เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “ป่าเหนือเมื่อหน้าดอกไม้บาน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ “ป่าเหนือเมื่อหน้าดอกไม้บาน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

สายน้ำตกที่พรูจากหน้าผาสูงดุจผ้าขาวบางผืนยาวทิ้งตัวลงมาสู่เบื้องล่าง เมืองพานายห้างลีรอยลัดเลาะตามเส้นทางเล็ก ๆ อย่างไม่เร่งร้อน เพราะระหว่างทางมีดอกไม้หลายชนิดคอยดึงความสนใจนายห้างลีรอยให้เข้าไปพินิจดูใกล้ ๆ อย่างชื่นชมแกมหลงใหลในความแปลกตาทั้งรูปโฉมและกลิ่นหอมประหลาด ที่ลีรอยสรุปว่าเป็นอัญมณีแห่งป่าเขตร้อน

เอื้องผึ้ง เอื้องสาย เอื้องพลาย กะเรกะร่อน และกุหลาบป่า ติดอยู่ตามคาคบไม้ ทิ้งช่อยาวห้อยย้อยลงมา เช่นเดียวกับเฟินชายผ้าสีดากอใหญ่ที่กาบใบโอบกิ่งไม้ ทิ้งชายเป็นสายริ้วสีเขียวสดเหมือนผ้าม่าน ดอกหญ้าเล็ก ๆ สีเหลือง ม่วง ริมลำธารก็ดูน่ามองไปเสียหมด

“ตรงที่ชื้นมาก ๆ ต้นกูดจะเยอะเป็นดง” เมืองบอกพลางแหวกกอกูดหรือเฟินต้นที่ขึ้นเป็นแนวระหว่างทางเดินไปสู่น้ำตก “ยอดอ่อนเอาไปยำ ลำขนาด…อร่อยมาก”

ลุมาถึงผาน้ำตก ลีรอยตื่นตากับความสดเขียวและชอุ่มของป่าแซมด้วยสีสันจากกลีบดอกไม้พักใหญ่ก็ถามขึ้นมา

“ดอกไม้สวยแปลกตาหลายชนิดมาก แต่ฉันยังไม่เห็นชนิดที่เธอว่ามีในป่านี้”

ลีรอยพิจารณาดูรอบตัวอีกครั้ง กล้วยไม้ดินที่ขึ้นเป็นดงที่คนท้องถิ่นเรียกว่าพวก ‘อั้ว’ ก็มิใช่ที่เขาตามหา ตามก้อนหินที่มีไม้เกาะหินจำพวก ‘สิงโต’ ก็ไม่ใช่อีก

แต่เขาไม่คิดว่าเมืองหลอกเขามาด้วยเล่ห์กล

และหากเมืองจะลวงด้วยเล่ห์…เขาก็เต็มใจตามมาเองมิใช่หรือ

ลีรอยไม่ปฏิเสธตัวเองว่า ตอนที่เมืองชวนเขาไปดูดอกไม้ในป่า คำตอบว่า ‘ตกลง’ พุ่งมารอแล้วตั้งแต่ฝ่ายนั้นยังพูดไม่จบเสียด้วยซ้ำ

เมืองชี้ไปยังหน้าผาน้ำตกเหนือขึ้นไป ลีรอยจึงเห็นสีของกลีบดอกไม้ที่เขาตามหาอยู่ลิบ ๆ

“เอื้องแบบนี้มันขึ้นอยู่ตามหน้าผา นายห้างคอยสักครู่ ผมจะปีนขึ้นไปเก็บมาให้”

โดยไม่ต้องรอคำตอบใด ๆ ของอีกฝ่าย เมืองก็ปลดกระดุมเสื้อและกางเกง ถอดถุงเท้ารองเท้าวางไว้บนก้อนหินใหญ่ ล้วงผ้าผืนยาวจากย่ามมาพันรอบเอวแล้วชักเค็ดหม้ามขึ้นสูง บอกกับลีรอยว่า

“แต่งแบบนี้ทะมัดทะแมงดีกว่า”

ลีรอยเห็นว่าหน้าผานี้คงมีน้ำตกตลอดปี กอเฟินที่งอกอยู่ประปรายบอกให้รู้ว่าคงชื้นและลื่นไปด้วยตะไคร่น้ำ จึงร้องเตือนชายหนุ่มผู้กำลังปีนสูงขึ้นไป

“ระวังลื่น ถ้าไม่ถนัดก็ไม่ต้องปีนขึ้นไปหรอก ฉันไม่ได้ต้องการขนาดนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกนายห้าง แค่นี้เอง”

เมืองปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่ลีรอยหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวว่าเขาจะร่วงลงมาในนาทีใดนาทีหนึ่ง ประกอบกับความระส่ำระสายในกายตัวนับแต่เห็นเมืองเปลี่ยนชุดรัดเอวรั้งสูงอวดต้นขาที่มีลายสักพร้อย

เช่นเดียวกับวันที่เมืองอาบน้ำช้าง

ไม่นานนักเมืองก็กลับลงมาพร้อมกล้วยไม้ป่าหายากอีกหลายช่อ ยื่นส่งให้นายห้างลีรอย

นายห้างหนุ่มชาวอังกฤษรับมาด้วยมือสั่น เขารู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ความคิดของเขากระเจิดกระเจิงไปหลายทางจับแน่ไม่ได้ เหมือนกลุ่มควันที่ถูกตีให้กระจายไปคนละทิศ

“นายห้างจะวาดต่อเลยไหม” เมืองต้องถามซ้ำถึงสองครั้งกว่าลีรอยจะได้ยิน ตะกุกตะกักตอบไป

“คงจะไม่…ฉันหมายความว่า มาถึงแหล่งที่พบแล้ว ฉันก็อยากจะดูให้เต็มอิ่มด้วยตาเสียก่อน ถ้าเราจำอะไรได้ในความทรงจำแล้ว มันจะผนึกแน่นลบไม่ออก”

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นายห้าง ผมจะอยู่แถวนี้ละ นายห้างอยากได้อะไร หรืออยากกลับเมื่อไหร่ก็เรียกผมแล้วกัน” เมืองทำท่าจะปลีกออกไปเพื่อให้นายห้างได้ใช้เวลาเป็นส่วนตัว

แต่กลับถูกท้วงไว้

“ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่คุยกันก็ได้” ลีรอยรู้สึกว่าเสียงตัวเองจะสั่นน้อย ๆ เมื่อเอ่ยชวน “ฉันมีเรื่องอยากถามเธออีกมาก อย่างแรกก็คือชื่อดอกเอื้องนี้ เธอไม่รู้จริง ๆ หรือว่าคือเอื้องอะไร”

“ไม่รู้ครับ ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก” เมืองบอกแค่นั้น ไม่พูดต่อว่า…ผมถึงเก็บไปให้นายห้าง

“วันที่อาบน้ำช้าง ฉันเพิ่งเห็นว่าเธอเองก็สักลายเหมือนคนงานอื่น ๆ” ลีรอยปรารภขึ้นมา

เมืองก้มลงดูลายสักที่ต้นขาแล้วจึงอธิบายว่า

“ผู้ชายที่นี่สักกันทุกคน ภาษิตทางนี้เขาว่า กบเขียดมันยังมีฮอยมีลาย เป็นป้อจายบ่สับลายก็เสียชาติเกิด”

ลีรอยฟังเมืองเล่าถึงการ ‘สับลาย’ หรือการสักลายด้วยหมึก ว่าเป็นเครื่องหมายหนึ่งของการแสดงความเป็นผู้ชาย มีทั้งการสักลายลงอาคมเพื่อผลทางไสยคุณ และการสักเพื่อความสวยงามอย่างที่เรียกกันว่า ‘แฟชั่น’ หรือตามความนิยม

“ผู้ชายที่นี่ พอเริ่มโตเป็นหนุ่มก็จะสักลายกันเพื่อแสดงความเป็นชายชาตรี ใครที่บวชเรียนก็อาจจะสักพร้อมลงคาถากำกับ จะหาผู้ชายที่ไม่สักลายเลยในถิ่นนี้ค่อนข้างยาก ยิ่งคนแก่มาก ๆ นายห้างอาจจะเห็นว่าสักจนเขียว ลายพร้อยไปทั้งตัว” เมืองเล่า “คนที่ไม่มีรอยสักเลยจึงถือว่าเสียชาติเกิด ไม่สมที่เกิดมาเป็นชาย น่าอายกบเขียดที่มันยังมีลายอยู่กับตัว ถ้าไปขอสาวบ้านไหนออกเฮือน…แต่งงาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะพิจารณาจากสองข้อก่อนตัดสินใจว่าจะยกลูกสาวให้หรือไม่”

“สองข้อนั้นคืออะไร”

“ข้อแรกก็คือ บวชเรียนแล้วหรือยัง ส่วนข้อสอง มีลายสักหรือไม่”

สีรอยพยักหน้าน้อย ๆ รับทราบแล้วรำพึงออกมาว่า

“อย่างเมืองนี่ ถ้าจะไปขอลูกสาวบ้านไหน ก็คงไม่ยากละสิ” เพราะเมืองมีทั้งรอยสัก และเขาก็เคยเห็นเมืองโกนหัวห่มจีวรแบบพระในศาสนาพุทธมาแล้ว “ฉันอยากเห็นลายสักของเมืองชัด ๆ จะได้ไหม”

“ได้สิ นายห้าง” ว่าพลางเมืองก็นั่งเอนพิงก้อนหิน เหยียดขาข้างหนึ่ง และยกเข่าข้างหนึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้นายห้างลีรอยได้เห็นถนัดตา

ลีรอยเอื้อมมือไปช้า ๆ แตะรอยสักสีดำบนต้นขาสีน้ำตาลอ่อนเนียนแน่นของเมือง ลวดลายคล้ายแบ่งเป็นช่องเรียงต่อกันเหมือนกรอบรูป แต่ละกรอบมีรูปโครงของสัตว์ที่เขาเดาว่าเป็นเสือ ช้าง นก กระต่าย แล้วแต่จินตนาการจะผุดขึ้นมา ลีรอยมองว่ามันคือศิลปะบนผิวเนื้อที่งดงามจนยากจะถอนสายตา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าทั้งร่างร้อนผ่าวเหมือนจู่ ๆ อากาศก็ร้อนขึ้นมาจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้า โดยเฉพาะยามที่เขาสัมผัสเลยขึ้นไปเหนือต้นขา ส่วนที่ผ้าพันไว้เป็นกระจับ

“อากาศร้อนหรือ นายห้างเหงื่อแตกพลั่กทีเดียว”

“ใช่ อยู่ ๆ ก็ร้อนขึ้นมานิดหน่อย” ลีรอยกลบเกลื่อนความรู้สึกแท้จริง เสถามไปว่า “เมืองสักมานานเท่าไหร่แล้วนี่ เจ็บหรือเปล่า”

“อย่างที่ผมสักนี้ เรียกว่าสับขาก้อม คือสักเหนือเอวและใต้เอวลงไปเหมือนนุ่งกางเกงขาสั้น ที่เขาเรียกว่ากางเกงขาก้อมน่ะนาย” อธิบายพลางเมืองก็ปลดปมผ้าที่ขมวดไว้ คลายคลี่ออกให้นายห้างลีรอยเห็นรอยต่อของลายช่วงระหว่างเอว

ลีรอยตกตะลึง ไม่คิดว่าเมืองจะเปลื้องผ้าออกให้เขาดู ใจยิ่งเต้นโครมครามราวจะทะลุออกมานอกอก

“ผมอยากถามนายห้างเรื่องหนึ่งนานแล้ว แต่ก็เกรงว่าไม่สมควร”

“ถามมาเถอะ เธออยากรู้อะไร”

“ผมอยากรู้ว่า ทำไมนายห้างถึงมีผมสีดำ ไม่เป็นสีน้ำตาลอ่อนอย่างนายห้างคนอื่นหรือแหม่มเบ็ตตี้”

ลีรอยยิ้มเศร้า

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เมือง ว่าทำไมฉันจึงมีผมสีดำ ฉันไม่รู้กระทั่งว่าพ่อแม่ของฉันเป็นใคร เมื่อจำความได้ บ้านของฉันคือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันเติบโตมาอย่างแกะหลงฝูง ฉันเหมือนเพื่อนพ้องของฉันทุกอย่างยกเว้นแค่สีผม และสิ่งนี้แหละที่ทำให้หลายครั้ง เพื่อนพ้องของฉันก็มิได้ยอมรับฉันอย่างสนิทใจ”

“แต่ก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่ยอมรับนายห้างทุกอย่าง ไม่ว่านายห้างจะเป็นอย่างไร”

“เธอหมายถึงวิลเลียม?”

“ใช่ครับ”

“วิลเลียมยอมรับฉันในแบบที่ฉันเป็น เขามองว่าการที่ฉันมีผมสีดำไม่ใช่ความแปลกประหลาด แต่เป็นความพิเศษที่ไม่อาจหาได้ทั่วไป เพราะวิลเลียมเป็นแบบนี้กระมัง ฉันจึงสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนตายของเขา เราจะไปด้วยกันทุกที่เหมือนเงาของกันและกัน”

“นายห้างไม่พูดตรง ๆ ว่านายห้างรักนายห้างวิลเลียม”

“ฉันก็พูดอยู่นี่ไง ว่าฉันเป็นเพื่อนวิลเลียมแบบคนที่จะตายแทนกันได้”

“รักแบบเพื่อนก็อย่างหนึ่ง รักแบบเทินทูนบูชาก็อย่างหนึ่ง” เมืองนิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ “รักอย่างคนรัก ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง”

“เมือง….รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

“นายห้างรักนายห้างวิลเลียม อย่างที่แหม่มเบ็ตตี้รักนายห้าง และก็อย่างที่นายห้างรักมุ่ย น้องสาวของผม”

“เมือง…” ลีรอยเบิกตากว้าง หาคำพูดไม่เจอ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ฝ่ายนั้นจาระไนออกมาถูกต้องทุกประการ

ลีรอยรู้สึกตาพร่า ทั้งร่างราวกับมีไอร้อนแผ่กระจายออกมา สีหน้าของลีรอยคงผิดปกติอย่างหนัก เมืองจึงถาม

“นายห้างเป็นอะไรไปหรือเปล่า”

“เมือง…ฉันบอกไม่ถูก ตอนนี้…ฉันรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อฝูงใหญ่บินอยู่ในท้อง”

“ถ้าอย่างนั้น นายห้างก็ควรจะปล่อยให้มันบินออกไปข้างนอก บินไปอย่างเสรี สู่ที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนา” เมืองขยับตัวจากก้อนหินใหญ่ หย่อนตัวลงไปแช่ในน้ำครึ่งหนึ่ง “ตัวนายห้างร้อนเหมือนอังไฟ ลงมาเล่นน้ำสักหน่อยคงช่วยดับร้อนได้”

อารมณ์ของหนุ่มอังกฤษผู้มีผมสีดำก้ำกึ่งอยู่ระหว่างเต็มใจกระโจนลงไปในบ่วงแร้วที่รู้ว่าใต้หลุมบ่อนั้นคือกองไฟที่จะเผาเขาให้ไหม้ไปทั้งตัว กับคล้ายถูกมนตร์สะกดจากความรู้สึกส่วนลึกในใจที่มีต่อชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลอ่อนผู้แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำขณะนี้

ทันทีที่ร่างเปลือยเปล่าของเขาตามลงไปในผืนน้ำ ลีรอยก็คิดถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เอ่ยออกไปกับเมือง

“เมื่อปลดเปลื้องทุกอย่างออกจากตัวหมดแล้ว ฉันจึงได้รู้ว่าโลกมอบให้ทุกอย่างแก่มนุษย์มาเท่ากัน เธอดูสิ เมือง ถ้าตัดเรื่องสีผิว สีผม สีตา หรือแม้แต่ภาษาที่เราใช้คุยกันออกไป เราก็เหมือนกันทุกอย่าง คือเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อเหมือนกัน หิว กระหาย เจ็บป่วย และตายได้เหมือน ๆ กัน”

“เช่นเดียวกับความรู้สึกนะนายห้าง” เมืองต่อความคิดของลีรอย “ความรู้สึกใด ๆ ไม่ว่ารัก โลภ โกรธ หลง เราต่างมีเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด”

“ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งธรรมชาติสร้างสรรค์ให้เรามาเท่ากัน มนุษย์เองทั้งนั้นที่สร้างกฎระเบียบอะไรขึ้นมาว่าควรไม่ควร กับเรื่องบางเรื่องฉันก็เห็นด้วย แต่กับบางเรื่องฉันก็ไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก”

“เช่นเรื่องอะไรที่นายห้างไม่เห็นด้วย” เมืองถามออกไปตรง ๆ

“ก็อย่างเรื่องความรัก ในเมื่อมนุษย์มีความรักให้กันแล้ว ทำไมต้องไม่เหมาะสมเพียงเพราะคนสองคนมีเพศเดียวกัน เธอรู้ไหม…เมือง บางทีฉันก็คิดว่าวิลเลียมรู้นะ ว่าฉันคิดยังไงกับเขา แต่การที่วิลเลียมไม่แสดงท่าทีรังเกียจและยังคบหาสมาคมกับฉันอย่างเช่นที่เคยเป็นมา ก็ทำให้ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองอยู่หลายครั้ง ที่ต้องอยู่บนความรู้สึกที่ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ เปิดเผยก็ไม่ได้ เพราะถ้าเปิดเผยออกไปก็ไม่ก่อผลดีแก่ใครสักคนเดียว”

อารมณ์ของลีรอยพุ่งขึ้นโดยเจ้าตัวระงับไม่อยู่ เมืองว่ายเข้ามาใกล้ บอกความคิดของตนเองแก่เขา

“ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม เหมือนกับดอกเอื้องบนหน้าผ้านั้น มันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันรู้ว่าสิ่งแวดล้อมแบบไหน ดิน น้ำ และแสงแดดเท่าไรที่เหมาะแก่การเติบโตได้อย่างสวยงาม มันจึงเติบโตและเบ่งบางอยู่ตรงนั้น ถ้าเมล็ดพันธุ์แห่งความรักของนายห้างเกิดขึ้นแล้ว มันอาจจะแค่รอเวลาที่จะพบพื้นดินเพื่อหยั่งรากสำหรับการเติบโตก็ได้”

“ฉันไม่รู้มาก่อน ว่าเธอพูดอะไรแบบนี้เป็นกับเขาด้วย” ลีรอยเหน็บแกมหยอกล้ออยู่ในที “ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความรักของเธอเกิดขึ้นหรือยัง”

เมืองไม่ตอบ ไม่อธิบายหรือแก้ไข หากแต่ถามเขากลับ

“ตอนนี้ผีเสื้อในท้องนายห้างยังบินวนอยู่ไหม”

ลีรอยรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไรบอกไม่ถูก หากที่รู้แน่คือเขาเผลอระบายอารมณ์ขุ่นข้องที่อยู่เบื้องลึกในใจให้ชายหนุ่มท้องถิ่นผู้นี้ได้รู้ไปแล้ว และเขาดูไม่ประหลาดใจแต่อย่างใดเลย ในทางกลับกัน เมืองกลับบอกให้เขาผ่อนคลายว่า

“ในเมื่อเราต่างถูกสร้างสรรค์มาจากธรรมชาติ และตอนนี้เราก็อยู่ท่ามกลางแวดล้อมของธรรมชาติ ไม่ผิดกับอยู่ในอ้อมกอดของมารดา เราน่าจะปล่อยให้อะไร ๆ เป็นไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ผมเชื่อว่ามารดาของเราจะไม่ตำหนิในสิ่งที่ลูก ๆ ของเธอทำลงไป”

“เธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ เมือง” ลีรอยถาม

เมืองพยักหน้ารับ ยิ้มน้อย ๆ

ในนาทีต่อจากนั้น ลีรอยก็โผเข้ามาชิดร่างของเมือง ประกบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายโดยไม่มีการต่อต้านขัดขืน นานช้ากว่าเขาจะถอนออกมา บวกด้วยน้ำเสียงขาดห้วงหากปรีดิ์เปรมว่า

“เธอเป็นคนบอกเองนะ ว่ามารดาของเราจะไม่ตำหนิสิ่งที่ธรรมชาติในตัวฉันเรียกร้องให้ทำ”

คำตอบของเมืองคือการจุมพิตกลับไปที่ริมฝีปากของนายห้างหนุ่ม ครั้งนี้สองแขนต่างโอบรัดกันราวจะเค้นเอาความหวานชื่นที่ซ่อนอยู่ในเนื้อตัวของอีกฝ่ายออกมาลองลิ้มชิมดื่มให้เต็มอิ่มในอารมณ์ ท่ามกลางเสียงป่า แมลงไพร และสายน้ำตกไหลลงมา ร่างกำยำของสองหนุ่มเบียดกันราวพยายามผสานให้กลายเป็นเนื้อเดียว ความเย็นฉ่ำของธาราใสเทียบมิได้กับความร้อนดุจภูเขาไฟที่ใจกลางร้อนระอุเต็มที่ เพลิงลาวาพร้อมปะทุเผาผลาญออกมาทุกนาที

ทั้งลีรอยและเมืองคิดถึงตอนที่พบปู้คำแสนและปู้คำตุ่นเล่นน้ำด้วยกันหลังจากผูกเสี่ยว

“เธอท้าทายฉันมากเลยนะ เมือง ที่ทำอะไรอย่างนี้” ลีรอยกระซิบเตือนเบา ๆ ข้างหู ทั้งที่ลมหายใจร้อนผ่าวไม่อาจหยุดยั้ง “ฉันอยากรู้นักว่า อะไรทำให้เธอกล้าที่เป็นเมืองอีกคนที่ใคร ๆ ก็ไม่รู้จัก”

“ตั้งแต่นายห้างยอมให้หักเงินเดือนตัวเองเพื่อซื้อตัวปู้คำตุ่นไงล่ะครับ”

คำตอบของเมืองทำให้หน้าของลีรอยร้อนขึ้นมาด้วยความเขินอาย แท้ที่จริงแล้ว เมืองรู้ความในใจของเขาก่อนที่เขาจะมาซักไซ้เสียอีก

สองร่างเกาะเกี่ยวกันไปในสายน้ำ ไม่มีเวลาอยู่ในความคิด มีเพียงไฟปรารถนาที่ยิ่งเติมเชื้อยิ่งลุกโพลง จนกระทั่งในวินาทีสุดท้าย ทั้งสองชายก็ร้องออกมาสุดเสียง ก่อนจะนอนเคียงกันอย่างอ่อนแรงอยู่ริมน้ำตก

“ผีเสื้อในท้องฉัน…บินออกไปหมดแล้ว” ลีรอยรำพึง มองหน้าชายหนุ่มที่นอนเคียงกันอย่างซาบซึ้งยิ่งกว่าครั้งใด กล้วยไม้ป่าที่เขาเก็บมาให้วางอยู่ข้าง ๆ ลีรอยจึงหยิบขึ้นมาเพ่งมองอีกครา

“เธอว่า เอื้องพลายนี้ยังไม่มีชื่อเรียกใช่ไหม”

“ใช่ นายห้าง”

“ถ้าเช่นนั้น ฉันจะตั้งชื่อให้มันเอง ในเมื่อเราทั้งสองเป็นผู้พบมันก่อนใคร ๆ ฉันก็จะตั้งชื่อมันว่า เอื้องรอยเมือง” ลีรอยหันไปหาผู้ที่มีส่วนร่วมในชื่อตั้งใหม่กึ่งหนึ่ง “เธอชอบชื่อนี้ไหม”

อีกครั้งที่เมืองไม่ตอบด้วยถ้อยคำ แต่ให้การจุมพิตของเขาแทนคำตอบทั้งมวล

ลีรอยเบียดหน้ารับรอยจูบนั้น แล้วบทเพลงแห่งพงไพรก็บรรเลงขึ้นอีกครั้ง

 

“กลับมาพอดี เรากำลังจะเริ่มดินเนอร์กัน”

วิลเลียมร้องออกไปเมื่อเห็นลีรอยและเมืองเดินเข้ามา รู้ว่าทั้งสองคงมีคำถามจึงบอกเสียคราวเดียวว่า

“มัวแต่ดูเขาซ่อมวัดเพลินจนค่ำ กว่าจะกลับมาถึงนี่ เพิ่งตั้งโต๊ะเสร็จเดี๋ยวนี้เอง”

“ฉันเอาของไปเก็บก่อน” ลีรอยบอกแก่เพื่อนสนิท ส่วนเมืองก็ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับมาร่วมโต๊ะ

อาหารมื้อนี้มีผิดไปจากมื้อที่เคยผ่านมา วิลเลียมเป็นคนนำเสนอเองว่า

“แกงหมูนี่คนงานของหนานทิพย์เคี่ยวกับเครื่องเทศจนเนื้อนุ่ม ฉันคงแสดงท่าทางว่าตะกละไปหน่อย เขาเลยแบ่งมาให้เสียชามใหญ่” วิลเลียมเล่าปนขำหากตอนท้ายบอกว่า “ฉันอยากให้นายได้ชิมด้วย ลีรอย เสียดายที่วันนี้นายไม่ไปด้วยกัน”

ลีรอยยิ้มออกมานิดหนึ่ง ตักหมูชิ้นใหญ่น้ำแกงค่อนข้างข้นสีน้ำตาลคล้ำมาใส่จานของตน

“คนที่นี่เรียกว่า แกงฮังเล” เมืองบอก

“เนื้อนุ่มดีนะ หวาน เปรี้ยว เค็ม ผสมเครื่องเทศอะไรบ้างไม่รู้ แต่เข้าเนื้อดีเหลือเกิน” ลีรอยออกความเห็น

“ใช้เนื้อที่ติดมันจะอร่อยกว่าเนื้ออย่างเดียว” มุ่ยว่าอย่างสนุก นึกถึงหมูตัวโปรดของหลุยส์ที่มุ่ยทำให้มันเป็นฝ่ายแพ้ไอ้เลี่ยมกับนังเบ็ดมาแล้ว “ถ้าเป็นเนื้อไอ้กะหร่องหรือไอ้ลาดาสนะ จะล้ำ…ลำ…อร่อยมาก เชื่อสิ”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ประสานกันขึ้นมานิดหนึ่ง

วิลเลียมบิก้อนขนมปังในตะกร้าจิ้มแกงฮังเลส่งเข้าปาก แสดงท่าว่าพอใจ

“นายลองดูสิ ลีรอย เหมือนกินโรตีจิ้มแกงข้น” ว่าพลางเขาก็นึกถึงมัลลิกา หมอสาวจากแคว้นโอริสสาที่ให้ยารักษาโรคเขากล่องใหญ่ “หมอสจ๊วตบอกว่ามัลลิกาเป็นหมอที่รอบคอบมาก รู้ว่าในป่าทางนี้จะมีโรคภัยอะไรบ้าง ยาที่มอบให้มาแทบว่าจะครบครันเลยทีเดียว เสียแต่ว่าฉันเองก็จำได้ไม่หมดว่าชนิดไหนใช้อย่างไร คงต้องค่อย ๆ จดบันทึกไว้ทีละอย่าง”

แล้ววิลเลียมก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหันถามเพื่อนหนุ่มคนสนิท

“ว่าแต่นายหายไปไหนทั้งบ่าย กลับมาเสียค่ำ”

ลีรอยกระตุกน้อย ๆ ราบกับว่าคำถามนั้นคือลูกธนูอาบเปลวไฟพุ่งปักมายังอก ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น

ยกเว้นผู้เดียว…เบ็ตตี้

หญิงสาวชาวอังกฤษรู้ดีว่าขณะนี้วิลเลียมออกจะ ‘เห่อ’ ครูสอนภาษาของเขา และบิดาของมุ่ยก็ดูจะลดราวาศอกในการตีวงกันมิให้วิลเลียมกับมุ่ยได้ใกล้ชิดกัน ถ้าหล่อนแสดงตัวว่าเป็นคนคอยขวางขึ้นมา วิลเลียมอาจจะปฏิเสธหล่อนง่ายขึ้น

ที่สำคัญกว่านั้นคือ เบ็ตตี้มีเรื่องใหม่ที่แบ่งความสนใจของหล่อน นอกเหนือจากการตามติดวิลเลียมไปทุกฝีก้าว

“เมืองพาฉันไปที่น้ำตก ไปดูดอกไม้”

ลีรอยพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ไม่มีใครคิดว่าเขามีพิรุธอยู่ในคำตอบนั้นนอกจากตัวเขาที่ร้อนรนไปเอง เหมือนคนพูดความจริงแต่ไม่เต็มปากเต็มเสียงจนคนฟังคิดว่าเขากำลังโกหกกลบเกลื่อนความจริงอยู่

“นายคงได้ภาพมาเพิ่มในคอลเลกชั่นใหม่อีกมากเลยนะ” วิลเลียมเย้าสนุก หากลีรอยยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพียงไม่นานก็โล่งใจ เพราะวิลเลียมไม่มีทีท่าจะสนใจเรื่องดอกไม้หรือน้ำตกอีก

“พรุ่งนี้ฉันจะไปที่วัดอีก นายน่าจะได้เห็นนะว่าคนที่นี่แกะสลักไม้ท่อนใหญ่ ๆ ได้ละเอียดลออราวกับลูกไม้ คล้าย ๆ กับที่บ้านเราแกะสลักหินอ่อน” วิลเลียมปรารภขึ้นมาก่อนชวน “พรุ่งนี้ไปที่วัดด้วยกันนะ ลีรอย”

“เห็นทีต้องขอตัว ฉันอยากวาดภาพต่อให้เสร็จ”

ลีรอยแปลกใจตัวเองไม่น้อยที่ปฏิเสธคำชวนของวิลเลียมได้ทันที โดยที่เขาเองก็มิได้มีแผนการจะวาดรูปต่อหรือนัดหมายอื่นใด วิลเลียมไม่ซักไซ้และรบเร้า เอาใจเพื่อนรักเพียงว่า

“ก็ตามใจนาย”

ทว่าเบ็ตตี้กลับยั่วเย้า ดวงตาเรียวงามที่ปรายมาน้อย ๆ พร้อมยิ้มมุมปากทำให้ลีรอยเห็นว่าช่างน่าเกลียดนัก

“เห็นทีเธอจะป่วยเสียแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเธอตามติดวิลเลียมอย่างกับเงาตามตัว ฉันอยากรู้จังว่า อะไรนะที่ทำให้เธอยอมปลีกตัวจากเพื่อนรักอย่างนี้”

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก นอกจากว่าคนเราควรมีความเป็นส่วนตัวบ้าง การที่เราให้อิสระแก่ตนเองและแก่คนอื่นในการที่จะทำอะไร ๆ ที่เป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ บ้าง” เขาค่อนข้างเน้นคำเมื่อเอ่ยถึง “ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์หรือมิตรภาพยืนนานต่อไป”

เบ็ตตี้ไม่รู้ว่าหล่อนไปจี้จุดอะไรเข้า ลีรอยจึงพูดยืดยาวและเห็นชัดว่าจงใจ ‘ฟาด’ หล่อนเต็มที่

“ไอ้ที่อยู่ติดกันจนแกะออกไม่ได้น่ะ มันไม่ใช่เงาหรอก แต่เป็นปลิง เช่นเดียวกับพวกที่เที่ยวอยากรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น ทั้งที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับตัว นอกจากเก็บไว้เป็นหัวข้อซุบซิบนินทา เขาก็เรียกว่าพวกจุ้นจ้าน”

เบ็ตตี้ตัวเย็นแข็งคล้ายว่าทั้งร่างกลายเป็นน้ำแข็ง

“คำถามน่าเกลียดของเธอ ฉันจึงให้คำตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเธอถามด้วยความห่วงใย หรือเพราะนิสัยจุ้นจ้านสาระแน”

ลีรอยเช็ดปากแล้วลุกออกไปจากโต๊ะ ปล่อยให้คนที่เหลือมองหน้ากันเองอีกเป็นนาน กว่าใครสักคนหนึ่งจะแก้ไขบรรยากาศชวนอึดอัดนี้ให้คลี่คลายลง

 



Don`t copy text!