป็นผู้หนึ่งที่พอจะคบหาได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจนัก

ปัญหาของหลุยส์กับบริษัทบอมเบย์เบอร์มานั้นเกิดขึ้นเมื่อคราวที่หลุยส์เป็นคนกลางให้บริษัทกับหม่องชเวอ่องนายห้างชาวพม่าผู้ได้สัมปทานป่าแม่พริก บริษัทบอมเบย์ยังใหม่ในถิ่นนี้ ในขณะที่หลุยส์มีอิทธิพลส่วนตัวหลายอย่างที่ช่วยให้การเจรจาธุรกิจ ‘คล่อง’ สะดวกโยธิน สัญญากำหนดซื้อขายไม้ 5,000 ท่อน แต่เมื่อถึงเวลาส่งมอบบริษัทกลับได้ไม่ครบ ขาดไปอีกพันกว่าท่อน จึงเกิดการโต้เถียงและสรุปเอาว่าไม้ที่ขาดไปนั้นหลุยส์ยักยอกไปค้าหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง

วิลเลียมอ่านรายงานบันทึกการสอบสวนของแม็คฟาแลนด์ในกรณีนี้ก็ออกจะเห็นใจหลุยส์อยู่บ้าง เพราะในบันทึกนั้นระบุว่าป่าแม่พริกเป็นพื้นที่กันดาร ลำพังจะมีไม้ให้ครบจำนวนตามสัญญาก็ยากแล้ว ยังมีปัญหาไม่มีสายน้ำให้ล่องซุงเพื่อขนส่ง ไม้ที่ลำเลียงออกจากป่าต้องใช้ช้างลากและต่างเกวียนเป็นระยะทางกว่า 6 ไมล์ ซ้ำร้ายในตอนที่เป็นความกันอยู่นี้ ราคาไม้ในตลาดก็ถีบตัวสูงขึ้นทำให้กำไรที่ควรได้ลดลง แม้ทางบริษัทจะประนีประนอมยอมลดอัตราดอกเบี้ยลงครึ่งหนึ่งจากที่ตกลงไว้ร้อยละ 12 ก็ยังมีเงื่อนไขว่า หลุยส์จะต้องส่งไม้ให้ครบ 5,000 ต้นเสียก่อน จึงจะคิดดอกเบี้ยอัตราใหม่นี้ในรอบสัญญาครั้งต่อไป

มีคนมากมายที่สนับสนุนวิธีการนี้ เพราะหลุยส์ทำตัวเป็นเสือนอนกินมานาน ได้ค่าจ้างของบริษัทไปเปล่าๆ ปีละ 1.500 ปอนด์ บริษัทที่ใช้บริการจากหลุยส์ทั้งหลายจึงรวมหัวกีดกันลดบทบาทของหลุยส์ให้เป็นเพียงนายหน้า ขณะเดียวกันก็พยายามติดต่อซื้อไม้จากผู้ได้สัมปทานรายย่อยโดยตรง

แต่จนถึงบัดนี้ ก็เหมือนจะชัดเจนแล้วว่าหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์ ไม่เคยจนตรอก

“เรื่องหนี้ที่ติดค้างกันอยู่…” จู่ๆ หลุยส์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ฉันก็เบื่อที่พวกเธอต้องเวียนหน้ามาเจรจากันอยู่ไม่รู้แล้ว เอาเป็นว่าฉันจะยุติเรื่องนี้เสียที”

วิลเลียมและลีรอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ บทจะง่ายก็กลับง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ จนมิได้สังเกตแววตาและรอยยิ้มมุมปากของหลุยส์

“ฉันจะชดใช้เงินคงค้างให้ทั้งหมด ถ้าพวกเธอชนะฉันสองในสามเกม”

หลุยส์อธิบายข้อตกลงที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาได้แก่ทุกคนในที่นั้นให้รับรู้และร่วมเป็นพยาน ไม่มีใครคัดค้านนอกจากคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีนี้ เมื่อเห็นว่าต่างฟังกันโดยไม่มีผู้โต้แย้ง หลุยส์จึงสรุปว่า

“ตกลงตามนี้ พวกเธอมีเวลาหนึ่งเดือนสำหรับเตรียมตัว แล้วเรามาตัดสินกันที่ข่วงโปโล”

หลุยส์และภรรยาเดินมาส่งแขกที่บัดนี้คล้ายคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวถูกฟาดต้นคออย่างแรงด้วยไม้คริกเก็ตจนมึน ก้าวขึ้นรถม้าไปอย่างงุนงง

“ในฐานะที่เป็นชาวอังกฤษด้วยกัน บ้านของฉันยินดีต้อนรับพวกเธอเสมอ” หลุยส์หันไปทางเบ็ตตี้เจาะจงพูดกับหล่อน “ฉันขอมอบสิ่งนี้เป็นของขวัญแก่กุหลาบอังกฤษแสนสวยในโอกาสที่ได้รู้จักกัน เรต้าคงยินดีมากถ้าเธอจะมาเป็นแขกจิบน้ำชาด้วยกันบ่อยๆ”

เบ็ตตี้รับกล่องไม้สลักลายงดงามมาแง้มดูก็เห็นว่าเป็นสร้อยเงิน หล่อนตกใจในนาทีแรกว่ามันมีราคาสูงเกินไปที่จะให้สำหรับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก และยังจู่โจมมาหาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้ใช้หนี้คืน ทว่าเรต้าก็ยิ้มและพยักหน้าแทนคำพูดว่ารับไว้เถิด เบ็ตตี้จึงประคองไว้อย่างทะนุถนอม บอกไปว่า

“น้ำชาที่นี่รสดีมากค่ะ ทำให้ดิฉันนึกถึงบรรยากาศที่อังกฤษ”

หลุยส์ค้อมศีรษะรับคำชมอย่างเริงร่าตามประสาคนขี้เล่น หากไม่วายโอ่

“ไม่มีที่ไหนจะศิวิไลซ์เท่ากับที่บ้านของมิตสะหลวย” คำท้ายเขาแกล้งพูดอย่างที่คนพื้นเมืองเรียก หันมากำชับข้อตกลงกับวิลเลียมว่า “เวลาหนึ่งเดือนคงจะเพียงพอสำหรับการเตรียมตัวนะคุณบลูมเมอร์ คุณบรูค”

คณะของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาขึ้นรถม้าครบทุกคนแล้ว หลุยส์จึงหยิบการ์ดสีชมพูจากกระเป๋าเสื้อส่งให้วิลเลียม เอ่ยทิ้งท้าย

“ฝากคืนตาเฒ่าต้นคอแดงเกลอเก่าฉันด้วยนะ บอกเขาว่าฉันเตรียมแชมเปญฉลองชัยชนะไว้หลายขวด และหลังจากฉลองชัย ฉันจะต่อเรือลำใหม่ชื่อ เรต้า จะให้ใหญ่และสวยกว่า ‘หนูนา’ แน่นอน”

กระทั่งรถม้าห่างออกมาจนหลังคาบ้านของหลุยส์กลืนหายไปในดงไม้ วิลเลียมก็ฉุกใจนึกขึ้นมาได้ สะกิดบอกลีรอย

“ฉันจำได้ว่าเราทั้งสองคนไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการแก่หลุยส์เลย”

“นายคิดเหมือนกับที่ฉันคิด” ลีรอยบอกเช่นกัน “เราไม่ได้บอกแน่ๆ แต่หลุยส์รู้ได้อย่างไร ว่านายนามสกุลบรูค ส่วนฉันสกุลบลูมเมอร์”

วิลเลียมไม่มีคำตอบ แต่คิดว่าเขาไม่อาจประมาทหรือมองข้ามความร่าเริงของ ‘มิตสะหลวย’ เป็นความไว้ใจได้เลย

เสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะเป็นจังหวะช้าๆ แต่หนักหน่วงบอกให้รู้ว่ามิสเตอร์อีแวนเดอร์กำลังใช้ความคิด หลังจากโมโหขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อได้รับ ‘สาร’ หยิกแกมหยอกที่เพื่อนเก่าอย่างหลุยส์ฝากมากับนายห้างวัยหนุ่ม ตอนที่อารมณ์ของมิสเตอร์อีแวนเดอร์กำลังพุ่งทะยานเพราะถูกตลบหลังกลับมา เมืองจึงเล่านัยแห่งสารที่หลุยส์ฝากมาให้วิลเลียมและลีรอยรู้ว่า

“ก่อนมาอยู่ที่นี่ นายห้างอีแวนเดอร์เคยติดตามมิตซ่าหลุยส์มาก่อน ทั้งสองมีนิสัยคล้ายกันหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงกับการต่อเรือ เมื่อมีเวลาว่างนายห้างมักจะต่อเรือแล้วตั้งชื่อเรือตามชื่อภรรยาคนล่าสุดหรือคนที่รักมาก พอมิตซ่าหลุยส์กลับมาลำปางพร้อมเรต้า นายห้างอีแวนเดอร์ก็ให้ฉันเอาการ์ดสีชมพูไปให้เรต้า และให้ฉันบอกว่า ถ้าอยากรู้ความหมาย ก็ให้ถามสามีของเธอเอาเอง”

“แล้วมันหมายความว่าอย่างไรล่ะ” วิลเลียมถามอย่างใคร่รู้

“บัตรสีชมพู เป็นเหมือนใบอนุญาตให้มิตซ่าหลุยส์ไปสนุกกับผู้หญิงอื่นได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ตอนที่มิตซ่าหลุยส์ยังอยู่กับแคโรลีนภรรยาเก่า มิตซ่าหลุยส์มีนางพื้นเมืองแวดล้อมอยู่มากมายจนกลายเป็นฮาเร็มย่านหลังวัดมหาวัน”

ครั้นได้รู้ต้นสายแห่งความฉุนเฉียวที่มิสเตอร์อีแวนเดอร์ถูก ‘เอาคืน’ เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดก็คอยอยู่เงียบๆ ในช่วงที่ฝ่ายนั้นใช้ความคิดพิจารณาว่าควรรับมืออย่างไรดี จังหวะเดียวกับที่เบ็ตตี้และมุ่ยเข้ามาสมทบ มิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็เรียกเข้าไปคุยพร้อมกัน

“ฉันตัดสินใจแล้วว่า ถ้าหลุยส์ต้องการอย่างนั้น เราก็แค่ ‘ต้องชนะ’ แม้จะหวังได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็ต้องสู้กันดูสักตั้งหนึ่ง”

ข้อเสนอของหลุยส์นั้นก็คือการแข่งขันสามชนิด ผู้ใดชนะสองในสามเกมก็เป็นฝ่ายชนะไป

“เกมแรกคือ คริกเก็ต ข้อนี้ฉันไม่ห่วงเพราะเธอสองคนก็เป็นนักกีฬาคริกเก็ตอยู่แล้ว” มิสเตอร์อีแวนเดอร์มองสองหนุ่มและหยุดจ้องที่วิลเลียม “โดยเฉพาะเธอ เป็นถึงฟิลเดอร์มือรางวัล เธอไม่ควรทำให้ตัวเองเสียชื่อในเกมนี้”

“แต่ผมห่วงเกมที่สอง พวกผมเคยเล่นโปโลก็จริง แต่ไม่คล่องเท่าคริกเก็ต” วิลเลียมออกตัว

“ฉันก็ห่วงตรงนี้ละ หลุยส์เคยควบคุมกองม้าในวังหลวง เก่งเรื่องม้า บังคับม้าได้ดี เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับม้าราวกับแม่คลอดเขาในคอกม้าทีเดียว”

วิลเลียมและลีรอยแสร้งทำหูทวนลมไม่ใส่ใจต่อประโยคเสียดสีในตอนท้ายนั้น

“ถ้าได้เปรียบกันหนึ่งต่อหนึ่ง ก็ต้องลุ้นกันที่เกมสุดท้าย ฉันว่าสิ่งนี้แหละที่จะตัดสินว่าใครเป็นผู้ชนะ” แม้จะมั่นใจอย่างนั้น แต่น้ำเสียงและแววตาของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็ใช่จะปราศจากความกังวล

ในวงสนทนานี้มีมุ่ยคนเดียวที่ยังไม่รู้ว่า ‘เกมสุดท้าย’ คืออะไร สะกิดแขนพี่ชายขอคำตอบ วิลเลียมก็เฉลยเสียก่อนว่า

“แข่งวิ่งหมู”

“วิ่งหมู!” มุ่ยอุทานแล้วก็ทำนายเดี๋ยวนั้นว่า “ถ้าเป็นอย่างนี้ นายห้างก็เตรียมตัวแพ้ได้เลย”

“ทำไมล่ะ ยังไม่ได้แข่งกันเสียหน่อย ทำไมเจ้าปากพล่อยให้เสียกำลังใจกันอย่างนี้”

“โฮ้ย…ง่าว! ตกหลุมมิตสะหลวยแล้วยังบ่รู้คิง…ไม่รู้ตัว รู้ไหมว่าไอ้ตัวโปรด ไอ้กะหร่อง ไอ้ลาดาสน่ะ มันแค่ไหน”

“แค่ไหนน่ะมันแค่ไหน แล้วไอ้อะไรต่ออะไรที่เจ้าว่ามันคือใคร” วิลเลียมย้อนเพราะไม่รู้เรื่อง

“หมู!”

มุ่ยกระแทกเสียงกลับบ้าง เมืองจึงต้องพยายามสงบศึกด้วยการบอกว่าทั้งหมดที่น้องสาวไล่เรียงมาคือชื่อหมูของหลุยส์ ไม่ว่าจะเป็น ตัวโปรด กะหร่อง หรือลาดาส

“ไอ้สามตัวนี้ไม่เคยแข่งแพ้ใครเลย” เมืองสรุปในตอนท้าย วิลเลียมและลีรอยจึงถึงกับอ่อนแรงเมื่อรู้ชัดว่าพลาดพลั้งให้แก่หลุยส์ไปเสียแล้ว สมแล้วที่เจ้ามุ่ยมันกระแทกเสียงว่า…ง่าว…หนักกว่าครั้งใดที่ผ่านมา

“แล้วเราจะหาหมูจากไหนไปแข่ง” วิลเลียมยังไม่หมดหวัง แม้ต้องสู้จนวินาทีสุดท้ายก็จะพยายาม

“หาหมูบ่ยากหรอก ที่คอกหลังเรือนพักคนงานก็มีอยู่ แต่หนึ่งเดือนจะฝึกให้วิ่งได้หรือเปล่ายังบ่รู้เลย” มุ่ยบอกเสียงติดรำคาญว่านายห้างมาอยู่ที่นี่พักใหญ่แล้วยังไม่รู้ว่ามีคอกหมู “พรุ่งนี้เฮาจะไปเลือกดูตัวที่หน่วยก้านดี แต่ถ้าจะเอาชนะไอ้ตัวโปรดให้ได้ แค่ฝึกวิ่งอย่างเดียวบ่พอหรอก”

“แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ” วิลเลียมขอคำตอบแต่มุ่ยเม้มปากแน่นไม่ยอมบอกท่าเดียวจนเขาอ่อนใจ ปิดท้ายแกมขอร้องไอ้ตัวร้าย “ฉันขอมอบหมายให้เธอเป็นผู้ฝึกหมู ถ้าหมูของเราชนะ ฉันจะมีรางวัลให้เธอ”

มุ่ยยิ้มกว้างตาพราวเป็นประกายราวกับว่าในที่สุดก็หาเรื่องสนุกเล่นได้เสียที

 

ดวงตาเรียวงามใต้แพขนตายาวงอนเป็นประกายจับอยู่แต่ภาพที่สะท้องออกมาจากกระจกเงา ลำคอเรียวระหงผ่องนวลยามนี้โอบรอบด้วยสร้อยเงินที่ถักทอเป็นแพรูปสามเหลี่ยมทิ้งชายแหลมลงที่เนินอก เบ็ตตี้ทั้งมองและลูบคลำไปมาอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย พลางสะกดใจว่าหลุยส์ให้ของขวัญชิ้นนี้มาในวาระที่ได้มิตรใหม่เท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นเคลือบแฝง

แต่แรงริษยาของผู้หญิงก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าตนเองสวยน่ารักกว่าเรต้า และหลุยส์ก็พึงพอใจ

ความหวั่นไหวนี้ทำให้เบ็ตตี้ไม่เอาใจใส่เรื่องการแข่งขันเท่าที่ควร เพราะหากวิลเลียมชนะ บริษัทก็ได้เงินที่หลุยส์ค้างหนี้คืน แต่หากหลุยส์ชนะเขาก็ยังคงมั่งคั่งต่อไป ซึ่งทั้งสองทางนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรกับหล่อนเลยสักทางเดียว

เบ็ตตี้หมายมาดไว้ในวันที่ทั้งสองฝ่ายแข่งขันกัน หล่อนจะแต่งตัวสวยที่สุดพร้อมกับใส่สร้อยเงินเส้นนี้ให้หลุยส์เห็นว่าแม้หล่อนจะอยู่ข้างบริษัทบอมเบย์เบอร์มา แต่หล่อนก็มิได้เป็นศัตรูกับหลุยส์ การทำเช่นนี้จะทำให้หล่อนสามารถไปเยี่ยมเรต้าที่บ้านท่ามะโอได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

และหากวันใดวันหนึ่ง หลุยส์ทาบทามให้หล่อนมีสถานะเช่นเดียวกับเรต้าเล่า หล่อนจะทำอย่างไร

หญิงสาวกดหน้าอกที่ใจเต้นโครมครามเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ พยายามสลัดความฟุ้งซ่านทิ้งไปไม่หาคำตอบให้ตนเอง บอกใจเพียงว่าถ้าเวลานั้นมาถึงจริงๆ ค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง

ในใจลึกๆ เบ็ตตี้ก็เอือมระอากับความเฉื่อยชาของวิลเลียมที่ไม่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้สถานะของหล่อนในสถานีป่าไม้แห่งนี้ชัดเจนเสียที

 

หลังจากได้รับหน้าที่ ‘คนฝึกหมู’ เช้าวันถัดมามุ่ยก็ตรงไปที่เล้า กวาดตาดูหมูหลายขนาดว่าตัวใดมีแววจะเข้าแข่งขันได้บ้าง โชคดีที่ไม่นานมานี้มีแม่หมูสองตัวเพิ่งคลอดทำให้บัดนี้ลูกหมูสิบตัววิ่งวนอยู่รอบเล้า มุ่ยเล็งรวดเร็วแล้วสั่งคนงานจับตัวที่ตนชี้มาได้ห้าตัวเพื่อคัดเลือกตัวที่จะนำไปขุนและฝึก

เสียงร้องอู๊ดอี้ดดังไปทั่วสับสนกับคนงานที่กระโจนเข้าไปจับมากอดไว้คนละตัว แล้วยังต้องต่อสู้กับแรงดิ้นของลูกหมู

วิลเลียมเข้ามาชะโงกดูเพราะสงสัยใคร่รู้ว่ามุ่ยจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เมื่อมาถึงเล้าหมูก็พบคนงานอุ้มลูกหมูยืนเรียงหน้ากระดานห้าคน ส่วนเจ้ามุ่ยจ่อหน้าตัวเองเข้าไปเกือบชิดหน้าหมูจนวิลเลียมต้องถามว่าทำเช่นนั้นทำไม

“ก็ฟังมันหายใจไงเล่า…ง่าว!”

“ฟังเสียงหายใจก็รู้หรือ ว่าควรเลือกตัวไหน” วิลเลียมถามลองภูมิ อยากรู้ว่ามุ่ยรู้จริงหรือหลอกด่าเขา

“จะเลือกหมูไปแข่งก็ต้องหาตัวที่แข็งแรง” ชะโงกไปยังเล้าให้มองตาม “นอนนิ่งบ่ไหวติงอย่างนั้นเป็นหมูขี้คร้าน เอาไปยืนสุดวัน…ทั้งวันทั้งคืน…มันก็ตึงบ่ล่น…วิ่ง”

คนเชี่ยวชาญเรื่องหมูแนะนำให้นายห้างลองฟังเสียงหมูหายใจ

“ถ้าเสียงหายใจดี บ่มีเสียงไอแห้งๆ แสดงว่าสุขภาพดี” ว่าพลางก็ชี้ตัวที่สองให้ดู “ตัวนี้เหมือนจะดีแต่ไม่ดี ตะกี้มันไอแห้งๆ เหมือนคนเป็นหวัด นายห้างได้ยินก่ แล้วดูตรงนี้ ที่กลางหลังเห็นแนวกระดูก เอาตัวนี้ไปปล่อยคอก ใช้บ่ได้” ประโยคสุดท้ายสั่งคนงานที่อุ้มอยู่

สุดท้ายแล้วเหลือหมูสามตัว มุ่ยถูกชะตาตัวที่มีด่างดำมากกว่าอีกสองตัวที่สีชมพูเหมือนหมูทั่วไป การตัดสินใจครั้งสุดท้ายก็คือให้คนงานไปอยู่จุดหนึ่งแล้วปล่อยให้หมูวิ่ง ทั้งสามตัวก็วิ่งไปคนละทาง มุ่ยจึงสั่งให้นำไม้มากั้นเป็นแนวเหมือนลู่วิ่งแล้วปล่อยหมูทั้งสามตัววิ่งอีกครั้ง

ตัวด่างและตัวชมพูวิ่งเบียดกันมา ในขณะที่อีกตัววิ่งมาได้นิดเดียวก็กระโจนออกนอกราง มุ่ยจึงตัดสินใจว่าจะฝึกไอ้สองตัวนี้โดยหมายใจไว้นิดหนึ่งว่าจะขุนไอ้ด่างให้เป็นตัวจริง

“นายห้างมีเชือกหรือเศษผ้าไหม” มุ่ยถามคนที่ยืนดูการคัดเลือกจนถึงนาทีนี้

“เจ้าจะเอาไปทำอะไร”

“ถามอยู่ได้ ขี้สงสัยจริง” โวยวายอย่างรำคาญนำมาก่อนบอกความประสงค์ “นายห้างดูในเล้าสิ เอาไอ้ตัวนี้โยนลงไป นายห้างจะจำได้ไหมว่ามันเป็นตัวไหน”

แล้วมุ่ยก็สั่งคนตรงหน้า

“ผ้าพันคอนายห้างน่ะ ถอดออกมา”

วิลเลียมจำต้องปลดผ้าพันคอสีน้ำเงินที่พันไว้เพื่อให้คออุ่นในตอนเช้าส่งให้มุ่ย แล้วมองมันกลายเป็นผ้าพันคอเจ้าหมูน้อย ครั้นเสร็จภารกิจการคัดเลือกหมูเจ้ามุ่ยก็หารือ

“เราน่าจะตั้งชื่อให้มัน นังตัวสีชมพูนี้เป็นตัวเมีย ส่วนไอ้ด่างเป็นตัวผู้ ชื่อเบ็ดกับเลี่ยมก็แล้วกัน”

วิลเลียมไม่เชิงเห็นด้วยเพราะรู้ว่าที่มาของชื่อนั้นมาจากไหนแต่ก็ไม่คัดค้าน ปล่อยให้มุ่ยดูแล้เจ้าเลี่ยมและนังเบ็ดต่อไป กำหนดหน้าที่ให้คนงานหาหยวกอ่อนมาทุกวัน แต่มุ่ยจะเป็นคนต้มและป้อนเอง กำชับแข็งขันว่า

“ตอนที่เฮายะอะหยังในป่า ห้ามไผเข้ามายุ่งเด็ดขาด” กวาดสายตาไปจนทั่วแล้วก็มาหยุดที่ชายหนุ่ม แล้วกำชับอีกครั้งอย่างระบุตัวว่า “แม้แต่นายห้างก็ห้ามยุ่ง”

หลังจากวันนั้นก็จะเห็นควันขึ้นลอยเป็นสายอยู่ที่ชายป่าห่างออกไปจากเรือนพักคนงาน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามุ่ยมีวิธีการอย่างไร เหตุใดจึงต้องทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ วิลเลียมอดใจไม่ไหวแอบติดตามไปวันหนึ่งที่เขามิได้ฝึกซ้อมโปโลบนหลังม้า ก่อนจะถึงตัวก็ต้องชะงัก เพราะลูกดอกจากหน้าไม้ของมุ่ยพุ่งมาปักลงตรงหน้า ดุจว่าถ้าเขาขยับอีกก้าวเดียว ลูกดอกนั้นก็จะปักลงกลางเท้าเลือดอาบ

จากนั้นเขาก็ไม่เข้าไปวุ่นวายกับเรื่อง ‘เลี้ยงหมู’ ของมุ่ยอีก

ได้แต่ภาวนาว่าแผนการของไอ้ตัวร้าย…ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร…จะสำเร็จ

 



Don`t copy text!