เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย “นายห้างคนใหม่”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย “นายห้างคนใหม่”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ราวชั่วโมงต่อมา นายห้างวิลเลียมก็กลับบ้านพร้อมซินแสที่ส่งเสียงล้งเล้งดังนำมาก่อน ครั้นทั้งคู่ขึ้นมาบนเรือนยิ่งเห็นชัดว่าวิลเลียมแทบจะ ‘ฉุดกระชากลากถู’ หมอผู้นั้นมาดูอาการลูกสาว เครื่องแต่งกายหมอยังเป็นชุดนอน หน้าตายู่ยี่ ผมชี้ไปคนละทิศทาง

“หมอบริกส์ไม่อยู่ ฉันเลยไปขอหมอจีนมาช่วยดูลูก”

“ซี้ซั้ว…นายห้าง…อีไม่ได้ขอแต่ตบประตูบ้านอั๊วจนจะพัง อั๊วคิดว่าหมามันกัดกัน จะลงมาไล่ อีก็ลากตัวอั๊วมานี่”

“อย่าพูดมากน่า รีบไปดูลูกฉันเร็ว ๆ”

หมอจีนวัยสี่สิบปลายตรวจดูอาการคนไข้ตัวน้อย งึมงำภาษาจีนที่ต่อให้ได้ยินทั่วกันก็ไม่เข้าใจว่าหมายความอย่างไรบ้าง จนกระทั่งละจากคนไข้แล้วจึงอธิบายอาการว่า

“อาหมวยเล็กอีน่าจะเจี๊ยะม้วยอ่า”

วิลเลียมโมโหขึ้นมาทันที คำที่ได้ยินและแปลความหมายได้ทันทีคือ ม้วย ซึ่งแปลว่าตาย จึงชี้หน้าซินแสตั้งข้อกล่าวหา

“กล้าดียังไงมาแช่งให้ลูกฉันตาย”

“ซี้…ตาย…อั๊วไม่ได้บอกว่าอีจะตาย อีเจี๊ยะม้วย” ฝ่ายหมอไม่ยอมแพ้เช่นกัน “นี่ดีแล้วนะ ถ้าอีเจี๊ยะเต่านะ ฉิบหายตายห่าอาการหนักกว่านี้อีก อามุ่ยให้กินยาเขียวนี่ดีแล้ว กินเข้าไปอีกเยอะ ๆ”

ซินแสผู้นั้นบอกวิธีดูแลผู้ป่วยกับคนเป็นแม่และคนอื่น ๆ ที่แสดงความสนใจให้แกเป็นคนสำคัญ ยกเว้นแต่วิลเลียมที่ยืนกอดอกนิ่งดู แม้จะฟังด้วยแต่แววตานิ่งนั้นทำให้ซินแสคิดว่านายห้างไม่เชื่อการวินิจฉัยและไม่ศรัทธาการรักษาของตน เมื่อจะลากลับจึงค้อนใส่วงโต

“อั๊วเดินกลับบ้านเองก็ได้ ไม่ต้องให้ใครไปส่ง”

“ฉันจะไปส่งเอง จะได้มั่นใจว่าหมอกลับบ้าน ไม่แอบหนีไปไหน ถ้าลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันจะได้ตามตัวมาชำระความถูก” วิลเลียมควักเงินส่งให้ “นี่ค่ารักษา”

นายหมอจีนเหยียดปากสะบัดหน้าค้อนอีกครั้ง คราวนี้วงใหญ่กว่าเดิม

“อั๊ว..ม่าย…ลับ…อั๊วจะรับแต่เงินของคนที่เชื่อมั่นในตัวอั๊ว ให้เกียกอั๊ว นายห้างไม่เชื่อถือว่าอั๊วจะรักษาอาหมวยได้ก็ไม่ต้องจ่าย ไว้ตอนนังหนูหายวิ่งเล่นได้เมื่อไหร่ อั๊วจะเรียกค่ารักษาให้นายห้างหน้าซีดเลย คอยลู”

ลีรอยตัดบทด้วยการเสนอตัวไปส่งซินแสที่บ้านเอง ปล่อยให้พ่อแม่ดูแลลูก ๆ กันเอง

ครั้นความกังวลของวิลเลียมเริ่มคลายลงเพราะมาลีนอนสงบไม่ร้องทุรนทุราย รอยเมืองจึงอธิบายให้บิดาฟังว่า

“ซินแสไม่ได้แช่งน้องหรอกครับคุณพ่อ เจี๊ยะม้วย เป็นคำจีนแปลว่ากินข้าวต้ม หมายถึงออกหัด ที่แกว่าเจี๊ยะเต่า ก็ไม่ได้แปลว่ากินเต่า แต่แปลว่ากินถั่วแดง หมายถึงเป็นอีสุกอีใส”

วิลเลียมหลับตานิ่งระบายลมหายใจออกมาช้า ๆ

“ตอนนั้นพ่อโมโหมากไปหน่อย ไม่เคยเห็นน้องเป็นอย่างนี้” นึกขึ้นได้จึงถามลูก ๆ “น้องร้องหาพ่อบ่อย ๆ หรือลูก”

“บ่อยครับ” ม่อนตอบ “ตอนเย็นน้องวิ่งไปเกาะรั้วคอยป้อนายทุกวัน ไม่ยอมกินข้าว จนแม่ต้องถือถ้วยข้าววิ่งตามไปป้อน จนค่ำแน่ใจแล้วว่าคืนนี้ป้อนายคงไม่กลับมา น้องถึงยอมขึ้นบ้าน”

วันต่อมาอาการของมาลีหนักขึ้น ผื่นแดงที่เห็นประปรายเห่อชัดขึ้นจนน่ากลัว มุ่ยบอกกับสามีว่าการกินยาเขียวนี้ช่วยลดไข้ เพราะประกอบมาจากสมุนไพรที่มีรสเย็น แล้วช่วยกระตุ้นให้เม็ดผื่นออกมามาก ๆ จะได้หายเร็วขึ้น

ถึงกระนั้นวิลเลียมก็ยังแปลบใจทุกทีที่เห็นอาการของลูกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งนึกพาลความเฉยเมยของคนรอบข้างที่มีความคิดว่า…เดี๋ยวก็หาย…ใคร ๆ ก็เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วทั้งนั้น…ความพะวักพะวนนี้ทำให้วิลเลียมขี่ม้าไปเรือนหมอบริกส์ทุกวัน แม้แขกยามจะบอกซ้ำ ๆ ทุกครั้งที่พบหน้าว่าอีกสองสัปดาห์หมอบริกส์จึงจะกลับ วิลเลียมก็ไม่ย่อท้อที่จะ ‘แวะเวียน’ ไปดู เผื่อว่าหมอบริกส์เปลี่ยนแผน เดินทางกลับก่อนกำหนด

เส้นทางไปเรือนหมอบริกส์ต้องผ่านร้านขายยาของซินแส ยามผ่านหน้าร้านคราใด ซินแสก็สะบัดค้อนเข้าให้อย่างแสนงอน

ในตอนเย็นซินแสให้เด็กที่ร้านนำห่อเก๊กฮวยมาให้มุ่ยชงน้ำดื่ม น้ำเก๊กฮวยมีฤทธิ์เย็นช่วยให้ร่างกายเย็น เด็กลูกจ้างถ่ายทอดคำพูดเจ้านายมาครบถ้วนว่า

“ต้มกินได้ทุกคน ไม่ป่วยก็กินได้ กินแล้วชื่นใจเย็นกาย แต่ดัดสันดานคนหัวรั้นไม่ได้”

ลีรอยและมุ่ยแอบกลั้นหัวเราะเพราะเด็กลูกจ้างท่องสารมาอย่างพาซื่อ หารู้เรื่องเบื้องหลังอย่างใดไม่ วิลเลียมได้แต่ทำหน้าตึงอยากค้อนกลับไปบ้าง ไม่ได้โมโห…แต่คิดว่าซินแสคนนี้ช่างแสนงอนเสียจริง

มุ่ยแกะห่อเก๊กฮวยก็เจอกระดาษแผ่นเล็กเขียนตัวอักษรจีนอยู่ในนั้น จึงเรียกรอยเมืองมาช่วยอ่าน เพราะลูกชายคนโตคนนี้แตกฉานหลายภาษา

รอยเมืองหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาดูก้มเงยอยู่หลายครั้ง จนคนรอฟังคำตอบต้องกระทุ้ง

“ว่ายังไง เขาเขียนมาว่ายังไง”

“ซินแสเขียนว่า ให้กินได้ทุกคน ยกเว้นนายห้าง”

ทุกคนล้วนขำยกเว้นวิลเลียม นึกอยากเอาชนะซินแสแสนงอนคนนี้ขึ้นมาติดหมัด จึงให้เงินปะเลไปซื้อเก๊กฮวยมาให้หมดร้าน มีเท่าไรเหมามาให้หมด เมื่อไม่ให้กินของที่ฝากมาก็ซื้อกินเองได้

ในเวลาต่อมาเก๊กฮวยหลายเข่งจึงวางเรียงอยู่ที่ชานบ้าน พร้อมกระดาษแผ่นเล็กเขียนข้อความ รอยเมืองเป็นผู้แปลความหมายให้เช่นเคย วิลเลียมฟังแล้วก็แต่ฉุนปนขำในความเจ้าคิดเจ้าแค้นของซินแสรายนี้

ข้อความนั้นเขียนมาว่า

“ถ้านายห้างกินเก๊กฮวยทั้งหมดนี่ นายห้างจะใจเย็นไปจนเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้เลยเชียว”

รอยเมืองไม่ขยายความตอนท้ายว่า การเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ของชาวจีนก็เหมือนกับที่ชาวคริสเตียนไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า หาไม่แล้วสงครามแง่งอนระหว่างป้อนายและซินแสจะยืดเยื้อต่อไปอีก

 

วิลเลียมทอดภาระทุกอย่างของปางไม้ให้ลีรอยเพื่อเฝ้าดูอาการของลูกสาวเพียงอย่างเดียว ฝากดูแลและหอบหิ้วโอลิเวอร์ไปเรียนรู้งานด้วย ช่วงที่วิลเลียมทรมานใจที่สุดคือยามที่ลูกสาวร้องด้วยความเจ็บปวด ตุ่มหัดเห่อขึ้นมากและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ลำพังผู้ใหญ่เป็นไข้ตัวร้อนยังแทบจะทนไม่ไหว นี่เด็กตัวเล็กนิดเดียว หกขวบเท่านั้น จะทนได้อย่างไรไหว

ยามมุ่ยป้อนยาเขียวและยาที่ซินแสเจียดมาให้ วิลเลียมได้แต่มอง เพราะซินแสเหน็บแนมมาว่า อย่าให้พ่อคนป่วยป้อน ยาจะเสื่อมฤทธิ์…วิลเลียมรู้ดีว่าไม่มีอะไรเป็นจริง นอกเสียจากแกขอประชดฝากมาเล็ก ๆ น้อยเท่านั้น

วิลเลียมรับหน้าที่เช็ดตัวให้ลูก เช็ดบ่อยครั้งจนมุ่ยต้องเตือนว่า

“นายห้างเว้นไปเมินหน้อยก็ได้…ทิ้งช่วงนานหน่อยก็ได้…ลูกหล้าเปียกหมดแล้ว ปล่อยให้ลูกได้แห้งพ่อง” คำท้ายจงใจให้อารมณ์ตึงของสามีค่อยคลายลงบ้าง

หากสิ่งที่ทำให้วิลเลียมไม่ยอมละสายตาไปจากลูกสาวคือคราวที่มาลีเพ้อเรียกหาพ่อนาย วิลเลียมจะปราดเข้าไปนอนแนบแก้ม กุมมือลูกสาวบีบเบา ๆ ส่งเสียงละมุนผ่านหูลูกสาวว่า

“ป้อนายปิ๊กมาแล้ว มาลีรีบหายเน่อ ป้อนายจะได้พาไปแอ่ว…ไปเที่ยว”

“น้าแดง…น้าแดงมาหามาลี ป้อนายบ่อยู่แล้ว น้าแดงมาอยู่กับมาลี มาเป็นป้อมาลีเน่อ” เด็กหญิงยังคงเพ้อด้วยพิษไข้ วิลเลียมฟังถ้อยคำของลูกแล้วน้ำตาปริ่มจะหยาดไหลในขณะที่ร่างกายเย็นวาบปวดชา ช่วงเวลาห้าปีที่เขาอยู่ในสมรภูมิรบเพื่อชาติ คนทางนี้คงต้องเผชิญชีวิตอีกแบบหนึ่งที่มีความหวังว่าเขาจะกลับมาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง

แล้วก็ค่อย ๆ จางลงไปสู่ความสิ้นหวังเมื่อวันเวลาผันผ่าน

จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง พวกเขาก็คงคิดว่าไม่มีประโยชน์จะรอคอย สู้ใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้าดีกว่า ในช่วงเวลานี้เองที่ ‘น้าแดง’ ของเด็ก ๆ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวจนลูกสาวของเขาเต็มใจให้ก้าวเข้ามายืนแทนในตำแหน่งของพ่อ หาไม่แล้ว…ในยามที่มาลีเพ้ออย่างไม่มีสติคงไม่ร้องออกมาอย่างนี้

วิลเลียมบีบมือลูกแน่นขึ้น จูบหน้าผากลูกสาวอย่างไม่รังเกียจเม็ดตุ่มที่อักเสบ

“ป้อนายอยู่นี่แล้ว บ่ไปไหนแหมแล้ว”

มาลีกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเจ็บ วิลเลียมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความเจ็บปวดแทบจะขาดใจตายเป็นอย่างไร ตอนเช็ดตัวให้ลูกมุ่ยบอกว่าอาจติดต่อกันได้ วิลเลียมก็บอกภรรยาไปว่าเขาไม่กลัวการติดต่อ ถ้าถ่ายโอนโรคร้ายทั้งหมดที่ลูกเผชิญอยู่ตอนนี้มาที่เขาคนเดียวเขาก็ยินดีรับ

“ขอเพียงแต่ลูกไม่ต้องเจ็บปวดทรมาน ฉันทำได้ทุกอย่าง”

อาการป่วยของมาลีรุนแรงและยาวนานกว่าเด็กคนอื่นที่เคยเป็น ทั้งปัสสาวะและท้องร่วงแทรกเข้ามา วิลเลียมเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ลูกอย่างไม่รังเกียจ จนกระทั่งตุ่มหัดเริ่มแห้ง ทิ้งไว้แต่รอยแดงบนผิวหนัง หมอบริกส์ก็มาเยี่ยมถึงบ้านทันทีที่กลับมาถึงแพร่และได้ทราบข่าวจากแขกยาม

“ปีนี้อากาศร้อนจัด อาการแมรีจึงหนักกว่าเด็กอื่นที่เคยเป็น” หมอบริกส์ว่าพลางพิจารณาเนื้อตัว “แต่ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว นายห้างไม่ต้องกังวลไปหรอก ที่ให้กินยาเขียวกับเช็ดตัวบ่อย ๆ น่ะ ทำถูกแล้ว”

หมอบริกส์หันมาทางแม่หนูน้อยที่ยามนี้ตัวลายพร้อยเพราะรอยหัด

“แมรีคนเก่ง กินยาไปกี่ชามแล้วจ้ะ”

มาลีไม่กลัวหมอบริกส์แต่ก็ไม่เจรจา เพราะหมอบริกส์ชอบจับเด็กมาจิ้มด้วยเข็มยาว ๆ เด็กน้อยจึงกอดเอวพ่อแน่นเป็นที่กำบังมิให้หมอบริกส์จู่เข้ามาเอาเข็มแทง

“มาลีมาอาบน้ำ” มุ่ยร้องบอก มาลีจึงผละจากพ่อไปเกาะแม่แทน วันนี้ไม่งอแงที่จะต้องอาบน้ำกับแม่…เพราะน้ำของแม่เหม็น ตั้งแต่หายไข้แม่ต้มน้ำเหงือกปลาหมอให้อาบทุกวัน มาลีไม่ชอบ…แต่วันนี้ยอมตามไปโดยดี เพราะจะหนีหมอบริกส์ ยิ่งตอนแม่เชิญหมอกินข้าวเย็นด้วยแล้วหมอปฏิเสธ มาลีก็ยิ่งดีใจ

“ไอ้โรคภัยไข้เจ็บนี่มันเป็นกันได้ทุกคนนะนายห้าง” หมอบริกส์ว่า “เชื้อโรคมันแพร่ไปได้ทุกที่ ตราบที่โลกนี้ยังมีลม น้ำ อากาศ มันก็ไปได้ทั้งนั้น ชั่วแต่ว่าแต่ละที่จะเรียกมันว่าอย่างไรเท่านั้น คนแต่ละแห่งก็มีภูมิปัญญาในการรักษาแตกต่างกัน เราอาจคุ้นเคยกับวิถีของเราจนคิดว่าสิ่งที่เราทำหรือเชื่อถือมาตลอดคือสิ่งที่ดีที่สุด ครั้นเห็นคนอื่นทำแผกไป ก็กลายเป็นว่าเขาด้อยกว่าเรา แขกยามเล่าว่านายห้างมาตามฉันด้วยความโมโหทุกครั้ง เพราะนายห้างไม่เชื่อวิธีการรักษาของซินแสใช่ไหม”

วิลเลียมพยักหน้ายอมรับไม่แก้ตัว ยามนี้เขานึกอยากขอโทษซินแสที่เคยปรามาสวิชาความรู้ของฝ่ายนั้น บ่ายวันถัดมาวิลเลียมถึงไปหาที่ร้าน ยื่นซองเงินค่ารักษาลูกสาวให้แก่ซินแส ฝ่ายนั้นหยิบมาเปิดดูแล้วเลื่อนคืน

“อั๊วไม่รับ”

“น้อยเกินไปหรือ ตอนนี้ลูกสาวฉันหายดีแล้ว ซินแสเคยบอกว่าถ้าลูกฉันหาย จะเรียกค่ารักษาให้อานเลย ซินแสต้องการเท่าไรล่ะ”

“อั๊วไม่เอาเงินของลื้อ นายห้างฝรั่งอั้งม้อ” ว่าพลางสะบัดค้อนมองไปทางอื่น

วิลเลียมมองนิ่งแล้วถอดหมวกมาประทับไว้ที่อก

“ฉันขอโทษซินแสจากใจจริง ตอนนั้นฉันโมโหเพราะไม่เคยเห็นลูกสาวเป็นอย่างนี้มาก่อน ซินแสรักษาคนมาก็มาก คงรู้ว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ยามเห็นลูกป่วยหัวใจสลายแค่ไหน กังวลอยู่แต่ว่าลูกจะหายหรือเป็นอะไรมากกว่านั้น วันนั้นฉันก็เป็นอย่างนั้น ฉันจึงเผลอดูถูกออกไป”

“ลื้อไม่ได้ดูถูกอั๊ว อานายห้าง แต่ลื้อดูถูกวิชาความรู้ของอั๊ว”

“ฉันเสียใจ และตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าวิชาความรู้ของซินแสก็ช่วยชีวิตลูกสาวฉันได้ ฉันจึงมาจ่ายค่ารักษาด้วยตัวเอง” วิลเลียมเลื่อนซองเงินให้อีกครั้งก็ถูกเลื่อนกลับมาเช่นเดิม

“อั๊วได้ค่ารักษาแล้ว นายห้างเก็บเงินนี่ไปเถอะ”

“ซินแสยังไม่ได้เก็บค่ารักษาไป”

“อั๊วได้แล้ว การที่ลื้อยอมรับและให้เกียกวิชาความรู้ของอั๊ว อั๊วถือว่าลื้อจ่ายค่ารักษาที่แพงที่สุดเท่าที่อั๊วเคยเรียกมาจากคนไข้ทั้งหมดที่เคยรักษามา”

“ขอบใจมาก ซินแส” วิลเลียมประทับหมวกกับอกโค้งต่ำลงอีกครั้ง หมุนตัวจะออกไปจากร้าน ซินแสก็ท้วงไว้ก่อน ยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งส่งให้

“หล่อฮังก้วย” ซินแสยิ้มแย้ม “นายห้างกินแต่เก๊กฮวยทุกวัน เบื่อฉิกหายเลย สงสารเด็ก ๆ มัน เอานี่ไปเปลี่ยนบ้าง หล่อฮังก้วยนี่ดีนา นายห้างกิงบ่อย ๆ ร่างกายแข็งแรง”

วิลเลียมรับถุงกระดาษมาถือไว้ ยิ้มน้อย ๆ ตอบกลับไป

“ฉันจะได้ไม่ต้องรีบไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ใช่ไหม” วิลเลียมนึกขำสีหน้าของซินแสที่แปรไป แกคงไม่คิดว่าจะมีคนอ่านข้อความในกระดาษแผ่นน้อยที่อุตส่าห์เขียนเหน็บแนมเป็นภาษาจีนออก “ซินแสน่าจะบันทึกในตำราของซินแสนะ ว่าเก๊กฮวยนี่ ดื่มมาก ๆ ก็ดัดสันดานคนได้ อย่างน้อยก็ฉันคนนึงละ”

ซินแสหัวเราะเก้อ ๆ ขึ้นมา แกล้งทำล้งเล้งเพื่อกลบความเขินอาย

 

การป่วยของมาลีเป็นผลดีกับโอลิเวอร์ตรงที่วิลเลียมใช้เวลาส่วนใหญ่ในการดูแลลูกสาว แม้หายจากไข้แล้วยังมีภารกิจต้องเอาใจใส่สานสัมพันธ์พ่อลูกให้ดีขึ้น งานสัมปทานป่าไม้ที่วิลเลียมต้องดูแลจึงตกมาถึงโอลิเวอร์เร็วขึ้น

นายห้างวิลเลียมพาโอลิเวอร์ติดสอยห้อยตามไปเป็นผู้ช่วยโดยให้ค่าตอบแทนรายวัน ยังไม่จ้างประจำเพราะอยากให้แน่ใจเสียก่อนว่าโอลิเวอร์มุ่งมั่นตั้งใจที่จะอยู่กับงานในสถานีป่าไม้จริง ๆ มิใช่แค่สนุกประเดี๋ยวประด๋าวก็กระโจนเข้าใส่ ครั้นหมดสนุกก็หันหลังผละไปไม่ไยดีอีก

โอลิเวอร์ไม่มีปัญหาเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะต้องสะสมทรัพย์สินไปทำไม ในเมื่อค่าที่พักก็ไม่ต้องจ่าย อาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กกับนายห้างลีรอย ถัดไปคือเรือนพักคนงานที่ปะเลเป็นคนคุม เรื่องอาหารยิ่งแล้วใหญ่ โอลิเวอร์ฝากท้องไว้กับแม่นายมุ่ยและคนงาน ยิ่งยามใดเข้าป่าล่าสัตว์มาได้ เขาก็ได้รับการเจือจานมาทุกครั้ง

ค่าตอบแทนการทำงานจึงหมดไปกับค่าขนมของน้อง ๆ ลูกวิลเลียม โดยเฉพาะมาลีที่เป็นเด็กหญิงตัวนิดเดียวแต่กินจุ และดูจะชอบกินขนมที่ ‘พี่โอ’ ซื้อมาให้ อีกส่วนหนึ่งจ่ายไปเป็นค่าเหล้า บุหรี่ และเมี่ยง ที่เอามาแจกคนงาน สิ่งที่โอลิเวอร์ได้รับคืนกลับมาคือความสนิทสนม

ช่วง ‘ทดลองงาน’ ของโอลิเวอร์ดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ก่อความทุกข์ร้อนแก่ใคร วิลเลียมมอบหมายงานง่าย ๆ ในตอนแรกเช่นนับจำนวนไม้ แล้วค่อยยากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการแยกไม้ที่ไหลมาปะปนกันที่สถานีปากน้ำโพ ไปจนถึงควบคุมการลากไม้ออกจากป่าไปเรียงไว้ริมฝั่งรอฤดูน้ำหลาก

งานล่าสุดคือการจ่ายค่าจ้างคนงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นขมุ

เรื่องเงินทองนี้ไม่ว่ากับใครหรือยุคสมัยใด เป็นเครื่องวัดความสุจริตใจได้เสมอ มูลค่าของเงินคมกริบยิ่งกว่าใบมีดโกนที่สามารถเฉือนความรู้สึกและตัดความสัมพันธ์อันดีของผู้ที่รักกันมายาวนานให้ขาดสะบั้นลงได้

โอลิเวอร์หอบกำปั่นใหญ่บรรจุเหรียญเงินใหม่เอี่ยมมาตั้งโต๊ะเพื่อจ่ายค่าจ้างกุลี เรื่องนี้ช่างง่ายดาย คงลุล่วงไปไม่ยากนัก แต่การณ์กลับไม่เป็นดังคาดเมื่อกุลีคนหนึ่งเห็นความผิดปกติบนเหรียญ

“บ่เอา!” เสียงนั้นฉุนเฉียว “เฮาบ่เอาเหรียญเก๊”

เมื่อคนหนึ่งร้องขึ้นมา ผู้ที่รับค่าจ้างไปก่อนหน้าก็พิจารณาเงินรูปีที่ได้รับแล้วก็โกรธหน้าแดง เอาเงินมากองคืนให้นายห้างโอลิเวอร์ ประสานเสียงประท้วงกันว่า

“เฮาบ่เอาเหรียญเก๊”

โอลิเวอร์หน้ายุ่งเกาหัวแกรก หยิบเหรียญรูปพระเจ้าจอร์จมาพลิกดูหน้าหลังแล้วลองกัดดู…ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ากัดแล้วต้องได้สัมผัสอย่างไรจึงบอกได้ว่าจริงหรือปลอม แต่เห็นพวกพ่อค้าชอบทำกันนักเพื่อพิสูจน์เลยลองทำบ้าง…เสียงคนงานยังดังมา ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่จ่ายค่าจ้างก็ไม่ทำงานต่อ จะขอไปรับจ้างที่ปางอื่น

โอลิเวอร์นำภารกิจที่ล้มเหลวมาแจ้งแก่วิลเลียม สงสัยว่าเพราะเหตุใดคนงานจึงคิดเช่นนั้น วิลเลียมมั่นใจว่าไม่มีเหรียญปลอมปนอยู่ในกองเงินเหล่านี้แน่ วิลเลียมจึงให้โอลิเวอร์แยกเหรียญออกเป็นกลุ่มก็พบว่าแบ่งได้เป็น ๓ กอง

กองแรกเป็นเหรียญเก่า มีจำนวนน้อยที่สุด หน้าเหรียญเป็นรูปสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย

กองที่สองมีทั้งเก่าและใหม่คละกัน จำนวนมากกว่ากองแรก เป็นรูปพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ ซึ่งครองราชย์ต่อจากพระนางเจ้าวิกตอเรีย เก้าปีให้หลังอังกฤษก็มีกษัตริย์พระองค์ใหม่

เหรียญกองที่สามซึ่งเป็นรูปพระเจ้าจอร์จที่ ๕ มีจำนวนมากที่สุดและใหม่เอี่ยม

ปะเลถูกตามตัวมาพบโดยไม่รู้ก่อนว่านายห้างต้องการอะไร ครั้นมาถึงห้องทำงาน นายห้างวิลเลียมก็ชี้ให้ดูเหรียญ ๓ กองบนโต๊ะกลาง

“หยิบเหรียญขึ้นมาอันหนึ่ง ที่คิดว่าเป็นของจริง”

“เหรียญจริงนะ ไม่เอาเหรียญเก๊” โอลิเวอร์สำทับ

ปะเลหยิบเหรียญรูปพระนางเจ้าวิกตอเรียส่งให้ วิลเลียมพยักหน้าแล้วให้สัญญาณว่าออกไปได้ คล้อยหลังปะเลจึงบอกความคิดที่แวบขึ้นมาสร้างความกระจ่างให้แก่โอลิเวอร์

“พวกกุลีคุ้นเคยกับเหรียญรูปีที่เป็นรูปควีนวิกตอเรีย พอเป็นรูปอื่นจึงคิดว่าเป็นของปลอม พวกเขาคงไม่รู้ธรรมเนียมของเราว่า เมื่อผลัดแผ่นดินใหม่ เหรียญตราและธนบัตรก็เปลี่ยนรูปไปตามกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์”

“โธ่เอ๋ย…” โอลิเวอร์ลากเสียงยาว “กรุงลอนดอนที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีความหมายอะไรเลยกับคนที่นี่”

เช้าวันถัดมาโอลิเวอร์นัดหมายกุลีขมุมาฟังคำชี้แจงเรื่องการเปลี่ยนรูปบนเหรียญตามกษัตริย์อังกฤษองค์ปัจจุบัน ผู้ฟังรับรู้แต่ดูจะไม่ได้ผล เพราะต่างยังยืนยันว่าจะขอรับแต่ ‘เหรียญพระนางเจ้า’ เท่านั้น ถ้าไม่ได้ก็ไม่ทำงานต่อ โอลิเวอร์ต้องเกลี้ยกล่อมอีกพักใหญ่โดยการแจกจ่ายเหรียญพระนางเจ้าเท่าที่มีอยู่ให้ไป เหรียญพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดมีคนยอมรับไปบ้าง แต่เหรียญพระเจ้าจอร์จไม่มีใครยอมรับเลย

“เราต้องหาแลกเหรียญควีนมาจ่ายคนงานให้ได้”

โอลิเวอร์ตั้งเป้าหมายแน่วแน่ เขาต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ บอกแผนการแก่วิลเลียมก็ได้รับคำอนุญาต ในวันถัดมาโอลิเวอร์ก็ขนกำปั่นบรรจุเงินใส่เกวียนไปที่สถานีเด่นชัย เพื่อขนขึ้นรถไฟไปแลกที่กรุงเทพมหานคร กว่าจะได้ครบจำนวนก็กินเวลาหลายวัน

เป็นอันว่าภารกิจสุดท้ายในการ ‘ทดลองงาน’ สำเร็จไปด้วยดี

โอลิเวอร์ บลูมเมอร์ ก็ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานของบริษัทที่อายุน้อยที่สุด

 



Don`t copy text!