เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “วิมานลอย”
โดย : เนียรปาตี
เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ
บ่ายแก่จนถึงเย็นย่ำเป็นเวลาสำราญและหย่อนใจสำหรับชาวตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่คือบรรดาผู้จัดการป่าไม้หรือนายห้างจากบริษัทต่าง ๆ มาชุมนุมกันที่คลับเฮาส์ บ้างนั่งอ่านหนังสือ ล้อมวงจิบชา เล่นไพ่ บ้างเล่นกีฬากลางแจ้งอย่างกลอล์ฟ โปโล หรือคริกเก็ต ในยามนี้ไม่มีใครแบ่งพรรคแบ่งพวกว่ามาจากบริษัทใด มีเพียงชาวตะวันตกที่เป็นสมาชิกของละกอนสปอร์ตคลับเท่านั้น
ฝนที่ตกหนักในเดือนนี้ทำให้กิจกรรมกลางแจ้งต้องงดไป เมื่อไม่สามารถยืดเส้นยืดสายที่ลานกว้างได้ การล้อมวงเล่นไพ่บริดจ์ก็ถือว่าไม่เลวนัก เพราะบทสนทนาระหว่างเกมทำให้วิลเลียมได้รู้อะไรอีกหลายอย่างที่เขายังไม่รู้ ถือเป็นการเตรียมตัวสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไปในฐานะผู้จัดการป่าไม้
“ปีนี้ฝนตกหนัก น่ากลัวน้ำจะท่วม”
โทมัสนั่งตรงข้ามวิลเลียมปรารภขึ้นมาก่อนขณะพิจารณาไพ่สิบสามใบในมือ เขามีประสบการณ์ในป่าเมืองเหนือมานาน งานของโทมัสจึงลุล่วงไปตามแผน…เสร็จก่อนกำหนดด้วยซ้ำ…เพราะเขาเคร่งครัดต่อแผนการของตัวเอง ไม่สนใจปัญหารายวันของคนงานที่เขามองว่าเป็น ‘ข้ออ้าง’ จากความขี้เกียจ และมีค่าแค่ทำให้รำคาญใจเท่านั้น
โทมัสจึงกลับมาพักผ่อนช่วงเวลาสั้น ๆ ที่สถานีป่าไม้ รอช่วงเวลาผลักซุงลงแม่น้ำ
“ตกหนักสิดี ยิ่งน้ำเชี่ยวยิ่งดี ซุงของเราจะได้ล่องน้ำไปเร็วขึ้น” หลุยส์ไม่เดือดร้อนกับสายฝนหรือพายุ กลับกันเขาเห็นว่านี่คือพรอันประเสริฐที่พระเจ้าประทานมาให้บริษัททำไม้ดำเนินการได้คล่องขึ้น
เบ็ตตี้และเรต้ายกบิสกิตอบใหม่มาแจกจ่ายให้หนุ่ม ๆ ในวงไพ่ วิลเลียมไม่แปลกใจที่เบ็ตตี้จะสมานฉันท์กับหลุยส์และเรต้าผู้ภรรยาราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องกินแหนงแคลงใจมาก่อนหน้านี้ เพราะสังคมชาวตะวันตก…หรือว่าให้ถูกก็คือสังคมชาวอังกฤษที่นี่แคบนิดเดียว ถ้าหลุดออกจากวงแล้วก็แทบจะไม่มีสมาคมอื่น
หลุยส์ส่งบิสกิตเนื้อนุ่มหอมกลิ่นเนยเข้าปาก เอ่ยชมพลางสัพยอกภรรยา
“ฝีมือหลานสาวหมอสจ๊วตนี่เยี่ยมยอดจริง ๆ ขออภัยนะ เรต้ายอดรัก ที่ฉันต้องชมหญิงอื่นแทนที่จะชื่นชมภรรยาผู้แสนสวยของฉัน”
เบ็ตตี้ยิ้มเอียงหน้าหลบด้วยความเขินที่ถูกยอต่อหน้า หากก็กระหยิ่มเป็นสุขใจ เรต้าหัวเราะอวดฟันขาวราวสร้อยมุกรับลูกจากสามี
“เบ็ตตี้ทำอาหารอร่อยมาก ฉันพยายามล้วงเคล็ดลับของเธออยู่ ฉันละนึกอิจฉาสามีในอนาคตของเบ็ตตี้จริง ๆ เชียว ที่จะมีภรรยาและแม่บ้านที่เลิศที่สุด” หล่อนหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วว่า “ถ้าหลุยส์พบเบ็ตตี้ก่อนฉัน ก็รับประกันได้เลยว่าหลุยส์ต้องเลือกเบ็ตตี้ และไม่มีสายตาหลงเหลือไปมองหญิงใดอีก”
“ใครปล่อยเบ็ตตี้หลุดมือไปก็โง่เต็มที ยิ่งตอนนี้เป็นหลานสาวหมอสจ๊วตด้วย จริงไหม” โทมัสเย้าแกมเหน็บแนมอยู่ในที เพราะรู้ดีว่าการที่หมอสจ๊วตรับเบ็ตตี้เป็นหลานสาวนั้น เพื่อช่วยให้หล่อนพ้นจากสถานภาพครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในสถานีป่าไม้ ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ในสถานะใดกันแน่
เบ็ตตี้หน้าตึงขึ้นมา รู้ว่าโทมัสช่วยหล่อนโดยการสะกิดความคิดของวิลเลียม แต่เขาออกจะ ‘หยอก’ แรงไปสักหน่อย เบ็ตตี้จับตาดูท่าทีวิลเลียมว่าเขาจะโต้ตอบอย่างไร ก็พบแต่ความนิ่งเฉย ดวงตาของวิลเลียมเพ่งแต่ไพ่ในมือราวกับยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทิ้งใบไหนลงมา ทั้งที่เวลานี้เขามีคะแนนนำผู้เล่นคนอื่นไปมาก
หลุยส์ เลียวโนเวนส์เป็นผู้สะกิด
“อย่าคร่ำเคร่งนักน่า วิลเลียม เลือกทิ้งมาสักใบเถอะ ยังไงเกมนี้พวกเราก็แพ้คุณอยู่แล้ว”
“อย่ากดดันมิสเตอร์บรูคสิ หลุยส์…” โทมัสว่าปนหัวเราะ แกล้งเอ่ยถึงวิลเลียมอย่างเป็นทางการ “ไพ่สองใบในมือ มันตัดสินใจยากอยู่นะว่าจะเลือกเก็บหรือทิ้งใบไหนระหว่าง ‘แหม่ม’ กับ ‘หัวใจ’ จริงไหมมิสเตอร์บรูค”
ฝนซาเม็ดลงบ้างแล้ว วิลเลียมวางไพ่ทั้งหมดลงบนโต๊ะ บอกเรียบ ๆ แต่เห็นชัดว่าไม่สบอารมณ์และไม่สนุกไปด้วยกับบทสนทนาฝืด ๆ
“ผมขอหยุดเกมเท่านี้ ขออภัยที่เสียมารยาท ผมต้องไปที่บ้านหมอสจ๊วตแล้ว”
วิลเลียมโค้งลาทุกคนแล้วเดินออกไปจากสปอร์ตคลับ ไม่ถามเบ็ตตี้ว่าจะไปด้วยกันหรือไม่…ในฐานะที่หล่อนเป็นหลานสาวหมอสจ๊วต เบ็ตตี้หน้าตึง ร่างนิ่งขึงแทบไร้ความรู้สึก
โทมัสแกล้งปรารภขึ้นมาดัง ๆ จงใจให้ได้ยินกันทุกคน
“ดูเหมือนเราจะรู้แล้วนะ ว่า ‘แจ็ค’ ของเราเลือก ‘แหม่ม’ หรือ ‘หัวใจ’” (1)
อาการของมุ่ยดีขึ้นจนวิลเลียมวางใจ และเตรียมตัวกลับไปที่แคมป์ในวันพรุ่งนี้ มื้อค่ำวันนี้จึงเป็นการเลี้ยงส่งกลาย ๆ ทว่าไม่มีเบ็ตตี้ร่วมโต๊ะ หล่อนเลี่ยงการเห็นภาพวิลเลียมแสดงความอาทรแก่แม่แวนด้าป่าด้วยเหตุผลว่าต้องสอนเรต้าทำพุดดิ้ง
ความจริงคือเบ็ตตี้แค้นใจเมื่อวิลเลียมรู้สาเหตุแต่เขาไม่รบเร้าให้หล่อนมาร่วมโต๊ะ
และถึงแม้เบ็ตตี้จะร่วมดินเนอร์ด้วย หล่อนก็คงไม่เพลินใจนัก ด้วยว่าบทสนทนาพุ่งไปที่อาการไข้และการรักษามาลาเรียของมุ่ย
“โชคดีนะที่เธอไม่ตกใจลนลานจนให้ยาผิด” หมอสจ๊วตว่าปนหัวเราะขณะตักซุปหัวหอมเข้าปาก มองหน้าหมอจำเป็นที่จ่ายยาคนไข้ถูกโรค “มาลาเรียนี่จะว่าร้ายก็ร้าย จะว่าไม่ร้ายก็ได้อีก เพราะสำหรับฉันแล้ว ถ้ารู้ตัวก่อน รักษาทัน ก็ไม่ร้ายแรงอะไรนัก ยาควินินอย่างเดียวก็เพียงพอจะตัดโรคให้หายได้”
“ยาขาวของหมอวิเศษ แก้ไข้พิศดีขนาดเจ้า” มุ่ยเอ่ยชมพร้อมรับรองสรรพคุณ
วิลเลียมไม่แปลกใจอีกแล้วที่ได้ยินมุ่ยพูดถึงสิ่งเดียวกันแต่เรียกเป็นอย่างอื่น อย่างยาควินิน หล่อนก็เรียวว่า ยาขาว ไข้มาลาเรีย หล่อนก็เรียกว่า ไข้พิศ
ทว่าหมอสจ๊วตโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ใช่ยาของฉันหรอก ของหมอแมคเคนต่างหาก” ผู้พูดหมายถึงนายแพทย์เจมส์ ดับบลิว แมคเคน มิชชันนารีอเมริกันผู้ประจำอยู่ที่เชียงใหม่ “ทางนี้มาลาเรียชุกชุม เพราะเป็นเขตร้อนยุงเยอะ โดยเฉพาะยุงก้นปล่อง ชาวบ้านเข้าป่าทีก็เป็นมาลาเรียกลับมา ยาควินินที่สั่งไว้มีเท่าไรก็ไม่พอ หมอแมคเคนเลยสั่งเครื่องจักรมาผลิตยาเสียเองเลย”
“ทำไมมักเป็นเวลาเข้าป่าล่ะครับ” วิลเลียมถาม มือป้ายเนยผสมกระเทียมลงบนขนมปัง
“สภาพแวดล้อมนะสิ ในป่ามีเศษใบไม้ร่วงทับถม ผ่านฝนสลับแล้งมาหลายปีก็กลายเป็นแหล่งรวมอายพิศ (2) ครั้นฝนตกมาก็ทำให้อายพิศฟุ้งเจือไปในอากาศ คนเข้าป่าได้รับอายพิศเข้าไปก็ได้โรค ถูกอายพิศน้อยก็ป่วยน้อย ถูกอายพิศมากก็ป่วยมาก ปีหนึ่ง ๆ ชาวบ้านตายด้วยมาลาเรียเยอะมาก เพราะรักษาไม่ถูกวิธี เธอก็เห็นแล้วว่าแค่กินยาควินินก็หายชะงัด แต่ส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเพราะปล่อยให้โรคลุกลามจนตัวเหลืองซีด ม้ามย้อยโต กินยาต้มหม้อใหญ่เป็นเดือน ๆ” หมอสจ๊วตชำเลืองมาทางมุ่ยนิดหนึ่งจึงว่าต่อ “ฉันไม่ได้ปฏิเสธการรักษาของคนที่นี่หรอกนะ แต่ยาควินินตัดโรคเร็วกว่า ยาต้มของที่นี่ ฉันคิดว่าเหมาะสำหรับกินในช่วงฟื้นฟู”
สีหน้าของมุ่ยดีขึ้นหมอสจ๊วตก็พลอยอารมณ์ดีขึ้นไปด้วย
วิลเลียมสังเกตหลายครั้งแล้วว่า เวลาที่พูดในเชิงเปรียบเทียบระหว่าง ‘ตะวันตก’ และ ‘คนที่นี่’ แม้มุ่ยจะยอมรับในหลายเรื่อง แต่บางเรื่องหาก ‘แตะ’ มากไป สีหน้ามุ่ยก็ฟ้องขึ้นมาทันทีว่าไม่สบใจนัก
“กว่าจะกล่อมให้คนที่นี่ยอมกินยาก็ลำบาก เพราะชาวบ้านไม่เชื่อว่ายาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวว่าจะรักษาโรคได้ จึงต้องเอายาลูกกลอนมาหุ้มไว้ แต่พอเชื่อถือแล้วกลับกลายเป็นเท่าไรก็ไม่พอ สั่งมาตุนไว้แค่ไหนก็หมด หมอแมคเคนเลยสั่งเครื่องจักรเข้ามาผลิตเองเสียเลยยังไงเล่า จึงผลิตยาได้มาก ได้ผลดีกว่ายาควินินตำราหลวงเสียอีก” หมอสจ๊วตหมายถึงยาควินินตำราหลวงของราชการสยาม
“ทำไมล่ะครับ” วิลเลียมไม่คลายสงสัย
“ปริมาณตัวยาต่างกันยังไงละ ยาตำราหลวงมีตัวยาควินินแค่ ๓ เกรน แต่ของหมอแมคเคนมี ๕ เกรน” หมอสจ๊วตเล่าต่อว่า “ถ้ายาเม็ดไหนมีอักษรย่อ อ.ม. อยู่ รู้ไว้ว่านั่นละ ยาของหมอแมคเคน”
“ข้าเจ้าหายดีแล้วแม่นก่?” มุ่ยถามเสียงอ่อย
ทว่าทั้งหมอสจ๊วตและวิลเลียมรู้ทันว่าฝ่ายนั้นจะคืบคลานไปสู่เรื่องใด หมอสจ๊วตจึงดักคอขึ้นก่อน
“ยังไม่สนิทดีทีเดียว เจ้ายังมีอาการตัวเหลือง”
“ถ้าแค่นั้น ข้าเจ้าติดยาไปด้วยนักหน่อยก็ได้ รับปากว่าจะกินตามเวลาอย่างเคร่งครัด”
“บ่ได้หรอก” วิลเลียมเอ่ยขึ้นมาด้วยภาษาถิ่น “ต่อให้หายสนิทดีแล้ว ฉันก็บ่อนุญาตให้มุ่ยตามไปที่แคมป์อีก”
มุ่ยเหยียดปากขึงตาใส่ วิลเลียมก็ไม่ยอมตามใจ
“บ่ต้องห่วงไอ้หมูสองตัวกับเหล้า เฮาจะนำกลับมาให้เอง”
ทันทีที่วิลเลียมเอ่ยถึงเหล้า หมอสจ๊วตก็หันมาทางมุ่ย จ้องเหมือนครูแก่ดุ ๆ ที่กำลังพิจารณาโทษของเด็กที่ทำผิด
มุ่ยห่อตัวทว่าแอบขึงตาใส่วิลเลียมหนักขึ้นโดยที่ฝ่ายนั้นยังไม่เข้าใจว่าพูดอะไรผิดตรงไหน
วิลเลียมรู้สาเหตุที่อยู่ ๆ มุ่ยก็หงอต่อหน้าหมอสจ๊วตเมื่อฝ่ายนั้นเริ่มอบรมเรื่องโทษภัยของการดื่มสุรา คนดื่มว่าร้ายแล้ว คนกลั่นสิร้ายกว่า เพราะถือว่าเป็นผู้ทำให้เกิดอบายมุข ระหว่างนั้นเองที่วิลเลียมเพิ่งสังเกตว่าในบ้านของหมอสจ๊วตไม่มีขวดเหล้าเรียงรายเหมือนที่คลับเฮาส์ มีเพียงแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผลเท่านั้น
หมอสจ๊วตกำชับมุ่ยว่า
“อย่าแอบต้มเหล้าอีก เมรัยเป็นสิ่งไม่ดี ทั้งต่อสุขภาพและศีลธรรม”
มุ่ยพยักหน้ายอมรับคำของหมอสจ๊วตอย่างเด็กว่านอนสอนง่าย หากไม่วายส่งสายตาคาดโทษไปยังวิลเลียมว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ง่าย ๆ เด็ดขาด
ก่อนวิลเลียมกลับไปที่แคมป์ในป่า เขาจึงหาโอกาสบอกมุ่ยตามลำพังว่า
“ตอนปิ๊ก…ขากลับมา ฉันจะแอบเอาเหล้าไปซ่อนที่ออฟฟิศ หมอสจ๊วตไม่รู้หรอก”
นั่นแหละ สีหน้าของมุ่ยจึงค่อยดีขึ้น ตาเป็นประกายก่อนหรี่แลดุจจะค้นหาความหนักแน่นในคำพูดนั้น
“ฉันสัญญา ด้วยเกียรติของสุภาพบุรุษอังกฤษ”
ขบวนเกวียนเทียมควายบรรทุกซุงออกมาจากแคมป์ในป่าเพื่อนำไปเรียงหมอนไว้ริมฝั่งแม่น้ำวัง รอเวลากระแสน้ำเชี่ยวสำหรับล่องซุงไปในแม่น้ำ มิสเตอร์อีแวนเดอร์เป็นผู้อธิบายให้วิลเลียมเข้าใจว่าช้างเหมาะใช้งานในป่าโดยเฉพาะภูมิประเทศที่เป็นเนิน แต่ควายเทียมเกวียนขนซุงได้ดีกว่าในที่ราบ
การไล่หม่องฮูโอคนเลี้ยงช้างผู้ถือดีส่งผลกระทบถึงการเช่าเกวียนหรือที่คนถิ่นนี้เรียกว่า ‘ล้อ’ และยังควายอีกหลายตัว วิลเลียมติดต่อเฮดแมนคนอื่นก็ได้รับการปฏิเสธทุกรายไป ในที่สุดจึงต้องหันหน้ามาพึ่งมิตสะหลวย หรือหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์
การเจรจากับหลุยส์เรื่องเช่าควายขนซุงเป็นไปดี หลุยส์มีควายและเกวียนให้เช่าเพียงพอเพราะกว้านเช่าดักหน้าไว้ก่อนหน้านี้ วิลเลียมไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องยอม แม้จะรู้ว่าค่าเช่าที่ตกลงกันนั้นเป็นราคาที่หลุยส์บวกการเอาคืนเพราะแข่งหมูแพ้ก็ตาม
สถานีป่าไม้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมน้ำเพื่อสะดวกในการล่องซุง ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ชาวนาชาวสวนรอคอย แต่หากฝนตกหนักน้ำมากไป ก็สร้างความเสียหายให้แก่เรือกสวนในนา ทว่าช่วงเวลาน้ำหลากคือช่วงเวลาที่มีค่าดั่งทองของบริษัททำไม้ นายห้างที่ก่อนหน้านี้ทำตัวเป็นพรานป่ากลับผันตัวมาเป็นกองเสนาธิการ วางแผนยุทธศาสตร์จัดวางกองกำลังคนทำไม้ไปอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ ริมแม่น้ำลำห้วย โดยเฉพาะจุดที่เป็นทางแคบ ทางโค้ง หรือเกาะแก่งแง่งหินใหญ่ที่ท่อนซุงอาจไหลไปติดขวางทางน้ำจนปิดกั้นเส้นทาง ทำให้ซุงท่อนอื่นไหลไปไม่ได้
การขนไม้ออกจากป่ามาเรียงหมอนไว้ริมตลิ่งจึงเป็นการทำงานที่แข่งขันกับเวลาและระดับน้ำที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนเปี่ยมตลิ่ง นั่นละคือ ‘นาทีทอง’ ที่จะปล่อยซุงลงไปในลำน้ำ
‘นาทีทอง’ ที่รอคอยไม่อาจระบุให้แน่ชัดไปได้ บางครั้งช่วงเวลานี้ก็เกิดทันทีหลังฝนตก ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นหลายเมตรในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ถ้าไม่เตรียมซุงให้พร้อมไว้ริมตลิ่งก็อาจพลาดโอกาสสำคัญนี้ได้ ผู้เป็นนายห้างต้องรู้จักสังเกตและตัดสินใจเด็ดขาด เพราะหากเชื่องช้าทำใจเย็นทอดเวลารอคอย กระแสน้ำอ่อนแรงในไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น โอกาสทองของปีนั้นก็จะไหลตามกระแสน้ำไปพร้อมกับรายได้ที่สูญไปมหาศาล
ฝนที่ตกติดต่อกันสร้างรอยยิ้มให้แก่มิสเตอร์อีแวนเดอร์ยิ่งกว่าใคร เขาบอกวิลเลียมว่า
“ฉันคันไม้คันมืออยากจะผูกแพเสียแต่ตอนนี้เลย”
“แล้วทำไมไม่ทำเสียเลยล่ะครับ” วิลเลียมถาม เพราะท่าทางของอีแวนเดอร์ตอนนี้ไม่ผิดกับเด็กหนุ่มที่พบเกมสนุกที่โปรดปราน อยากแจ้นออกไปเล่นไว ๆ เกือบไม่เหลือเค้านายห้างหนุ่มใหญ่…นายฝรั่งต้นคอแดง ที่คนงานกลัวเกรงเพราะเสียงดังและท่าทางดุดัน
วิลเลียมรู้ว่างานอดิเรกของอีแวนเดอร์คือการต่อเรือ เมื่อก่อน…ก่อนอีแวนเดอร์จะรับหนูเป็นภรรยาออกหน้า เวลาที่เขาพบหญิงสาวถูกใจ อีแวนเดอร์ก็จะต่อเรือแล้วตั้งชื่อตามชื่อนางเหล่านั้น เพิ่งรามือไปหลังจากที่เขาเกลี้ยกล่อมหนูให้แอบหนีจากคุ้มเจ้านางนกน้อยมาเป็นภรรยาเขาสำเร็จ
หากกระนั้น อีแวนเดอร์ก็บอกเสมอว่าจะต่อเรือรับขวัญลูกคนแรก คงพอดีกับช่วงหมดฤดูทำไม้ปีนี้
“เรายังผูกแพตรงนี้ไม่ได้หรอก เพราะทางใต้แม่น้ำนี้ยังมีทางโค้งและช่วงแคบ เกาะแก่งก็เยอะ” มิสเตอร์อีแวนเดอร์อธิบาย “บางช่วงที่แม่น้ำโค้งมาก ถ้าผูกแพก็จะติด แล้วก็พานขวางแม่น้ำไปด้วย เราจึงต้องล่องซุงเป็นท่อนไปก่อน แล้วจึงไปผูกซุงเป็นแพที่ปากน้ำโพ”
ตรงนั้นเป็นจุดรวมของแม่น้ำหลายสายก่อนจะไหลไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา ‘สถานีผูกแพ’ ของบริษัททำไม้จึงอยู่ที่นั่น
วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ฝนตกหนักจนแทบมองไม่เห็นวิ่งใด ทว่าอีแวนเดอร์ออกมายืนดูกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากไหลแรง บอกกับวิลเลียมว่านาทีทองมาถึงแล้ว
หลังพายุกระหน่ำฝนโปรยสายซาลงแต่กระแสธารยังไหลเชี่ยว ช้างหลายเชือกก็ไปรวมกันที่ริมฝั่งน้ำวัง ร้องประสานเอาฤกษ์เอาชัยแล้วก็เริ่มงัดซุงให้ลงไปลอยในแม่น้ำวังและไหลไปตามกระแสธาร
เสียงท่อนซุงกระแทกผืนน้ำสลับกับเสียงช้างร้องต่อเนื่องไปไม่หยุดหย่อน ไม่นาน…แม่น้ำวังที่เป็นสายโลหิตของเมืองละกอนก็เต็มไปด้วยท่อนซุงจากบริษัททำไม้ไหลตามกันไป
ช่วงนี้เป็นช่วงอันตรายของชาวบ้านที่อยู่ริมฝั่งหรือทำกิจกรรมใกล้น้ำ เพราะหากเคราะห์ร้ายสายน้ำพัดซุงท่อนใหญ่กระแทกร่างก็ทำให้บาดเจ็บหรืออาจถึงตายได้
แต่เคราะห์ร้ายในปีนี้เป็นของเหล่าบริษัททำไม้
สะพานข้ามแม่น้ำวังกว้างใหญ่เพิ่งสร้างไม่ถึงสามปี อำนวยความสะดวกในการสัญจรแก่คนที่นี่พังทลายลง เพราะซุงท่อนใหญ่พุ่งกระแทกเสาสะพานจนล้มครืน ไม่อาจระบุได้แจ้งชัดว่าซุงต้นเหตุนั้นเป็นของบริษัทใด แม้ว่าไม้แต่ละท่อนจะมีตราบริษัทตีประทับไว้เห็นชัดเจน แต่ตอนเกิดเหตุนั้น ในแม่น้ำวังก็เต็มไปด้วยซุงไม้สักของทุกบริษัทลอยปะปนกันอยู่
ชาวบ้านร้องเรียนให้รับผิดชอบ ทุกบริษัทจึงสมานฉันท์เป็นการชั่วคราวเพื่อแสดงศักดิ์ศรีแห่งชาวอังกฤษผู้มีเกียรติร่วมรับผิดชอบความเสียหายในครั้งนี้
ชีวิตในแคมป์กลางป่าปีนี้จบลงแล้ว
ต่อจากนี้คือชีวิตกลางกระแสธาร
ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติย่อมหาความแน่นอนไม่ได้ ช่วงน้ำหลากนี้เป็นเวลาทองที่เหล่านายห้างจะขนซุงลงแม่น้ำให้ได้มากที่สุด ถ้าโชคดีก็เรียบร้อยไปตามแผน แต่ถ้าโชคร้ายก็ต้องเตรียมรับมือแก้ไขปัญหาที่จะตามมา
ระหว่างที่มิสเตอร์อีแวนเดอร์คุมการชักซุงลงแม่น้ำวัง วิลเลียมและนายห้างคนอื่น ๆ ที่ดูแลพื้นที่ป่าแต่ละแห่งก็เร่งขนซุงออกจากป่าให้ทันเวลา วิลเลียมคุมเกวียนเทียมควายขบวนสุดท้ายออกจากแคมป์มาพร้อมกับลีรอย เมือง และคนงานอื่น ๆ
อาการเจ็บป่วยของลีรอยจากที่ถูกเสือขย้ำหายเป็นปกติดีแล้ว แต่เขาก็ไม่แข็งแรงเหมือนก่อนหน้านี้ เมื่อต้องวางกำลังคนเพื่อล่องแพไปตามลำน้ำกับท่อนซุง ไปคอยยังจุดเสี่ยงที่มักจะเกิดปัญหา จนถึงสถานีผูกแพที่ปากน้ำโพ ลีรอยก็บอกตรง ๆ
“เห็นทีร่างกายฉันจะไม่ไหว กลัวว่าจะไปเป็นภาระให้พวกนายมากกว่า”
เบ็ตตี้อยู่ด้วยในตอนนั้น หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าลีรอยแกล้งดักคอหล่อน เพราะเบ็ตตี้ก็กำลังหาจังหวะเหมาะเพื่อจะบอกว่าหล่อนขอติดตามไปด้วย
“อยู่ช่วยแพทริกทำบัญชีที่ออฟฟิศก็ดีนะ” มิสเตอร์อีแวนเดอร์เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันดังเป็นปกติ หันไปถามหนุ่มร่างท้วมที่ถูกพาดพิงถึง “ว่าไง แพทริก ต้องการลูกมือหรือเปล่า”
ฝ่ายบัญชีร่างท้วมรีบตอบรับข้อเสนอ
“ถ้าได้อย่างนั้นก็วิเศษเลย” เขาถือโอกาสเหน็บไปยังนายห้างบางคน “บางป่าก็ทำบัญชีไม้ไม่เรียบร้อย เหมือนจงใจจะแกล้งเพิ่มภาระให้ผม ทั้งที่บัญชีเก่า ๆ ที่หลุยส์ทำยุ่งไว้ผมก็ยังสางไม่หมด”
นายห้างบางคนที่ถูกเหน็บทำลอยหน้าไม่รับรู้ ถือว่าแพทริกไม่ได้ระบุนามชัดเจน จะยอมรับทำไมให้โง่
“ฉันขอไปกับเธอนะ วิลเลียม” เบ็ตตี้เอ่ยออกมาในที่สุด
แม่น้ำวังยามนี้เต็มไปด้วยซุงหลายพันท่อนเบียดเรียงชิดจนมองไม่เห็นผิวน้ำ ไหลตามกันไปช้า ๆ สู่สถานีผูกแพ ช่วงนี้ไม่ถือว่าอันตราย ออกจะกลายเป็นความสนุกสนานของเด็ก ๆ และทำให้ชาวบ้านหยุดพูดถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่พังไปได้พักหนึ่ง เพราะสามารถเดินบนท่อนซุงข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งได้ เด็กที่ซนหน่อยก็ชวนกันมาเล่นกระโดดข้ามท่อนซุงไปมา หัวเราะเฮฮากันสนุกสนาน
ขบวนผู้คุมอยู่บนแพไม้ไผ่ ล่องไปกับลำน้ำเช่นเดียวกับท่อนซุง
แม้จะไม่สะดวกสบายสำหรับเบ็ตตี้ แต่หญิงสาวก็คิดว่าดีกว่าอยู่แต่ในบ้านหมอสจ๊วตที่แขกประจำคือมุ่ย…กล้วยไม้ป่าที่หล่อนไม่ชอบหน้า และนางหนูผู้ท้องแก่ ภรรยาของมิสเตอร์อีแวนเดอร์
การเดินทางในครั้งนี้เป็นการใช้ชีวิตกลางน้ำอย่างแท้จริง
ก่อนวันเดินทาง มิสเตอร์อีแวนเดอร์คุมคนงานให้ผูกแพไม้ไผ่กว้างขนาดที่มีประทุนซึ่งเบ็ตตี้เรียกว่า บ้านหลังเล็ก ๆ ไว้ตรงกลาง และยังมีพื้นที่โดยรอบสำหรับคนตัวใหญ่ ๆ สองคนเดินสวนกันได้
วิลเลียมสนุกกับการใช้ชีวิตบน ‘บ้านลอยน้ำ’ อย่างนี้ เพราะแพแต่ละลูกจะมีประทุนซึ่งพื้นที่นั้นเป็นทั้งห้องทำงานและห้องนอน ด้านหลังแพเป็น ‘ครัวไฟ’ สำหรับใช้หุงหาอาหาร ในขณะที่ด้านหน้าตั้งโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งเพื่อใช้งานสารพัดประโยชน์ ทั้งนั่งกินข้าว หรือนั่งหย่อนใจชมทิวทัศน์ริมสองฟากฝั่งพร้อมจิบเหล้าแกล้มซิการ์หรือบุหรี่ยาเส้นกลิ่นฉุนที่วิลเลียมเริ่มคุ้นเคย
ในยามทำงาน มิสเตอร์อีแวนเดอร์และโทมัสจะมาชุมนุมที่แพของวิลเลียม ส่วนเบ็ตตี้จะมาสมทบเมื่อถึงเวลาอาหาร ครั้นเป็นเวลาหย่อนใจที่ประเด็นสนทนามิใช่เรื่องการเมืองหรือการทำไม้ นายห้างคนอื่น ๆ ก็จะปลีกตัวไปทำอย่างอื่นเพื่อให้วิลเลียมและเบ็ตตี้ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ทุกคนเห็นใจเบ็ตตี้ที่หล่อนมีสถานภาพอยู่ที่นี่อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่ก็ห่างไกลจากการเอาใจช่วยให้สมหวัง เพราะเห็นอยู่ชัดแก่ตาว่าความรู้สึกของวิลเลียมเอนไปทางฟ้ามุ่ย…กล้วยไม้ป่าแห่งเวียงละกอนไปเสียแล้ว
หลายคนเคยปรารภกับเบ็ตตี้ทางอ้อมเป็นเชิงเสนอให้หล่อนกลับอังกฤษพร้อมกับนายห้างที่ทำงานมาหลายปี ได้สิทธิ์ลากลับบ้านพอดี แต่ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ เพราะเบ็ตตี้ยืนกรานที่จะใช้ชีวิตกับวิลเลียมที่นี่ในฐานะภรรยาของเขา
มิสเตอร์อีแวนเดอร์คุยกับวิลเลียมตามลำพังในวันหนึ่งเพื่อเตือนให้เขาจัดการเรื่องนี้เสียที
แม้วิลเลียมมิได้สารภาพตามตรงว่าเขารักมุ่ย แต่ชายหนุ่มก็ไม่เด็ดขาดที่จะพูดให้จะแจ้งว่าเขาหมดรักเบ็ตตี้แล้ว ความรู้สึกเห็นใจในชะตาของเบ็ตตี้เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ไม่น้อย เขายอมรับว่าสาเหตุของปัญหานี้ก็คือความไม่ชัดเจนของเขา
นึกถึงคราวที่เขายังวิ่งหาหล่อนเพื่อจะได้เห็นหน้า สนทนาด้วยไม่กี่คำในสวนสาธารณะที่แวดล้อมไปด้วยเถากุหลาบและดอกแดฟโฟดิล เดินช้า ๆ ไปส่งหล่อนที่บ้านก่อนที่เขาจะกลับไปซ้อมคริกเก็ต
แต่เขาก็รักชีวิตที่สถานีป่าไม้และแคมป์กลางป่าเสียแล้ว
ด้วยสัญญาจ้าง เขาไม่อาจกลับอังกฤษได้ในสามปีนี้
ด้วยความรู้สึกในใจ เขายังไม่มีความคิดว่าจากที่นี่ไปไหน
เมื่อเบ็ตตื้ยืนกรานว่าจะไม่กลับไปอังกฤษถ้าเขาไม่ไปด้วย หล่อนก็ควรปรับตัวให้อยู่กับสภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของคนที่นี่ และการใช้ชีวิตของเขาในฐานะผู้จัดการป่าไม้ให้ได้อย่างแท้จริงเสียที
ในวันถัดมาเขาจึงบอกกับเบ็ตตี้ว่าเขายินดีให้หล่อนติดตามไปด้วย
หากกระนั้น ขณะที่เบ็ตตี้ยิ้มกว้าง จับมือเขาแสดงความปรีดาที่ครั้งนี้เขาไม่ปฏิเสธหล่อน วิลเลียมก็อดแอบชำเลืองไปที่มุ่ยไม่ได้
ท่าทีของมุ่ยเรียบเฉยไม่บอกชัดว่าดีหรือร้าย
หากนั่นคือภาพที่กวนจิตใจวิลเลียมตั้งแต่ออกเดินทางมาจนบัดนี้
เขามิอาจล่วงรู้ความรู้สึกของเอื้องป่าช่องามได้เลย ว่ามุ่ยคิดอย่างไรที่เขายอมให้เบ็ตตี้เดินทางไปกับเขาในคราวนี้ แทนที่จะเป็น ‘ครูสอนภาษา’ ที่เขาเรียกร้องให้อยู่ข้างกายเสมอมา
สองฟากฝั่งยามนี้เป็นผาสูงที่คนถิ่นนี้เรียกว่า ออบ แพลำยาวล่องตามกระแสธารผ่านไประหว่างช่องผาแคบ เบ็ตตี้รินชาร้อนลงถ้วยกระเบื้องเนื้อละเอียด บรรจงละเลียดคุกกี้ที่หล่อนทำใส่ขวดโหลไว้ให้กินได้หลายวัน แสงตะวันยามนี้ไม่แผดกล้า แต่ก็อดจะกางร่มลูกไม้ด้วยความเคยชินไม่ได้
“ที่จีนและเวียดนามก็มีทิวทัศน์คล้ายอย่างนี้” เบ็ตตี้ว่าอย่างอ่อนหวาน “ฉันเห็นภาพในหนังสือของหมอสจ๊วต”
“ทิวทัศน์ตรงนี้สวยก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่ามันเป็นทั้งหมดของที่นี่ ยังมีความลำบากและอันตรายซ่อนอยู่อีกมาก” วิลเลียมตอบหล่อน
เบ็ตตี้ยกถ้วยชาขึ้นจิบ แพล่องผ่านช่องผามาแล้ว ริมฝั่งน้ำช่วงนี้คงเป็นหมู่บ้านเพราะมีกระท่อมตั้งอยู่เป็นระยะ เด็ก ๆ หลายคนวิ่งออกมาดูแพซุงและชี้ชวนกันดูพวกล่องแพ เด็กหญิงคนหนึ่งกระเตงเด็กตัวเล็กไว้ที่สีข้าง ผูกคล้องไว้ด้วยผ้าขาวม้า ถือร่มบังแดด ครั้นเห็นท่าทางของเบ็ตตี้ เด็กหญิงบ้านป่าก็ทำท่าวางสง่า…มิได้จงใจล้อเลียน แต่เพื่อนฝูงที่มาชุมนุมอยู่ริมฝั่งด้วยกันก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจ
เบ็ตตี้พลอยสนุกไปด้วย หล่อนยกมือโบกไปยังริมฝั่งอย่างชดช้อย เด็กหญิงผู้นั้นก็โบกกลับด้วยกิริยาละม้ายกัน
“ฉันคิดว่า ฉันคงปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้ไม่ยาก”
“ที่นี่…หมายถึงทั้งอากาศ ภูมิประเทศ ภาษา วัฒนธรรม และอีกหลายอย่างที่เป็นคนละแบบกับที่เราเติบโตมา” วิลเลียมว่า “รวมถึงอันตรายต่าง ๆ ด้วย”
“ถ้ามิสซิสสจ๊วตอยู่มาได้ตั้งหลายปี ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ล่ะ” ระหว่างการเดินทางนี้เบ็ตตี้ฟังเรื่องเล่าอันตรายหลายอย่างในป่าที่ผู้จัดการปางไม้แต่ละคนพบเจออย่างเห็นเป็นเรื่องผจญภัย ความน่ากลัวหวาดเสียวอย่างคนฟังไม่โหดร้ายเท่าผู้อยู่ในเหตุการณ์จริง และหากหล่อนอยู่กับวิลเลียมต่อไปที่เวียงละกอน หล่อนก็คงไม่ติดตามเขาเข้าป่าไปทุกครั้งแน่ “อันที่จริงฉันก็ไม่ได้รังเกียจมุ่ยหรอกนะ แต่ฉันอิจฉาที่เด็กคนนั้นได้ใช้ชีวิตอย่างเสรี มีพ่อและพี่ชายให้ท้าย แม้จะทำสิ่งที่ผิดไปจากทำนองคลองธรรมที่ควรเป็น เมื่อย้อนนึกถึงตัวเองบ้าง ฉันแตกต่างตรงข้ามกับเด็กคนนั้นทุกอย่าง ไม่มีพ่อ ไม่มีเพื่อน เหมือนตัวคนเดียวลอยคว้างอยู่กลางทะเล”
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่อาจกลับอังกฤษได้ในสามปีนี้” วิลเลียมเอ่ยเสียงเรียบ ท่าทางอย่างคนตัวคนเดียวของเบ็ตตี้ทำให้เขาอดเห็นใจหล่อนมิได้
“ฉันไม่ได้พูดเพื่อจะบอกให้เธอลาออกจากงานแล้วพาฉันกลับอังกฤษหรอกนะ แต่ฉันจะเริ่มต้นใหม่ ฉันคิดว่าฉันเริ่มเข้ากับสังคมที่นี่ได้บ้างแล้ว สำหรับมุ่ย…เมื่อมิอาจเลี่ยงกัน ฉันก็คิดว่าฉันจะรักมุ่ยได้ในฐานะน้องสาวทโมน ๆ คนหนึ่ง” น้ำเสียงของเบ็ตตี้สนุกสนาน
แสงสนธยาและเงาไม้ที่ทอดลงมาซ่อนสีหน้าและอารมณ์ของวิลเลียมมิให้หล่อนเห็น
“เธอรู้ไหม ตอนที่มุ่ยพักรักษาตัวอยู่ บางวันไข้ขึ้น ฉันก็เช็ดตัวให้ไข้ลด ตอนนั้นละที่ฉันคิดว่าการมีน้องสาวสักคนมันก็ไม่เลวนัก”
“แปลว่าเธอจะยังอยู่ที่เวียงละกอนต่อไป”
“ใช่…ตอนนี้ในฐานะหลานสาวหมอสจ๊วต และต่อไปในฐานะภรรยาของเธอ”
แยกย้ายไปนอนในแพกันแล้วหลังมื้อค่ำ เบ็ตตี้ก็ยิ้มกระหยิ่มใจเมื่อนึกถึงสีหน้าของวิลเลียมยามที่หล่อนเอ่ยถึงการแต่งงาน สีหน้าเขาคลางแคลงใจอยู่บ้าง แต่ก็ห่างไกลจากการปฏิเสธอย่างแข็งขัน มันแสดงให้เห็นว่าหล่อนยังมีโอกาสที่จะทำให้วิลเลียมหันมามองหล่อนคนเดียวเหมือนเช่นเคยมา
ขณะกำลังจะเคลิ้มหลับปล่อยอารมณ์ให้ล่องเลยไปตามสายธารา พลันเบ็ตตี้ก็สะดุ้งผวา รู้สึกว่ามีคนกระโดดลงมาที่แพหลายคน จากนั้นเสียงเอะอะก็ดังขึ้น หญิงสาวลุกแหวกม่านประทุนออกไปดู ก็เป็นจังหวะเดียวกับม่านถูกกระชากเปิดออก หน้าดำถมึงทึงเป็นมันเลื่อมตาเบิกกว้างแสยะยิ้มอย่างพึงใจเมื่อเห็นว่ามีสตรีผิวขาวอยู่ในแพนี้
เบ็ตตี้ร้องกรี๊ดออกมาสุดเสียง
สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
หญิงสาวหวั่นหวาดในใจมาตั้งแต่เริ่มเดิมทาง หล่อนไม่ไว้ใจลูกถ่อและคนงาน การเดินทางด้วยแพมิใช่ปล่อยให้แพไหลไปตามกระแสน้ำ แต่ต้องมีลูกถ่อคอยบังคับทิศทางมิให้แพพุ่งชนตลิ่งเมื่อถึงทางโค้ง และเลี่ยงหลบแก่งหินกลางแม่น้ำ ลูกถ่อพวกนี้มีผ้าเก่า ๆ พันกายไว้เพียงผืนเดียว การทำงานที่อยู่ระหว่างเปียกสลับแห้งทำให้ผ้าเปื่อยเร็วและขาดวิ่น บางครั้งลูกถ่อพวกนี้ก็ไม่ไยดีกับผ้าพันกาย ทำงานและพักผ่อนทั้งที่เปลือย
เบ็ตตี้กลัวว่าสักวันหนึ่ง พวกนี้อาจหน้ามืดแล้วจู่เข้ามาถึงตัว หล่อนจึงใช้เวลาอยู่ใกล้กับวิลเลียมหรือนายห้างคนอื่น ๆ ให้มากที่สุด และหลับตาลงยามนอนอย่างหวาดผวา ตื่นมาในตอนเช้าด้วยความโล่งใจว่ายังปลอดภัยดี
แต่คืนนี้เสียงเอะอะที่ดังสับสน มีคนร้องว่า ‘โจร’ ทำให้เบ็ตตี้หมดทางจะหนีพ้น หล่อนกรีดร้องสุดเสียงก่อนสลบไปในนาทีต่อมา
ยามเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง เบ็ตตี้สัมผัสได้ถึงความเย็นจากน้ำค้างยามค่ำคืน อากาศโล่งโปร่งสบาย ยกมือสำรวจร่างกายก็พบว่ายังปลอดภัยดี ดวงหน้าที่กระทบสายตาคือชายหนุ่มที่หล่อนรัก เบ็ตตี้โผกอดวิลเลียมน้ำตาร่วง สั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความกลัวสุดขีด
วิลเลียมกอดหล่อนไว้ในอ้อมแขนลูบเบา ๆ เพื่อปลอบโยน
“เธอปลอดภัยดี อย่ากลัวไปเลยนะ”
เบ็ตตี้ได้ยินเสียงใครบางคนคุยกันไกล ๆ จับใจความได้ว่าโจรป่าซุ่มอยู่ริมฝั่ง หวังจะปล้นข้าวของจากแพล่องซุง เคราะห์ดีที่ไม่มีข้าวของถูกขโมยไป แต่เคราะห์ร้ายที่ลูกถ่อเสียชีวิตไปสองคน
“ฉันไม่อยากตายกลางป่ากลางน้ำอย่างนี้” เบ็ตตี้ร้องเสียงสั่น เกลือกหน้าลงไปกับอกของวิลเลียม เขาก็กระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น
“เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องเธอเอง”
เบ็ตตี้หลับไปอีกครั้ง และตื่นมาพบว่าหล่อนยังอยู่ในอ้อมกอดของวิลเลียม
คงจะดีถ้าต่อจากนี้หล่อนจะหลับและตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของเขาทุกวัน
เชิงอรรถ :
(1) การตีความหมายจากไพ่สำหรับการทำนายโชคชะตา Jack เป็นตัวแทนของชายหนุ่ม King เป็นตัวแทนของชายสูงวัย Queen เป็นตัวแทนของหญิงสาว แต่คนไทยมักเรียกว่า ‘แหม่ม’ แทนที่จะเป็นราชินี และ Heart หรือหัวใจ แทนความรัก
(2) อายพิศ คือ อายพิษ หรือไอพิษ สะกดตามการบันทึกจากเอกสารเก่าที่ใช้อ้างอิง หมอบรัดเลย์กับกรุงสยาม
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "ค่ายเชลย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "ผู้ลี้ภัย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "เอเชียบูรพา"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา "๒๔๗๕ นายห้างรุ่นใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๒ ชีวิตบทใหม่ "ภารกิจ ๓๕๙ วัน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๒ ชีวิตบทใหม่ "ผ่าจ้าน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๒ ชีวิตบทใหม่ "สงกรานต์เชียงใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "พบและพราก"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "นายห้างคนใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย " ไม้แปลกป่า"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "ต้นตระกูล"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย "คนแปลกหน้า"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "การตัดสินใจครั้งสุดท้าย?"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "ศักดิ์ศรีของใคร?"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "ทอฟฟีแอปเปิ้ล"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑๐ สู่สมรภูมิ "สงครามกับความรัก"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ลูกชายคนโต"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ฝันสลาย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ว่าที่เจ้าสาว"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "ร้อยเล่ห์เพทุบาย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๙ เจ้าสาววิกตอเรียน "หัวใจร้อนรุ่มดังสุมไฟ"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "ตัดหัวเสียบประจาน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "คนทรยศ"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "พะกาเงี้ยว"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "ดวงดาวที่ดับสูญ"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "ประทีปอธิษฐาน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล "วิมานลอย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ลมหายใจสุดท้าย”
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ผู้มาเยือน”
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร "ซุ่มซ่อนในดอนดง"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร "ชีวิตในปางไม้"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "ป่าเหนือเมื่อหน้าดอกไม้บาน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "เสี่ยวช้าง-เสี่ยวคน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "ช้างที่หายไป"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "ข่าวด่วน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๖ ผูกเสี่ยวเกลียวสัมพันธ์ "We go native"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "เดิมพันที่ข่วงโปโล"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "หลุยส์ ที เลียวโนเวนส์"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "ฝรั่งต้นคอแดง"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๕ มิตซ่ากุลาเผือก "เลียบละกอน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน "Blue Vanda คือ ฟ้ามุ่ย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน "ดำเนินไพร-นางในฝัน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๔ เอื้องป่าเวียงละกอน "พบกันวันฝนโปรย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "ความลับของเบ็ตตี้"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "สมาคมเถ้าศักดิ์สิทธิ์"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "ตามรอยพ่อและตา"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "หญิงสาวจากโอริสสา"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๓ สู่อุษาคเนย์ "โลกใบใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "แรงใจและไฟฝัน"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "บ้านใหม่-เพื่อนใหม่"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "ปฐมบทของวิลเลียม บรูค"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๒ : ไฟฝันเมื่อวันเยาว์ "ครอบครัวในอินเดีย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑ : ปัจจุบันของวันวาน "เวียงวนาลัย"
- READ เวียงวนาลัย บทที่ ๑ : ปัจจุบันของวันวาน "แกรนด์ปา"