เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ผู้มาเยือน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ผู้มาเยือน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ถ้าสตรีที่นอนบนเตียงคือเบ็ตตี้ วิลเลียมคงแปลกใจน้อยกว่านี้

หล่อนอาจจะทำให้เขาประหลาดใจด้วยการดั้นด้นมาพบเขาที่แคมป์…เขารู้ว่าหล่อนทำได้

แต่ร่างที่นอนระทวยอยู่นั้นไม่ผิดกับกองผ้าขี้ริ้วในสายตาของวิลเลียม หญิงผิวคล้ำมีผ้าพาดบังสิ่งสงวนไว้อย่างหมิ่นเหม่ เห็นปราดเดียวก็รู้ทันทีว่านางเพิ่งเสร็จจากกิจกรรมชนิดใดมา แววตาของนางเมื่อเห็นวิลเลียมผลักประตูเข้ามาในตอนแรกตกใจและหวาดหวั่น แต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือ เพราะหน้าที่ในการแก้ต่างใด ๆ อยู่ที่ชายอีกผู้หนึ่ง

​วิลเลียมตกตะลึงในวินาทีแรก แข็งค้างเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน เย็นวาบไปทั่วร่างราวโลหิตไหลออกจากกายหมดสิ้น ทว่าในวินาทีต่อมาความเย็นนั้นเปลี่ยนเป็นความร้อน อารมณ์เดือดปุดจนหน้าแดงเมื่อเห็นร่างกำยำของชายผู้หนึ่งเดินเปลือยกายออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำยังเกาะพราวไปทั้งร่าง ท่อนล่างพันโสร่งไว้อย่างไม่ใส่นัก

เขาคือหม่องฮูโอ ควาญช้างเชือกหนึ่งของปางไม้

ชายหญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ก่อให้เกิดโทสะขึ้นมาพร้อมกับความรังเกียจขยะแขยง คำแรกที่เปล่งออกไปทำให้ทุกคนตกตะลึงอึ้งไป ด้วยไม่เคยเห็นวิลเลียมในด้านนี้มาก่อน

​“ลุกออกไปจากเตียงของฉันเดี๋ยวนี้ นังหนูสกปรก”

​เขาหันไปเกรี้ยวเอากับชายผู้ยังทำท่าถือดีลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านกับอะไรทั้งสิ้น

​“แกเป็นใคร กล้าดียังไงขึ้นมาบนนี้ แล้วยังมาทำเรื่องเลวทรามในห้องนอนของฉัน ที่นี่ไม่ใช่ซ่องที่แกจะไปหิ้วโสเภณีต่ำ ๆ แบบนี้มามั่วกัน”

​“นายห้างพูดดี ๆ นะ” หม่องฮูโอเยาะ “มะขิ่นเป็นเมียเฮา ผัวจะหาความสำราญกับเมียมันผิดตรงไหน ไอ้ที่บ่ได้เป็นอะไรกัน แต่หอบหิ้วกันไปมาทั่วปางไม้นี่ก่ะ น่าคิดกว่าเยอะ”

​ผู้พูดชำเลืองไปทางมุ่ยพร้อมยิ้มมุมปาก ทำให้โทสะของวิลเลียมพุ่งสูงขึ้น ปรี่เข้าไปชกร่างนั้นไม่นับ เพราะฝ่ายนั้นเพียงปัดป้องมิได้โต้คืน ลีรอยและเมืองเป็นฝ่ายช่วยแยกออกมา ในขณะที่ปะเลก็พรวดขึ้นมาบนบังกะโล แยกหม่องฮูโอผู้ก่อปัญหาไว้อีกทางหนึ่ง

​หม่องฮูโอเป็นควาญช้างเชือกที่ดุที่สุดในปางไม้

​แม้ปู้คำตุ่นและปู้คำแสนจะมีแววว่าจะเป็นช้างดุ แต่ปะเลก็รับมือได้ ส่วนช้างที่ดุที่สุดนั้นเป็นช้างของหม่องฮูโอ และยังเป็นช้างที่ทำงานได้หลากหลาย หม่องฮูโอจึงเป็นควาญช้างที่มีค่าจ้างสูงกว่าคนเลี้ยงช้างรายอื่นหลายเท่าตัว และเพราะเหตุนี้เอง หม่องฮูโอจึงไม่ค่อยฟังใครด้วยว่าตนเองเป็นต่ออยู่หลายข้อ คนอื่น ๆ ก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะรู้ว่าถึงเตือนไปฝ่ายนั้นก็ไม่ฟัง

​กฎข้อหนึ่งเมื่อมาอยู่ที่ปางไม้คือห้ามนำภรรยามาอยู่ด้วย หม่องฮูโอก็ไม่ใส่ใจ พานางมะขิ่นผู้ภรรยามาด้วยตั้งแต่วันเดินทาง ซ้ำยังขู่คนเลี้ยงช้างทุกคนมิให้บอกนายห้าง หาไม่แล้วเขาจะสั่งให้ช้างของเขาอาละวาดจนอยู่ไม่เป็นสุขเลยทีเดียว

​“แกทำผิดกฎของปางไม้ ห้ามนำภรรยามาอยู่ด้วย”

​“ก่อนเดินทาง นายห้างก็ตรวจดูขบวนแล้ว ตาเซอะบ่เห็นเอง ว่านางมะขิ่นมันอยู่ในขบวนคนเลี้ยงช้าง” หม่องฮูโอเยาะ “เฮาส่งอีมะขิ่นกลับบ้านก็ได้ แต่นายห้างให้เฮาใช้แม่ญิงคนเดียวกับนายได้ไหมเล่า ผลัดกันวันเว้นวันก็ได้ เฮาบ่ถือ”

​เสียงหัวเราะร่วนของหม่องฮูโอทำให้หน้าของวิลเลียมเป็นสีจัดขึ้น หากลีรอยและเมืองไม่ยึดแขนทั้งสองข้างไว้ หม่องฮูโอคงได้ชิมหมัดของเขาอีกแน่

​นางมะขิ่นตกใจกลัวเพราะเห็นว่าสามีของนางไม่ตอบโต้ แม้ว่าเขาจะยังวางท่ายโสโอหังต่อนายห้างผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดในแคมป์นี้ นางควานหาผ้ามาพันตัวเพื่อจะลุกไปให้พ้นจากเตียงนอน ครั้นทรงตัวลุกยังไม่ทันจะยืนได้มั่น วิลเลียมก็ตรงเข้ามาผลักร่างนางจนเซ ล้มไปกองอยู่บนพื้น

​วิลเลียมกระชากผ้าคลุมเตียงเขวี้ยงใส่นางมะขิ่นที่นั่งตัวสั่นด้วยความกลัว ตามด้วยหมอนที่หนุนนอน

​“นังคนสกปรก บังอาจมาใช้ที่นอนของฉัน เอาไปซักล้างให้สะอาดเดี๋ยวนี้ แล้วเอาน้ำยาฆ่าเชื้อราดไปเสียด้วย ทำซ้ำอย่าต่ำกว่าสิบรอบ เพราะนั่นคงยังไม่พอจะชะล้างความโสโครกที่แกและผัวทำแปดเปื้อน”

​วิลเลียมเข้าไปสำรวจทั่วห้องก็พบว่าไม่เพียงแต่สองผัวเมียนี้จะใช้เตียงนอนของเขาหาความสำราญ แต่ยังหอบข้าวของขึ้นมาอยู่กินชั่วคราวช่วงที่เขาไม่อยู่ เห็นสิ่งใดขัดตา เขาโยนใส่หน้าทั้งคู่อย่างไม่สนใจว่ามันจะถูกส่วนไหนของร่างกาย

​“ขนของของพวกแกลงไปให้หมด” ตวาดสองผัวเมียแล้วหันมาสั่งปะเล “ให้คนงานตั้งเต็นท์ที่หน้าบังกะโล ฉันจะนอนที่เต็นท์ จนกว่าจะมั่นใจว่าผัวเมียคู่นี้ได้ชะล้างความระยำอัปรีย์บนบังกะโลนี้สะอาดดีแล้ว”

​นางมะขิ่นตัวสั่นงันงกเก็บข้าวของ ด้วยมั่นใจแล้วว่าหม่องฮูโอสามีของนางไม่ตอบโต้

​ตลอดสามวันสองผัวเมียต้องทำความสะอาดบังกะโลมิได้หยุดพัก เมื่อตรวจความเรียบร้อย วิลเลียมก็ยังไม่พอใจด้วยน้ำในถังซักผ้าขี้ริ้วยังมีฝุ่นผง

​“ฉันจะยอมรับว่าสะอาดก็ต่อเมื่อแกซักผ้าถูเรือนแล้วน้ำยังใสชนิดแกกินได้นั่นละ”

​นางมะขิ่นเช็ดพื้นไปน้ำตาไหลพราก ในขณะที่หม่องฮูโอไม่มีปากเสียง คงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันข่มความแค้นใจไม่แย้มออกมา ภรรยาของเขาเหนื่อยแทบเป็นลมผสมกับความหิว ขอพักกินข้าวสักครู่ นายห้างก็ไม่อนุญาต

​“นายทำเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า” ลีรอยถามแกมเตือนสติเพื่อน

​“ถ้าไม่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง อีกหน่อยคนอื่น ๆ ก็จะได้ใจ” วิลเลียมตอบ

​“ฉันกลัวว่าฮูโอจะเอาคืน คงไม่ถึงกับทำร้ายนายหรอก แต่เขาจะเอาคืนเราด้วยวิธีอื่น…ไม่ให้ช้างทำงานอย่างหนึ่งละ ช้างไม่ทำงานหนึ่งวัน เราเสียหายไปมากอยู่นะ ยิ่งช้างของฮูโอ…เราใช้ประโยชน์ได้มากกว่าช้างเชือกอื่น”

​“ฉันก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” วิลเลียมว่าพร้อมเผยความคิด

“ทำความสะอาดรอบสุดท้ายเสร็จแล้ว ฉันก็จะไล่ฮูโอออก ให้ไปจากแคมป์เสียเย็นนี้เลย”

 

​หลังการจากไปของหม่องฮูโอควาญช้างเชือกดุที่สุดในปางไม้และนางมะขิ่นผู้ภรรยา ก็ดูเหมือนว่าแต่ละวันในแคมป์จะดำเนินไปอย่างเป็นปกติสุข ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นจนสมาชิกในปางไม้ค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องนี้ไป เหลือเพียงกิจวัตรประจำวันที่ต้องตื่นแต่เช้า เข้าป่าตัดไม้ คุมช้างลากซุงออกจากป่ามาเรียงหมอนไว้ที่ริมตลิ่ง ตกเย็นกินข้าวแล้วก็นั่งล้อมวงรอบกองไฟ มีเรื่องหลากหลายมาถ่ายทอดแลกเปลี่ยนกัน

​นับจากวันที่เกิดเรื่องนั้น วิลเลียมก็ยอมรับเมื่ออารมณ์เย็นลงว่า คำพูดของหม่องฮูโอที่ย้อนเขาเรื่องมุ่ยก็จริงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเขาจะบริสุทธิ์ใจในพฤติกรรมของตนเองที่มิได้ล่วงเกินมุ่ย แต่ก็ห้ามคนที่คิดอย่างหม่องฮูโอไม่ได้ เขาจึงระมัดระวังในการอยู่กับมุ่ยมากขึ้น ไม่อยู่ตามลำพังสองคนไม่ว่ากรณีใด เพื่อไม่เปิดช่องสำหรับสร้างข้อครหาได้

​แม้วันที่ฮูโอพาครอบครัวไปจากแคมป์ วิลเลียมไม่เห็นการร่ำลาอาวรณ์ในกลุ่มคนเลี้ยงช้าง แต่เขาก็รู้ในเวลาต่อมาว่าหม่องฮูโอก็มี ‘พวกพ้อง’ พอสมควร และกลุ่มคนที่ยังอยู่นี้ก็แสดงการต่อต้านเล็กน้อยอยู่เป็นระยะพอให้รำคาญใจ ปะเลเป็นผู้บ่นเรื่องนี้กับเมืองและลีรอยอยู่เสมอ

​ในวันพักผ่อน มุ่ยทำหน้าที่สอนบทเรียนภาษาถิ่นอย่างจริงจัง สลับกับฝึกเล่นไพ่อย่างชาวอังกฤษที่พวกคนงานไทใหญ่นิยมเล่นเช่นกัน บางวันมุ่ยก็สรรหาของกินแปลก ๆ มาขึ้นโต๊ะ เช่น รังผึ้งหมก ยำผักกูด หรือยำเห็ดเผาะ ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นเห็ดหายากในถิ่นนี้และมีเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น

​ส่วนเมืองและลีรอยมักจะหายไปด้วยกันยามที่มุ่ยอยู่กับวิลเลียม

​บางครั้งที่ได้ยินเสียงหีบเพลงแว่วมา วิลเลียมจะบอกมุ่ยว่าลีรอยคงสอนให้เมืองเป่าเล่น หากไม่มีเสียงใด เขาก็เดาว่าลีรอยคงพบดอกไม้ถูกใจและใช้สมาธิในการวาดภาพ เมื่อลีรอยและเมืองกลับมาที่แคมป์ วิลเลียมถามแกมเย้าว่า วันนี้พบดอกไม้แปลกใหม่ชนิดใดจึงเงียบหายไปเสียหลายชั่วโมง

​ลีรอยและเมืองก็จะเพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่แถลงคำตอบให้กระจ่างลงไป

​วันนี้เป็นวันที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้แก่คนงาน วิลเลียมเคยคิดอยากจะจ่ายรายวันแต่ต้องเป็นอันล้มเลิกเพราะกุลีที่อยู่ในแคมป์กลางป่าไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร และถึงมีเงินก็ไม่รู้จะไปจับจ่ายใช้สอยที่ไหน ข้าวปลาอาหารในปางไม้ก็มีให้อยู่แล้ว สวัสดิการของคนงานมีทั้งข้าว เกลือ และเนื้อสัตว์ที่สามารถเบิกไปปรุงอาหารได้ การได้ค่าจ้างรายวันมาเก็บไว้จึงเป็นเรื่องยิบย่อยประจำวันเกินไป

​อีกหนึ่งเหตุผลก็คือกลัวถูกปล้นจี้จากโจรป่า

​การจ่ายเงินเดือนแก่คนงานในปางไม้จึงจ่ายเป็นรายสองเดือน

​วิลเลียม ลีรอย และเมือง ทบทวนบัญชีค่าใช้จ่ายด้วยกันให้เรียบร้อยก่อนที่จะเรียกคนงานเข้ามารับค่าแรงของตนในตอนบ่าย เมื่อวิลเลียมเห็นค่าแรงตามรายการที่แพทริกจดมาให้จึงเพิ่งสังเกตเป็นครั้งแรก

​“คนงานของเราส่วนใหญ่เป็นพวกฉาน” กลุ่มนี้คือไทใหญ่ “พม่า กะเหรี่ยง ลาว แล้วก็ยังมีคนพื้นเมืองอีก…เราไม่มีแรงงานที่เป็นชาวขมุเลยเหรอ”

​วิลเลียมตั้งข้อสังเกต เพราะเขาเคยได้ยินได้ฟังเรื่องของชาวขมุอยู่บ้าง แต่ไม่พบแรงงานกลุ่มนี้ในปางไม้

​เมืองเป็นผู้ให้คำตอบ

​“ขมุเป็นแรงงานที่ดีที่สุดและถูกที่สุด อย่างพวกใช้แรงงานทั่วไปค่าจ้างเพียงปีละ ๕๐ รูปี ถ้ามีฝีมือหน่อยค่าจ้างก็สูงขึ้นราว ๖๐ ถึง ๘๐ รูปีเท่านั้น พวกขมุนี้อดทน ขยัน และไว้ใจได้”

​วิลเลียมพยักหน้าเข้าใจ โดยเฉพาะข้อสุดท้าย แม้ในแคมป์นี้จะไม่มีแรงงานขมุให้เปรียบเทียบเรื่องความน่าไว้ใจ แต่เขาก็ได้พบเห็นเหลี่ยมคูของกลุ่มคนงานมาบ้างแล้ว

​“ทำไมเราไม่จ้างพวกขมุมาทำงานบ้าง” วิลเลียมถามพลางคำนวณค่าแรงที่ต้องจ่ายแล้วพบว่า “เราต้องจ่ายให้คนงานที่นี่สูงกว่าค่าแรงพวกขมุเกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์”

​“แรงงานขมุส่วนใหญ่มาจากหลวงพระบาง” เมืองบอกเท่านี้วิลเลียมก็เข้าใจ เพราะผู้มีอำนาจเหนือดินแดนนั้นคือฝรั่งเศส หากเมืองก็บอกย้ำว่า “พวกแรงงานขมุส่วนใหญ่เลยอยู่ในบริษัทที่เป็นสัมปทานของฝรั่งเศส”

​“ก็คงเหมือนพวกฉาน กะเหรี่ยง พม่า ที่มาเป็นแรงงานในบริษัทของอังกฤษ” ลีรอยบอกความเห็นของตนเอง

​“ใช่แล้วนายห้าง” เมืองว่า “อีกอย่างหนึ่ง ‘เฮดแมน’ ที่นี่ก็เป็นชาวพม่าเสียส่วนใหญ่ จะว่าไปเราก็ได้เปรียบบริษัทฝรั่งเศสตรงนี้ ตรงที่เฮดแมนมักจะอำนวยความสะดวกให้ชาวอังกฤษก่อน”

​คนที่นี่เรียกทับศัพท์ว่า ‘เฮดแมน’ ไม่มีคำเรียกเป็นอย่างอื่น หน้าที่ของเฮดแมนก็คล้ายกับผู้อำนวยความสะดวกในการจัดหาแรงงานสำหรับทำไม้ บางรายขยายบริการไปถึงการเป็นนายหน้า เป็นตัวแทนเดินเอกสารสำคัญ หรือแม้แต่เป็นตัวแทนในการยื่นขอสัมปทานพื้นที่ป่า

​เฮดแมนจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอีกคนหนึ่งในสัมปทานป่าไม้ ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าที่ดำเนินกิจการนี้จนเป็นเศรษฐี มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและการเจรจาต่อรอง เนื่องด้วยป่าสักที่บริษัทต่างชาติได้สัมปทานนี้ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตล้านนาหรือภาคเหนือของสยาม อีกส่วนหนึ่งเป็นผืนป่าของพม่า การขนส่งท่อนซุงทางแม่น้ำสายหนึ่งคือแม่น้ำสาละวิน เฮดแมนชาวพม่าจึงได้เปรียบในข้อนี้

​“แรงงานทั้งคนและช้างในแคมป์เรา ก็ผ่านการจัดหาจากเฮดแมนใช่ไหม” วิลเลียมถาม เมืองก็ตอบว่าใช่

​“ส่วนแรงงานพื้นเมืองที่มารับจ้าง ก็เป็นพวกที่เคยทำไม้มาเก่าก่อน แต่พอรัฐบาลสยามกำหนดระเบียบการขอสัมปทาน ชาวบ้านพวกนี้มีทุนไม่พอ ก็ต้องผันตัวมารับจ้างให้บริษัทที่ได้สัมปทานแทน”

​วิลเลียมไล่ดูบัญชีรายจ่ายต่อไปอย่างถี่ถ้วนก็ยิ่งพบข้อสงสัย

​“ทำไมค่าจ้างควาญช้างถึงได้แพงนัก เดือนละ ๑๕ บาทเชียว”

​“นายห้างก็ได้เห็นกับตาแล้วนี่ว่า ช้างสำคัญกับการทำไม้อย่างไร ในป่าลึกที่โค่นไม้ลง นายห้างจะขนซุงออกมาอย่างไรถ้าไม่ใช้ช้างลากออกมา นี่แหละค่าจ้างควาญช้างถึงแพง ยิ่งถ้าเป็นช้างดุ ค่าจ้างก็ยิ่งแพง”

​เรื่องช้างดุทำให้วิลเลียมนึกถึงหม่องฮูโอ ดูรายการค่าแรงที่ต้องจ่ายให้ฮูโอก็พบว่าเป็นค่าจ้างที่สูงที่สุด

​“เดือนละ ๙๐ บาทเชียวหรือ แก่ช้างยังได้แค่ ๔๕ บาทเท่านั้น”

​เมืองพยักหน้าอธิบาย

​“ลำพังฝึกช้างให้ใช้งานได้ทั่วไปก็ยากแล้ว ยิ่งเป็นช้างที่นิสัยดุร้ายยิ่งคุมได้ยาก แต่ช้างดุนี่มันก็มีข้อดีตรงที่มันอึดทนกว่าช้างทั่วไป”

​วิลเลียมเข้าใจในนาทีนั้นว่าเพราะเหตุใดหม่องฮูโอจึงวางท่ายโสโอหัง ไม่เกรงกลัวผู้เป็นนายจนถึงขั้นท้าทายลองดี เมืองสบโอกาสที่จะแจ้งข่าวที่เขาได้รับมาจึงบอกในจังหวะนี้

​“เกวียนเทียมควายที่จะใช้ขนซุงออกจากป่า ที่เราเคยเจรจาไว้ คงไม่ได้แล้วนะนายห้าง”

​“ทำไมล่ะ ก็เราตกลงกับเฮดแมนแล้ว” วิลเลียมซัก พลันก็เอะใจว่า “เมืองคิดว่าเกี่ยวกับที่ฉันไล่ฮูโอออกไปจากแคมป์เหรอ”

​“อาจจะมีส่วนนะ นายห้าง” เมืองตอบ “ฮูโอเป็นควาญช้างค่าแรงสูง และเขาก็เป็นที่รักของเฮดแมนคนนี้ด้วย”

​นี่ยังไงละ ที่ลีรอยเตือนไว้ว่าหม่องฮูโออาจเอาคืนเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นับจากหม่องฮูโอจากไป ปะเลก็มีภาระเพิ่ม คือฝึกช้างที่มีอยู่แล้วให้ทำงานได้เต็มศักยภาพมากขึ้น และยังต้องฝึก ‘ปู้อึ่ง’ ช้างน้อยอีกเชือกที่พามาฝึกฝนในป่าเป็นฤดูแรก เนื่องจากปู้อึ่งเพิ่งแยกจากแม่และโตพอที่จะเริ่มฝึกได้แล้ว หากกระนั้นก็ยังไม่สามารถจะใช้งานได้ทันที

หลายครั้งที่วิลเลียมไปดูปะเลฝึกช้าง เขาจะได้ยินคำสั่งสั้น ๆ ไม่กี่คำจนจำได้ เป็นภาษาพม่า

ถ้าปะเลร้องว่า ‘หาว’ คือสั่งให้หยุด ‘แม้บ’ คือสั่งให้นอนลง และ ‘โสก’ คือให้ถอยหลัง

บ่อยครั้งที่ปู้อึ่งก็มึนงง ทำไม่ถูกคำสั่ง หนักเข้าก็แกล้งยืนเฉยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นจนปะเลอ่อนใจ ยอมแพ้และยกเลิกการฝึกในวันนั้น แต่ยังต้องให้รางวัลเป็นการเอาใจ คือกล้วยและมะขามเปียก

​ครั้นทบทวนบัญชีรายการที่ต้องจ่ายคนงานแล้ว วิลเลียมก็สั่งตั้งโต๊ะสำหรับจ่ายเงิน ให้เมืองไปตามคนงานมารวมกันเพื่อรับค่าจ้าง

ในจังหวะนั้นเองที่มุ่ยวิ่งหน้าระรื่นเข้ามาบอกพี่ชายคล้ายมีเรื่องน่าสนุกไปทำ วิลเลียมตาไวเห็นว่ามุ่ยถือขวดแก้วใสจึงทักดักคอไปว่า

“จะแอบไปกลั่นเหล้าอีกละสิ”

สายน้อยส่ายหน้าลูกตาพราวเป็นประกาย

“บ่ได้ไปกลั่นเหล้าหรอก จะไปเก็บแมงมัน แลงนี้จะคั่วให้กิน”

วิลเลียมยังไม่ทันได้ถามรายละเอียด มุ่ยก็ถือขวดวิ่งไปที่โคนไม้ใหญ่นั่งยอง ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงนั้น โชคดีที่ยังอยู่ในระยะที่เขามองเห็น เมื่อเงยหน้าจากสมุดบัญชี วิลเลียมก็อดแลไปทางโคนไม้ใหญ่นั้นไม่ได้

 

​การจ่ายเงินเดินใช้เวลาไม่นานก็แล้วเสร็จ คนงานแยกย้ายกลับไปพักผ่อน วิลเลียมจึงมายืนค้อมตัวดูสาวน้อยที่จดจ่ออยู่กับรูตรงโคนไม้ใหญ่ที่เจ้าตัวบอกว่า ‘เก็บแมงมัน’ รูนั้นคือรังมด วิลเลียมเห็นแต่มดตัวเล็ก ๆ สีส้มพรูทะลักออกมาจากรูราวกับจำนวนของมันไม่มีสิ้นสุด หลายนาทีผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงยอบตัวลงข้าง ๆ คนที่นั่งเฝ้ารังมดอย่างจดจ่อ

​มุ่ยรู้ตั้งแต่เขามายืนชะโงกมองข้างหลัง หากก็มิได้เอ่ยคำใด จนจังหวะที่เขาย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ สิ่งที่รอคอยก็คลานออกมาจากรู มุ่ยจึงบอกคนตัวใหญ่ที่นั่งข้าง ๆ ว่า

​“ออกมาแล้ว นี่ไงละ…แมงมัน…นายห้างเก็บสิ”

​วิลเลียมแปลกใจแต่ก็ไม่มากนัก ด้วยว่าเขารู้จักพบเจอสิ่งแปลกใหม่ในถิ่นนี้มาหลายหนแล้ว เอื้อมมือไปจับ ‘แมงมัน’ ซึ่งมีลักษณะเหมือนมดตัวใหญ่สีน้ำตาลเงาเป็นมันทว่ามีปีก

​ครั้นจับมดมีปีกตัวใหญ่ที่ปากรู มดตัวเล็ก ๆ ก็พรูขึ้นมาเกาะและกัดมือจนชายหนุ่มร้อง ด้วยทั้งเจ็บ แสบ และคัน

​มุ่ยหัวเราะขัน แมงมันอีกตัวไต่ออกมาจากรูกรีดปีกสะบัด จังหวะนั้นเองที่มุ่ยเอื้อมมือไปจับปีกแล้วหย่อนตัวแมงมันลงในขวดแก้วที่บัดนี้เต็มไปด้วยแมงมันกว่าครึ่งขวด

​“ตอนมันออกจากรู แม่มันเกาะมาด้วย มดพวกนี้กัดเจ็บยิ่งกว่ามดใด ๆ นายห้างต้องรอให้มันสะบัดออกให้หมดเสียก่อน” วิลเลียมขยับปากจะถามอะไรสักอย่าง แต่มุ่ยรู้ทัน จึงบอกต่อทันทีว่า “แต่ถ้าช้ามันก็จะบินหนีไปเลย”

​วิลเลียมคร้านจะถามว่าแมงมันนี้กินได้หรือ เพราะในสำรับที่ผ่านมา เขาก็ได้ประจักษ์แล้วว่าหลายอย่างในป่านี้ล้วนเป็นของกินได้ทั้งนั้น คืนวันฝนตกเสียงอึ่งอ่างร้องระงม วันถัดมาบนโต๊ะก็มีเมนูปรุงจากอึ่งอ่าง บางวันที่คนงานพบเคาะลำไผ่ได้ยินเสียงแปลกหู มื้อถัดมาก็มีหนอนไม้ไผ่ร่วมมาในสำรับ ครานี้เขาจึงถามไปว่า

​“ต้องกินยังไง ไอ้แมงมันนี่”

​“คั่วเกี๋ย” มุ่ยตอบทันทีว่าเอาไปคั่วเกลือ ไม่มีกรรมวิธีที่ยุ่งยากกว่านั้น

​การเก็บแมงมันต้องใช้ความอดทนมากทีเดียว กว่าแมงมันสักตัวจะคลานออกมาจากรังใต้ดิน ในช่วงแรกอาจจะมาต่อเนื่องแต่เมื่อผ่านไปสักระยะก็ค่อยทิ้งห่างนานขึ้น เมื่อเห็นมุ่ยนั่งรอด้วยความอดทน วิลเลียมก็คิดว่าคงยังไม่หมด เขาจึงนั่งอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเจ้าตัวจะเลิกสนใจกิจกรรมนี้

​มีความเคลื่อนไหวอยู่ทางหางตา คนงานที่อยู่แถวบังกะโลพยักหน้าร้องบอกกันแล้วก็วางมือจากงานที่ทำ วิ่งไปรวมกันที่จุดหนึ่ง วิลเลียมขอกล้องส่องทางไกลที่เคยให้มุ่ยไว้ มุ่ยบอกว่าอยู่ในย่ามเขาก็หยิบไปส่องดู แต่ก็ยังเห็นไม่ถนัดนัก ว่าคนงานไปรวมกันทำอะไร

​“จะส่องทำไมเล่า อยู่แค่นี้ก็เตียวไปผ่อแล่…เดินไปดูสิ” มุ่ยว่าพลางหยัดตัวเองยืนขึ้น เพราะนั่งนางเส้นจึงยึด ครั้นลุกยืนด้วยความรวดเร็วร่างจึงเซ มือปัดป่ายหาที่ยึดไม่ให้ล้ม วิลเลียมจึงฉวยร่างนั้นขึ้นมาประคองให้ทรงตัวอยู่ได้

​มุ่ยพ่นลมด้วยความโล่งใจ

​“ถ้าโก้นลงไปบนฮางมัน…ถ้าล้มลงไปบนรังของมัน…แม่มันรุมขบแน่…แม่แมงมันคงรุมกัด” มุ่ยว่า “มีหวังได้แสบไปทั้งตัว”

​ครั้นทรงตัวได้ด้วยตนเองมุ่ยก็ชักชวน

​“ไปดูตรงที่พักคนงานกัน นายห้างจะได้รู้ว่ามีอะหยัง”

​วิลเลียมรู้ทันจึงชายตามอง มุ่ยก็แสร้งกลบเกลี่อน

​“บ่ใช่ว่าเฮาอยากรู้อยากเห็นหรอก แต่นายห้างมาช่วยเก็บแมงมัน เฮาก็ตอบแทนด้วยการไปดูคนงานเป็นเพื่อนนายห้างไง”

​วิลเลียมหัวเราะน้อย ๆ ออกมาอย่างไม่ปิดบัง ให้มุ่ยรู้ว่าเขามิได้เชื่อคำอ้างของหล่อน แต่ก็เดินเคียงกันไปที่เรือนพักของพวกคนงาน

​ลานดินที่คนงานมักใช้ก่อกองไฟแวดล้อมชุมนุมกัน บัดนี้มีคนแปลกหน้ามาเยือนหลายคน ดูแล้วเหมือนกลุ่มแม่ค้าเร่เข้ามาเสนอขายสินค้าให้แก่คนในปางไม้ ปะเลผ่านมาพอดีจึงสบโอกาสถาม ก็ได้คำตอบว่า

​“พวกแม่ค้าคงรู้ว่าวันนี้คนงานได้ค่าแรง ก็เลยเอาครัว…สินค้า…มาขาย”

​วิลเลียมเกือบหมดข้อสงสัย เป็นธรรมดาที่จะมีคาราวานสินค้าผ่านมาตามชุมชนต่าง ๆ แต่ปางไม้นี้อยู่กลางป่า ไม่น่าที่จะดั้นด้นเข้ามากันถึงนี่

​“ในป่านี้ก็มีหลายหมู่บ้าน แต่ก็บ่ได้ปลูกชิดติดกัน” ปะเลบอก

​“แล้วพวกเขาเอาอะไรมาขายบ้าง”

​“มันก็ของจำเป็นทั้งนั้นละนาย”

​คำตอบของปะเลคงทำให้วิลเลียมหมดคำถามเพียงเท่านั้น หากแววตาและรอยยิ้มปริศนาของปะเลจะไม่บอกอะไรบางอย่างที่มีความหมายลึกล้ำไปกว่านั้น

​วิลเลียมดูการเจรจาซื้อขายสินค้าสักครู่จึงสังเกตว่า ‘แม่ค้า’ คือแม่ค้าจริง ๆ เพราะมีแต่สตรี ไม่มีพ่อค้าให้เห็นเลย

​ในบรรดาแม่ค้าเร่ที่เข้ามาขายของในปางไม้นี้ มีคนหนึ่งท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่ม เห็นชัดว่าเป็นสตรีแต่ร่างกายก็ดูหนาถึก ไม่ต่างจากผู้ชายรุ่น ๆ เท่าไร ส่วนแม่ค้ารายอื่นแม้จะมีวัยและเรือนร่างต่างกันบ้าง แต่สิ่งที่ทุกนางทำเหมือนกันก็คือการแต่งกายอย่างหมิ่นเหม่ให้ของสงวนในร่างกายกระทบสายตาลูกค้าให้เกิดความรัญจวนใจ

​สินค้าสำคัญที่เสนอขายก็คือ เหล้าน้ำขาว

​สาวนางหนึ่งตรงเข้ามาหานายห้างหนุ่มส่งจอกเหล้าให้ด้วยท่าทางชดช้อยเชิญชวน

​“นายห้างลองชิมสักจอกสิเจ้า”

​วิลเลียมรับมาถือเก้ ๆ กัง ๆ ลังเลใจ แม่ค้าสาวก็รบเร้าให้ชิมไว ๆ เขาจิบไปนิดหนึ่งก็รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นไหลจากคอลงไปถึงท้อง หากกระนั้นสาวน้อยยังเอียงหน้าถาม

​“บ่ลำกาเจ้า…ไม่ถูกปากหรือคะ…จอกน้อยเดียว นายห้างกินบ่เสี้ยง…จอกเล็กนิดเดียวแต่ก็ดื่มไม่หมด”

​“พอแล้วละ” วิลเลียมบอกพลางส่งจอกเหล้าคืน แต่มุ่ยไวกว่าแม่ค้า ฉวยมากระดกลงคอ

​“ก็ลำดี แต่ยังบ่ได้ที่”

มุ่ยประเมินคุณภาพเหล้าน้ำขาว วิลเลียมปฏิเสธว่าเขายังไม่รับ นางแม่ค้าจึงสะบัดหน้าออกไปอย่างแสนงอนทว่ายังทิ้งสายตาให้นายห้างหนุ่ม

เย็นนั้นวิลเลียมได้ลองชิมแมงมันคั่วเป็นครั้งแรก จบจากมื้อค่ำแล้วก็ยังได้ยินเสียงครึกครื้นเฮฮามาจากทางเรือนพักคนงาน วิลเลียมเล่าสิ่งที่เขาไปพบมาให้ลีรอยฟัง เมืองก็อมยิ้มนิด ๆ บอกไปว่า

“ปล่อยเขาไปสักวันเต๊อะ นายห้าง นานทีปีหน”

วิลเลียมเกือบจะเข้าใจแค่นั้น หากเมืองไม่ขยายความต่อ

“ไม่รู้แม่ค้าพวกนี้มีสายหรืออย่างไร ถึงได้รู้ว่าแคมป์ไหนจะจ่ายค่าแรงให้คนงานเมื่อไหร่ มาถูกวันเสียด้วย” เมืองมองไพ่ในมือก่อนตัดสินใจดึงใบหนึ่งวางลงไป “นายห้างคงเห็นแล้วว่ามีแต่พวกแม่ค้าทั้งนั้น ตอนกลางวันก็ขายสินค้า แต่ตกค่ำก็ขายเนื้อสด”

วิลเลียมและลีรอยเข้าใจคำเปรียบเปรยนั้นก็ครางออกมาเบา ๆ พลันความคิดก็วาบไปถึงเรื่องที่หม่องฮูโอแอบพาเมียมาอยู่ด้วยที่ปางไม้

การทำงานในป่าเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่พบหน้าลูกเมียคงสร้างความทุกข์ให้คงงานอยู่พอแรง ยังจะความรู้สึกหรือความต้องการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมา แต่ไม่มีทางที่จะสนองอีกเล่า วิลเลียมจึงเข้าใจและล้มเลิกความคิดที่ลงไปไล่พวก ‘แม่ค้า’ ให้ออกไปจากปางไม้

คงรำพึงแต่เพียง

“หวังว่าพวกคนงานจะไม่จ่ายหนักเกินไปจนหมดตัว”

เสียงของมุ่ยแทรกขึ้นมา

“ขออย่าเป็นเสือสมิงก็แล้วกัน”

วิลเลียมยังติดใจเรื่องนี้ ครานั้นมุ่ยก็เปรยขึ้นมาถึงเรื่องเสือสมิงแต่เมืองปรามไว้ไม่ให้เล่า เพราะตั้งแคมป์กลางป่าและคนที่นี่เชื่อว่าอย่าพูดถึงเสือสางเมื่ออยู่ในดง นัยว่าจะเป็นการชักดึงภัยร้ายให้เข้ามาถึงตัว

“ไหนเล่ามาซิว่าเสือสมิงมันเป็นอย่างไร คืนนี้เราอยู่ที่บังกะโล คงไม่มีอะไรให้ต้องกลัวใช่ไหม เมือง” ประโยคท้ายวิลเลียมหันไปดักคอกับพี่ชายของมุ่ย ครั้นฝ่ายนั้นไม่ว่ากระไร ก็เป็นมุ่ยเสียเองที่ทำท่าอมพะนำยั่วเย้า แกล้งทำเป็นไม่อยากเล่าขึ้นมา

“ถ้าไม่เล่าก็เลิกแค่นี้ละ แยกย้ายกันเข้านอน”

“ได้ยังไงละ นายห้างเห็นลางจะแพ้เกมนี้ จะเลิกกลางคันแบบนี้ไม่ได้” มุ่ยโวยวาย หากก็รู้ว่าวิลเลียมดักทางตนอยู่ จึงแกล้งทำเบ้ปากบอกส่ง ๆ “เล่าก็ได้”

“เสือสมิงมันก็เหมือนปีศาจร้ายอยู่ในป่า เสือพวกนี้มีเวทมนตร์คาถา แปลงร่างเป็นคนได้ เวลาจะล่าเหยื่อก็แปลงร่างเป็นคนมาล่อออกไป พอเหยื่อติดกับหลงกลก็คืนร่างเป็นเสือ กินเหยื่อเป็นอาหาร”

เท่านั้นเอง…วิลเลียมคิดในใจแต่ไม่เอ่ยออกมา มันก็เป็นตำนานหรือความเชื่อพื้นบ้านป้องกันไม่ให้คนออกไปไหนยามค่ำคืน โดยสร้างเรื่องให้กลัวภยันตรายนอกบ้านก็เท่านั้นเอง

คืนนั้น…กว่าเสียงเฮฮาจากที่พักคนงานจะซาและเงียบลงไปก็ดึกสงัด

ครั้นแสงอรุโณทัยฉายจับขอบฟ้า วิลเลียมจึงลงไปตรวจดูตรงที่พักคนงานก็เห็นร่องรอยความสำราญหลงเหลืออยู่ คนงานบางคนยังนอนไม่ได้สติด้วยความเมามาย หากกระนั้นสีหน้าดูจะเคลิ้มอิ่มไปถึงความสุข บางคนก็กอดจูบขอนไม้ราวกับกอดใครสักคน

เห็นทีวันนี้จะต้องงดเข้าป่าตัดไม้

วิลเลียมประเมินสภาพคนงานแล้วคิดว่าคงต้องปล่อยไปเสียวันหนึ่ง

หากแล้วปะเลพร้อมด้วยคนเลี้ยงช้างอีกสามคนก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงาน

“นายห้าง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เช้านี้มีคนงานหายไปสองคน อ้ายตั๋น กับอ้ายบุญยวง”

ปะเลเล่าพลางหอบเหนื่อย บอกสถานการณ์ล่าสุด

“อ้ายบุญยวงยังหาตัวบ่พบ แต่อ้ายตั๋น…อ้ายตั๋นตายแล้ว โดนเสือขบตายอยู่ชายป่าโน่น”

ปะเลพยักไปทางหนึ่งไกล ๆ ไม่อธิบายสภาพของอ้ายตั๋นที่พบเห็นมาว่านอกจากรอยขย้ำจากเขี้ยวเสือและกรงเล็บแล้ว เนื้อตัวและอวัยวะต่าง ๆ อยู่ในสภาพชวนสยดสยอง

เสียงร้องของช้างดังประสานขึ้นมาสับสนราวบ้าคลั่ง วิลเลียมหันไปตามที่มาของเสียงนั้น ปะเลก็รีบแจ้งอีกปัญหาหนึ่ง

“ปู้อึ่งโดนเสือขบ” เขาหมายถึงช้างน้อยที่พาเข้ามาฝึกในปางไม้ “ตอนนี้เหมือนเป็นว้อ…เป็นบ้า”

คำบอกเล่าของปะเลทำให้วิลเลียมเข้าใจว่า ปะเลเชื่อว่าอาการบ้าคลั่งของช้างน้อยมิได้เกิดจากความเจ็บจากบาดแผลที่ถูกเสือกัด แต่มีสาเหตุมาจากถูกคาถาอาคมร่วมด้วย

“แม่ค้าล่ะ พวกแม่ค้าที่มาเมื่อวานอยู่ไหน” วิลเลียมซัก

“ไปกันหมดตั้งแต่ก่อนตะวันแจ้งแล้วละนายห้าง” ปะเลตอบ

ลีรอย เมือง และมุ่ยเดินเข้ามาสมทบ

เมื่อเห็นหน้าสาวน้อย วิลเลียมจึงนึกถึงนิทานหลอกเด็กที่เพิ่งได้ยินมาเมื่อคืนวาน กวาดตาสำรวจพื้นก็พบรอยเท้าเสือหลายขนาดสับสนปนเป

หรือทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะ ‘เสือสมิง’

 



Don`t copy text!