เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “ดวงดาวที่ดับสูญ”

เวียงวนาลัย บทที่ ๘ ตามกระแสชล “ดวงดาวที่ดับสูญ”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

คริสต์มาสเป็นช่วงเวลารวมตัวเพื่อสังสรรค์สำหรับชาวต่างชาติในเมืองละกอน ทุกคนมาชุมนุมโดยมีฐานะเพียงเป็น ‘คนอังกฤษด้วยกัน’ ไม่มีตำแหน่งผู้จัดการสถานีป่าไม้ นายห้าง หรือเจ้าของกิจการใด ๆ ละกอนสปอร์ตคลับยามนี้ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยริ้วกระดาษสี และธงยูเนียนแจ็ก

แม้ช่วงสิ้นปียังมีการเข้าป่าที่เรียกว่า ‘นีปปิ้ง’ คือการสำรวจไม้ซุงที่ตกค้างอยู่ตามแนวทางน้ำที่ล่องไปไม่ถึงปลายทาง แต่งานนี้ก็จะกินเวลาไปจนตลอดฤดูร้อน การนีปปิ้งช่วงปลายปีจึงเป็นงานที่มิได้เอาจริงเอาจังเท่าช่วงตัดไม้ นายห้างทั้งหลายจึงถือเป็นเวลาพักผ่อนหย่อนใจ

กิจกรรมมากมายเกิดขึ้นในสโมสร ทั้งกีฬากลางแจ้งอย่างเทนนิส คริกเก็ต หรือโปโล นายห้างบางคนที่ไม่ชอบกิจกรรมออกแรงแต่บริหารสมองมากกว่าจะชวนกันล้อมวงเล่นไพ่บริดจ์ ส่วนผู้ปรารถนาความสงบก็จะปลีกวิเวกอยู่กับหนังสือสักเล่มในมุมหนึ่งของสโมสร จนกระทั่งถึงตอนสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าท่ามกลางควันซิการ์ ยาสูบ เคล้ากับเครื่องดื่มรสอ่อนจนถึงร้อนแรง ทุกคนก็จะมารวมกันที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเปิดโล่งรับลมเย็น ผลัดกันเล่าประสบการณ์ในปางไม้ที่พบเจอ อันประกอบด้วยเรื่องน่าตื่นเต้น เรื่องชวนขบขัน และเหตุการณ์อันเศร้าหมอง

คริสต์มาสปีนี้เป็นการฉลองที่เงียบเหงาเศร้าหมอง

ไม่มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเลยในช่วงของการสมาคม หากจะมีปนอยู่บ้างก็เป็นไปอย่างฝืดฝืนเพื่อพยายามดึงให้บรรยากาศรื่นเริง ทั้งที่ไม่เป็นผล

วิลเลียมนั่งลงที่หน้าเปียโน พรมนิ้วไล่เสียงครู่เดียวก็เล่นเพลงที่เหล่านายห้างทั้งหลายคุ้นเคย

Say, darling say, when I’m far away. Sometimes you may think of me, dear.

ลีรอยควักหีบเพลงที่พกติดกายอยู่เสมอขึ้นมาเป่าคลอไปกับเสียงเปียโน ข่มอารมณ์สะเทือนใจให้สามารถเป่าได้จนจบเพลง หากกระนั้นบางช่วงก็มิอาจกลั้นน้ำตาที่รินไหลเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

ความเงียบครอบคลุมสรรพสิ่งรอบกายไปอีกหลายอึดใจเมื่อเพลงจบ ราวกับทุกคนในที่นั้นยังไม่เชื่อว่าผู้เป็นเสมือนเจ้าของเพลงนี้ได้จากไปแล้วชั่วนิรันดร์

หลุยส์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ รำลึกถึงผู้ที่จากไป

“เป็น Spanish Cavalier ที่เศร้าที่สุดที่เราเคยได้ฟังกัน คริสต์มาสไร้ดาวปีนี้ คอร์นีย์ มิลเลอร์จะอยู่ในความทรงจำของเราไปอีกแสนนาน”

 

สองวันก่อนหน้านี้ ทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ

ชาวอังกฤษในเมืองละกอนมาชุมนุมกันที่สปอร์ตคลับเช่นเคย แม้ไม่พร้อมหน้าแต่ก็รู้ว่าในคืนฉลองคริสต์มาสทุกคนจะมาพร้อมหน้ากัน ซึ่งในวันนั้นจะขาดไปก็เพียงแค่หมอและมิสซิสสจ๊วต ด้วยเหตุว่าหมอสจ๊วตไม่นิยมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่การฉลองคริสต์มาสซึ่งถือเป็นวันหยุดหรือฮอลิเดย์ของเหล่าชาวอังกฤษที่นี่ เหล้าหลายชนิดจะเรียงกันมาให้ดื่มสังสรรค์กันจนหนำใจให้เมายิ่งกว่าหัวราน้ำ เรียกกันเล่น ๆ จนติดปากต่อมาในภายหลังว่าฉลอง ‘แอลกอลิเดย์’

อย่างไรก็ดี หมอสจ๊วตถือว่าเป็นผู้ใหญ่ในสังคมชาวอังกฤษที่นี่ การไม่ร่วมฉลองวันสำคัญเช่นนี้ก็ดูกระไรอยู่ หมอสจ๊วตจึงจัดเลี้ยงที่บ้านก่อนถึงวันคริสต์มาส เชิญชาวอังกฤษในเมืองละกอนราวสามสิบคนมาชุมนุมกัน บรรดานายห้างป่าไม้ก็ถือเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับฉลองแอลกอลิเดย์ แต่เรียกการฉลองที่บ้านหมอสจ๊วตว่าเทศกาลยุล ซึ่งหมอสจ๊วตก็ค่อนข้างพอใจ และไม่ถือสาว่ามีนัยหยอกล้ออยู่ในคำเรียกนั้น

ในอดีต…การฉลองคริสต์มาสในอังกฤษเรียกว่า ‘เทศกาลยุล’ เป็นการฉลองต้อนรับแสงตะวันเมื่อผ่านพ้นคืนกลางฤดูหนาวไปแล้ว เทพแห่งแสงตะวันจะค่อย ๆ ประทานความอบอุ่นเรื่อยไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ส่วนที่หมอสจ๊วตมองข้ามเรื่องการหยอกล้อนั้น เพราะการเรียกเทศกาลยุลเป็นการเรียกอย่างเก่า เท่ากับบอกว่าหมอสจ๊วตเป็นคนหัวโบราณขนาดหนัก

แต่นายห้างบางคนก็เอาใจหมอสจ๊วตด้วยการเรียกคำที่ใหม่กว่าว่า ฟาเธอร์คริสต์มาส

ในฐานะเจ้าของบ้าน หมอสจ๊วตต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับการรับรองแขกกว่าสามสิบคน ลำพังลูกจ้างประจำแค่สองคนก็ช่วยกันได้ แต่ก็อาจจะเหนื่อยเกินไปไม่มีเวลาพัก เมืองจึงอาสามาช่วยพร้อมกับคนงานจากปางไม้อีกจำนวนหนึ่ง

เช่นเดียวกับมุ่ยที่ต้องวุ่นวายอยู่ในครัวหน้าเป็นมันเพื่อเป็นลูกมือมิสซิสสจ๊วตและเบ็ตตี้ เตรียมอาหารหวานคาวหลายอย่างที่เบ็ตตี้หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องทำอย่างดีที่สุด และเป็นไปตามธรรมเนียมการฉลองเทศกาลยุล

ไก่หลายตัวถูกยัดไส้เรียงไว้ในถาดรออบ อีกโต๊ะหนึ่งมีแป้งเตรียมร่อนเพื่อทำมินซ์พายและยอร์กเชอร์พุดดิ้ง ผักสดหลายชนิดอยู่ในตะกร้า

“มุ่ย ล้างมันฝรั่งให้สะอาดนะ อย่าให้เหลือเศษดินติด”

เบ็ตตี้สั่งการแล้วหันไปจัดการสับผลไม้แห้งเป็นชิ้นหยาบ ๆ เพื่อผสมกับไก่ทำไส้มินซ์พาย

ความวุ่นวายในครัวดำเนินไปจนกระทั่งแขกกลุ่มแรกมาถึงก่อนเวลา เพราะอยากมานั่งเล่นหย่อนใจสนทนาด้วยเรื่องเบา ๆ ก่อนถึงมื้อค่ำ แต่นั่นถือว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างไม่เป็นทางการ ในฐานะเจ้าบ้านที่ดีต้องรับรองแขกไว้ก่อน

“เพิ่งดินเนอร์กันเสร็จ จะถึงเวลาน้ำชาแล้วหรือนี่”

เบ็ตตี้บ่น แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขใจมากกว่าจะตำหนิแขกผู้มาก่อนเวลา

มุ่ยยกตะกร้ามันฝรั่งที่ล้างสะอาดแล้วขึ้นมาวางบนโต๊ะเพื่อจะถามว่าให้จัดการอย่างไรต่อ แต่สะดุดคำพูดของเบ็ตตี้ขึ้นมาเสียก่อน จึงถามออกไป

“ยังไม่ถึงมื้อค่ำเลย ทำไมแหม่มถึงว่าดินเนอร์เพิ่งเสร็จคะ”

เบ็ตตี้กำลังเปิดฝาหม้อต้มผัก ไอน้ำลอยขึ้นมากระทบหน้าจนร้อน คำถามของมุ่ยก่อความรำคาญให้หล่อน จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงตำหนิ

“คนอังกฤษทางเหนือน่ะ เขาเรียกอาหารเที่ยงว่าดินเนอร์จ้ะ ส่วน tea หรือน้ำชา หมายถึงมื้อค่ำ” เบ็ตตี้หันไปทางมิสซิสสจ๊วต ส่งสายตามีคำถามออกไปแต่แล้วก็ระงับทั้งอารมณ์และคำพูดว่า…มิสซิสสจ๊วตไม่เคยสอนลูกศิษย์หรือคะ…ไว้ได้

“มันอะลูล้างแล้ว จะให้ยะจะใดต่อ”

มุ่ยจงใจใช้คำเมืองเพื่อตอบโต้ เพราะเบ็ตตี้เป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมเรียนรู้ภาษาถิ่นเหมือนวิลเลียมและลีรอย หลายครั้งหล่อนจึงไม่เข้าใจว่าพูดเรื่องอะไรกันอยู่

แต่คราวนี้หล่อนฟังออกเพราะเป็นประโยคง่าย ๆ มันอะลูก็คือมันฝรั่ง

“เอาไปต้ม ต้มแบบข้างนอกสุก แต่ข้างในยังดิบแข็งน่ะ ทำได้ไหม” น้ำเสียงนั้นดูแคลนอยู่กลาย ๆ

“บ่ได้” มุ่ยตอบทันที “มื้อนี้สำคัญ มีแต่อาหารที่ต้องปรุงอย่างต้นตำรับ เฮาบ่ใช่กุลาเผือก ยะ…บ่…จ้าง” มุ่ยเน้นคำท้ายอย่างจงใจกระแทกเสียงว่า ทำ-ไม่-เป็น

มุ่ยพาตัวเองออกไปจากครัว อีกราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเมื่อเบ็ตตี้ยกขนมและน้ำชาออกไปรับรองแขก หล่อนก็พบว่าสองพี่น้อง…เมืองและมุ่ย…รวมกลุ่มสนทนากับแขกอย่างคุ้นเคย

เบ็ตตี้ไม่อาจทำอะไรได้ เพราะที่นี่คือบ้านหมอสจ๊วต หลายครั้งที่ชาวอังกฤษจะจัดงานสมาคมกันและหารือเรื่องสถานที่ เบ็ตตี้จะเห็นด้วยเสมอว่าควรจัดที่สปอร์ตคลับ แม้จะอ้างเรื่องความสะดวกสบาย แต่เหตุผลที่แท้จริงของหล่อนก็คือ ที่สโมสรนั้นจะมีแต่สมาชิกชาวอังกฤษ ไม่มีคนพื้นเมืองปะปน

แต่วันนี้…หญิงสาวได้แต่ขุ่นเคืองใจที่เห็นมุ่ยและเมืองลอยหน้าสนทนากับเพื่อนร่วมชาติของหล่อน แต่ไม่มีโอกาสจะขัดคออย่างใด เพราะงานในครัวยังวุ่นและเหลือคนทำเพียงสองคน จนกระทั่งเตรียมอาหารเสร็จก่อนตั้งโต๊ะ เบ็ตตี้มีเวลาเหลือเล็กน้อยพอจะล้างหน้า ลูบเนื้อลูบตัวให้สดชื่น ผลัดชุดใหม่เพื่อออกมารับแขกในฐานะหลานสาวของหมอสจ๊วต

รอยยิ้มของเบ็ตตี้เกิดจากคำชมของแขกเรื่องอาหารรสมือหล่อน ไม่ว่าจะเป็นมินซ์พายที่แป้งกรอบร่วนหอมเนย รสเค็มนิด ๆ เข้ากับไส้ที่เคล้ากันได้อย่างดี

“ไส้ไก่กับผลไม้เชื่อมนี่กลมกล่อมดีจริง ๆ กินเข้าไปแล้วคิดถึงคริสต์มาสที่บ้าน”

เบ็ตตี้รู้ว่าเขาพูดจริง มิได้แสร้งยกยอเอาใจ หากกระนั้นหญิงสาวก็ตอบอย่างถ่อมตัว

“เนื้อสัตว์กับผลไม้ปรุงให้เข้ากันได้ยากค่ะ เพราะทั้งคาวและหวาน ที่นี่หาเครื่องเทศไม่ยาก แต่ผลไม้อบผลไม้เชื่อมนี่เป็นปัญหาหน่อย ต้องใช้กล้วยตากกับลูกพลับแห้งเป็นพื้น ดีหน่อยที่ได้ลูกเกดจากพ่อค้าจีน เลยพอจะทำให้รสชาติใกล้เคียงกับต้นตำรับได้ค่ะ”

“ใกล้เคียงอะไรกันเล่า พายนี่รสดีจนคิดว่าตอนนี้เรากินกันที่อังกฤษเลยทีเดียว”

เบ็ตตี้หน้าบาน เอียงหลบน้อย ๆ ด้วยความอาย แต่ก็กระหยิ่มใจอยู่มากต่อคำชมที่ได้รับมาไม่ขาดสาย

ผักต้มและมันฝรั่งอบก็ได้รับคำชมแบบเดียวกัน ในลักษณะที่ว่าทำตามต้นตำรับเดิม คือผักต้มให้สุกเกือบเละ ซึ่งเป็นธรรมเนียมของอาหารคริสต์มาส ส่วนมันฝรั่งอบที่สุกนอกแต่ข้างในดิบนั้นก็ถือว่าคนปรุงมีฝีมือในการทำครัวได้อย่างดียิ่ง

การฉลองดำเนินไปสักครู่จึงมีคนตั้งข้อสังเกตและถามขึ้นมาว่า

“คุณมิลเลอร์ กับคุณบลูมเมอร์ยังไม่มาอีกหรือ?”

วิลเลียมจึงตอบไป

“แพทริกกับลีรอยไปประชุมกับออฟฟิศที่เชียงใหม่” เพราะสำนักงานหลักของภูมิภาคอยู่ที่นั่น ทั้งสองคนเดินทางไปหลายวันแล้ว “คาดว่าน่าจะกลับมาถึงเย็นนี้ แต่ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าถ้าถึงเวลาฉลองก็ให้เริ่มกันเลยไม่ต้องคอย อีกสักครู่เขาคงมาสมทบกับเรา”

จนอาหารค่ำอันยาวนานจบสิ้นลง ก็ยังไม่ปรากฏเงาของแพทริกและลีรอย

หมอสจ๊วตจึงชวนให้อยู่สนทนากันต่ออีกสักนิด

เบ็ตตี้เตรียมเอ็กน็อกมาแจกจ่าย เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากนม ไข่ และน้ำตาล ซึ่งถ้าจะให้เต็มสูตรต้องผสมเหล้าลงไปด้วย แต่แขกที่รับไปดื่มก็ทำหน้าสงสัย ถามแกมหยอก

“ผมกำลังคิดว่าเอ็กน็อกนี้มีเหล้าผสมหรือเปล่า ถ้าหากจะมีก็คงเบาบางเต็มที”

เบ็ตตี้หัวเราะน้อย ๆ หากไม่ตอบว่าหล่อนผสมเหล้าลงไปหรือไม่ เพราะหมอสจ๊วตไม่ยอมแตะ แม้มิสซิสสจ๊วตจะรับรองกับสามีว่าหล่อนไม่ได้ผสมเหล้าลงไปเลยแม้ครึ่งหยด

ในนาทีต่อมา แขกทุกคนก็พักผ่อนอิริยาบถในมุมต่าง ๆ ของห้องนั่งเล่น เพราะแขกมากจึงไม่มีใครสนใจใครเป็นพิเศษมากกว่ากิจกรรมตรงหน้า แม้แต่วิลเลียมก็ไม่สังเกตว่ามุ่ยหายไปจากห้องนั้น ทั้งที่ในบ้านหมอสจ๊วต มุ่ยและเมืองสองพี่น้องสามารถอยู่ร่วมกับชาวอังกฤษทุกคนได้ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่เสมอกัน วิลเลียมเพิ่งรู้ตัวตอนที่มุ่ยเข้ามาสะกิดเขา กระซิบเบา ๆ ราวกับบอกเรื่องลับว่า

“เฮาตั้งน้ำไว้ข้างนอก ถ้าไผคอแห้งก็ออกไปกินได้ นายห้างบอกเพื่อน ๆ ตวยเน่อ”

วิลเลียมรับฟังอย่างไม่เข้าใจนักว่า กับเรื่องน้ำดื่มทำไมมุ่ยดูจริงจังนัก ยังไม่ทันจะจับตัวซักเพื่อหาความไม่ชอบมาพากลนี้ มุ่ยก็ผละไปกระซิบกระซาบกับโทมัส ทำทีหรี่ตาอย่างมีนัย โทมัสก็ลูบคางยิ้มออกมาอย่างพึงใจแล้วเดินออกไปจากห้อง

ครู่เดียวโทมัสก็กลับเข้ามาในห้องนั่งเล่น กระซิบบอกนายห้างคนอื่น ๆ จากนั้นก็คล้ายกับว่าต่างคนต่าง ‘คอแห้ง’ ขอตัวละจากวงไพ่ไปดื่มน้ำแก้กระหายสักหน่อย บางคนคอแห้งบ่อย เดินเข้า-ออกหลายรอบจนรอบหลัง ๆ เห็นชัดว่าหน้าแดงลงไปถึงคอ

วิลเลียมชัดตงิดใจ สังเกตแต่ละคนที่กลับมาจาก ‘ดื่มน้ำ’ เข้ามาพูดจากับมุ่ย แล้วมุ่ยก็ยิ้มรื่น เขาจึงออกไปที่ระเบียง รินน้ำใสจากเหยือกลงแก้ว เพื่อนนายห้างคนหนึ่งรีบท้วงให้เบามือ

“นิดเดียวก่อนเถอะ ดื่มมากขนาดนั้น เดินกลับไม่ตรงกันพอดี”

วิลเลียมยกน้ำใสแจ๋วนั้นจิบไปนิดเดียวก็รู้สึกเหมือนลูกไฟดวงน้อยแล่นผ่านลำคอเข้าไปแล้วเผาอยู่ในช่องท้อง เพื่อนนายห้างหัวเราะหึ ๆ แล้วบอกแก่กันว่า

“ใครออกมานานแล้วรีบกลับเข้าไป เดี๋ยวหมอสจ๊วตจับได้ละยุ่ง เป็นอันอดกันทุกคน”

หลังตั้งสติจากความมึนงงชั่วครู่และจับต้นชนปลายถึงอาการ ‘คอแห้ง’ ที่กลายเป็นโรคติดต่อฉับพลันในตอนนี้ได้ วิลเลียมก็ตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อจะคาดโทษกับมุ่ย ค่าที่เอาใจนายห้างทั้งหลายให้สำราญทั้งที่เป็นการแหกกฎในบ้านหมอสจ๊วต

วิลเลียมฉุดแขนมุ่ยไปชำระความที่ด้านหนึ่งมิให้คนในห้องผิดสังเกต แต่กลับถูกย้อน

“ถ้านายห้างจะเอาโทษเฮา ก็ต้องเอาโทษแหม่มตวย” มุ่ยส่งสายตาท้าทายกลับไป “นายห้างบ่รู้กา ว่าเอ็กน็อกที่แหม่มเสิร์ฟน่ะ ใส่เหล้าตวย มีแค่บางแก้วที่เสิร์ฟในวงหมอสจ๊วตเท่าอั้นละ ที่บ่ใส่เหล้า”

วิลเลียมพูดไม่ออก และดูจะเปล่าประโยชน์ที่จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ เพราะขณะนี้แขกทุกคนล้วนหน้าแดงกันถ้วนทั่ว บางคนเดินเปะปะไม่ตรงทาง บางคนก็พูดจาอ้อแอ้ และที่สำคัญก็คือ หมอสจ๊วตลุกจากห้องนั่งเล่นเพื่อไปดูจุดบริการ ‘น้ำดื่ม’ ที่ระเบียงบ้านด้วยความสงสัย

“วันนี้อากาศก็ไม่ร้อนมาก ทำไมหน้าแดงกันไปหมด” หมอสจ๊วตพึมพำ

เหล้ากลั่นเองที่มุ่ยเตรียมไว้ให้บริการกลายเป็นเครื่องผูกมิตรให้นายห้างทุกคนเป็นพวกเดียวกัน ก่อนที่หมอสจ๊วตจะไปถึงจุดนั้น เหยือกเหล้าก็ถูกสับเปลี่ยนเป็นเหยือกน้ำเปล่าโดยเร็ว เมื่อหมอสจ๊วตตรวจสอบจึงพบว่า

“ก็น้ำเปล่านี่นา แต่ทำไมหน้าแดงกันเกือบทุกคนอย่างนี้”

ดึกมากแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าแพทริกกับลีรอยจะมาถึง และแขกหลายคนป้อแป้เต็มทีแล้ว จึงต่างเริ่มขอตัวจะลากลับเป็นการเลี่ยงตอบคำถามหมอสจ๊วตอีกทางหนึ่ง นัดหมายอีกครั้งในวันคริสต์มาสที่สโมสร

จังหวะนั้นเองที่ลีรอยควบม้าเข้ามา

เมื่ออยู่ในแสงตะเกียง ทุกคนจึงได้เห็นว่าหน้าตาของเขาทั้งอิดโรย มอมแมม และชื้นไปด้วยเหงื่อ ในขณะดวงตาบวมช้ำแต่ก็มีความตกตะลึงระคนหวาดกลัวฉายออกมา ทุกคนรู้ว่าน่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจึงปรี่เข้าไปช่วยประคองเขาลงจากหลังม้า วิลเลียมพาเพื่อนไปนั่งเก้าอี้ สัมผัสได้ถึงเนื้อตัวสั่นระริกดุจคนที่ยังไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

ลีรอยปากสั่น มือสั่น พูดอะไรไม่ออก น้ำตาไหลพรากออกมาดุจมีเรื่องสะเทือนใจสุดชีวิต แต่ยังหาคำพูดที่จะถ่ายทอดออกมาไม่ได้ ใครบางคนร้องว่าหาอะไรอุ่น ๆ มาให้เขาหน่อย มิสซิสสจ๊วตจึงส่งผ้าคลุมหนามาให้ พร้อมกับที่นายห้างคนหนึ่งรินเหล้าใส่จอกเล็กส่งให้เขา

ราวกับว่าความร้อนจากเหล้าจอกนั้นเป็นค้อนทุบอุปสรรคแห่งความพรั่นพรึงให้ทลาย ลีรอยโพล่งออกมาในที่สุดว่า

“แพทริกตายแล้ว! แพทริกตายแล้ว! เขาถูกยิงตาย”

ความเงียบงันครอบคลุมอยู่ชั่วขณะ ลมหยุดพัด ใบไม้ไม่ไหวติง ราวโลกหยุดหมุน คล้ายกับทุกคนงงงันอยู่ว่าสิ่งที่ลีรอยบอกออกมานั้นเป็นความจริงแท้หรือไม่

ในวินาทีต่อมา อาการเมาก็ดูจะหายกันเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีใครรอช้า ต่างควบม้าพากันไปยังป่าที่เกิดเหตุ ร่างไร้วิญญาณของแพทริกยังอยู่ที่นั่น คนงานคอยเฝ้าไว้มิให้เสือลากไปเป็นอาหารมื้อโอชะ

ตอนสายของวันใหม่ ร่างของแพทริกจึงคืนมาสู่สถานีป่าไม้

 

การจากไปของแพทริก มิลเลอร์ ก่อบาดแผลในใจให้แก่วิลเลียม ความรู้สึกผิดกัดกินอารมณ์ของเขาให้เศร้าหมองทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ วิลเลียมโทษตัวเองว่าเขาเป็นต้นเหตุให้แพทริกเสียชีวิต

“ถ้าวันนั้นฉันไม่ป่วย แพทริกก็ไม่ต้องเดินทาง” วิลเลียมรำพึงกับลีรอยบ่อยครั้งที่เขาจมอยู่กับการโทษตัวเอง

การไปเชียงใหม่ครั้งนั้นสำคัญ เพราะเป็นการประชุมเรื่องการปรับค่าภาษีตอไม้และการกำหนดค่าจ้างคนงานใหม่ วิลเลียมต้องไปในฐานะผู้จัดการสถานีป่าไม้ และลีรอยไปในฐานะฝ่ายบัญชีฝึกหัด ส่วนแพทริกนั้นไม่นิยมการเดินทางไกลอยู่แล้ว เขาพอใจที่จะนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานหลายชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหน ขอเพียงแต่ตรงหน้ามีสมุดบัญชีและตัวเลขเท่านั้น เขาก็เพลินกับการคำนวณได้เป็นวัน

แต่ครั้นถึงวันเดินทางวิลเลียมเกิดท้องเสียและมีไข้ สันนิษฐานว่าเกิดจากมื้อเย็นวันวานเขากินยำหน่อไม้ดอง จะเลื่อนวันเดินทางออกไปก็ไม่ได้ เพราะเป็นการประชุมร่วมกันจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเพราะประเด็นสำคัญในการประชุมนี้คือเรื่องการเงินของปางไม้ ครั้นจะให้โทมัสไปเป็นตัวแทน เขาก็เด่นไปในทางห่ามและมุทะลุมากกว่าเป็นคนละเอียดรอบคอบในรายละเอียดยิบย่อยที่อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวง แพทริกจึงตัดสินใจว่าเขาจะเดินทางไปประชุมที่เชียงใหม่ในคราวนี้เอง

ในวันนั้น วิลเลียมยังขอบอกขอบใจแกมสำนึกผิดอยู่ในทีที่ทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ แต่อีกหลายคนก็มองว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้แพทริกลุกออกจากโต๊ะทำงานของเขาได้เสียบ้าง เสียงหยอกเย้าปนหัวเราะยังดังเป็นระยะจนคณะเดินทางเคลื่อนออกไปจากปางไม้ อย่างน้อยเมื่อแพทริกกลับมา น้ำหนักเขาอาจจะลดลงไปสักสี่ปอนด์

“การประชุมที่เชียงใหม่ล่าช้าไปนิดหน่อย แต่เราก็รีบกลับมาทันทีที่ประชุมเสร็จ กะว่าทันร่วมเทศกาลยุล” ลีรอยเล่าเรื่องขากลับ โดยระวังไม่เอ่ยว่าที่การเดินทางช้ากว่าปกติเป็นเพราะความไม่คล่องตัวของแพทริก เขาเหนื่อยง่ายและต้องหยุดพักบ่อย ลีรอยพูดรวม ๆ ไปเพียงว่า “เราเดินทางช้า กะเวลาพลาดไปหน่อย จนตะวันจวนลับฟ้าเรายังไม่ออกจากป่า เลยตกลงกันว่าค้างในป่าเสียหนึ่งคืน ดีกว่าฝืนเดินทางต่อทั้งเหนื่อยล้าและฟ้าเริ่มมืดลงทุกที แม้จะไม่ได้มาร่วมมื้อสำคัญที่บ้านหมอสจ๊วต แต่เชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจ เรายังมีคริสต์มาสให้สังสรรค์กันอยู่”

ลีรอยเสียงเครือเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้

“แพทริกยังว่า เขาเตรียมมุกใหม่ ๆ ไว้เล่นให้เราฟัง”

ทุกคนนิ่งงัน นึกถึงฝีมือดีดเปียโนและฝีปากในการเล่าเรื่องขำขันแกมล้อเลียนเสียดสีที่ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากเพื่อนฝูงนายห้างปางไม้ ว่าเขาคือ คอร์นีย์ มิลเลอร์ แห่งป่าเมืองละกอน

ลีรอยเล่าว่า เมื่อตัดสินใจตั้งเต็นท์พักแรมในป่า แพทริกก็ควบคุมคนงานให้แบกหีบใส่เงินรูปีที่บรรทุกมาบนหลังช้างไปไว้ในเต็นท์ กำชับให้ร้อยโซ่พ่วงติดกันทุกใบ แม้ใครจะมองว่าเขาระแวงเกินเหตุแต่แพทริกก็ไม่สนใจ ยังคงรักษาความปลอดภัยของหีบเงินไว้อย่างสุดความสามารถ

จัดการกับหีบเงินแล้ว แพทริกและลีรอยก็ออกมานั่งเก้าอี้สนามหน้าเต็นท์ เอนหลังสูบไปป์ข้างกองไฟที่ก่อขึ้นเพื่อไล่ยุงและให้ความอบอุ่น ผสานไปกับกลิ่นน้ำมันก๊าดจากตะเกียงที่ให้แสงสลัว ๆ พอจะทบทวนบัญชีได้

โดยไม่มีสัญญาณใดนำมาก่อนล่วงหน้า

ปัง! ปัง! ปัง!

ลูกกระสุนที่ยังไม่เห็นคนยิงส่งร่างของแพทริกกระเด็นจากเก้าอี้ไปกองอยู่บนพื้น ลีรอยได้รับบาดเจ็บแขนซ้ายถูกยิงทะลุ แต่ด้วยสัญชาตญาณ เขาก็คว้าปืนสั้นที่ติดกายกระโจนเข้าไปหลบในเต็นท์ คอยระวังหีบเงิน ตอนนี้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีภัยจึงตั้งรับสวนกลับโจรที่ซุ่มจู่โจมจนฝ่ายนั้นล่าถอยไปโดยไม่ได้อะไรติดมือ นอกจากชีวิตของแพทริก

แต่นั่นคือการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับเพื่อนพ้องนายห้างปางไม้

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีใครทันตั้งตัว รู้ตัวอีกที แพทริกก็ล้มไปกองอยู่กับพื้นแล้ว” ลีรอยเสียงเครือเมื่อพยายามปลอบใจตัวเอง “ฉันคิดว่าอาจจะดีก็ได้ ที่เขายังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เจ็บปวดทุรนทุรายก่อนเดินทางไปสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้า”

“นายเห็นหน้ามันไหม ไอ้พวกโจรที่ซุ่มปล้นเรา” วิลเลียมถาม

“เห็นสิ แม้จะค่ำ แต่ฉันก็เห็นหน้ามันถนัดตา โดยเฉพาะไอ้ตัวหัวหน้า ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันจงใจให้เรารู้ว่ามันเป็นใคร เพราะในขณะที่คนอื่นเอาผ้าปิดหน้าหมด ไอ้หัวหน้าคนเดียวที่ไม่ปิดบังอะไรเลย”

“มันเป็นใคร?” วิลเลียมถามอีกครั้ง ทว่าคราวนี้น้ำเสียงเกรี้ยว

คำตอบทำให้เขาเย็นวาบไปตลอดตัวราวกับถูกน้ำเย็นราดตั้งแต่หัวจรดเท้าในคืนที่หนาวที่สุดในฤดูเหมันต์

“หม่องฮูโอ”

คำตอบของลีรอยตอกย้ำให้วิลเลียมมั่นใจว่าฝ่ายนั้นต้องการแก้แค้นเขา หมายเอาคืนให้ถึงชีวิต แต่เคราะห์ร้ายกลับไปตกที่แพทริก ต้องมารับเคราะห์แทนวิลเลียมในครานี้

วิลเลียมจึงยิ่งโทษตัวเองหนักขึ้นว่าเขาเป็นสาเหตุให้แพทริกต้องมีจุดจบเช่นนี้

คริสต์มาสปีนี้เป็นคืนไร้ดาว อากาศเย็นสบายกลับหนาวจนเยือกไปถึงหัวใจเมื่อเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ วิลเลียมนั่งประจำอยู่หน้าเปียโน เล่นเพลง Spanish Cavalier ที่เป็นเสมือนตัวแทนของแพทริก

แอลกอลิเดย์ปีนี้ไม่ใช่ปีที่เริงรื่น เมื่อต้องเปลี่ยนจากการฉลองเป็นการไว้อาลัยให้แก่แพทริก มิลเลอร์ เขาเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเพื่อสนับสนุนกิจการของสโมสรแห่งนี้ ถัดจากปีนั้น เรื่องราวของแพทริก หรือคอร์นีย์ มิลเลอร์…ตามที่เพื่อน ๆ ตั้งสมญาให้…นายห้างป่าไม้แห่งเมืองละกอนก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องเศร้าที่เหล่านายห้างนำมาเล่าสู่กันฟัง เรื่องราวของชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งที่เดินทางจากมาตุภูมิไกลโพ้นมาสู่ป่าสักทางเหนือของสยาม

แต่ไม่มีโอกาสได้คืนกลับไป

ร่างของเขาถูกฝังไว้กับเพื่อนฝูงผู้เดินทางไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าก่อนหน้านี้

หลับสนิทชั่วกาลในสุสานชาวต่างชาติใกล้สโมสรยิมคานาที่เชียงใหม่

 

เรื่องน่ายินดีที่ทำให้รอยยิ้มกลับคืนสู่ปางไม้อีกครั้งก็คือ มิสเตอร์อีแวนเดอร์ได้ลูกชาย

นางหนูเจ็บท้องในคืนหนึ่งที่ครรภ์แก่จวนคลอด ไม่นานทารกน้อยก็พ้นจากครรภ์มารดาอย่างง่ายดาย แข็งแรงปลอดภัยทั้งแม่และลูก มุ่ยคอยช่วงเหลือนางหนูตลอดช่วงเวลาที่ต้องอยู่ไฟด้วยความสนิทสนมรักใคร่ห่วงใยไม่ผิดกับพี่สาว ในขณะที่เบ็ตตี้มองเรื่องนี้อย่างไม่เข้าใจ ว่ามันเรื่องอะไรเอาคนคลอดใหม่ ๆ ไปย่างไฟอ่อนเหมือนทำขนมผิง แม้หมอสจ๊วตจะอธิบายว่าเป็นวิธีการพักฟื้นหลังคลอดของคนที่นี่ ช่วยให้มดลูกเข้าอู่และปรับสมดุลร่างกายให้คงเดิม เบ็ตตี้ก็ยังส่ายหน้าไม่เห็นด้วยอยู่ดี

ผู้ที่มีความสุขที่สุดในเรื่องนี้หนีไม่พ้นมิสเตอร์อีแวนเดอร์

เขาไม่เบื่อหน่ายที่จะพูดถึงลูกซ้ำ ๆ ไม่เบื่อที่จะเชื้อเชิญเพื่อนฝูงเข้าไปดูลูกชายในห่อผ้าไม่ว่าทารกน้อยจะหลับหรือตื่น ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับลูกชายเป็นสิ่งน่าดูน่าพูดถึงได้ไม่รู้เบื่อ เขาอยากอุ้มลูกออกไปอวดใคร ๆ ข้างนอก นางหนูก็ต้องปรามเสียงอ่อนว่าลูกยังไม่แข็งแรง

“ร้องเสียงดังขนาดนี้ แปลว่าปอดแข็งแรง” มิสเตอร์อีแวนเดอร์บอกภรรยาและประกาศกับทุกคน “เจ้าหนูมีเลือดไอริชอยู่ในตัว ไม่มีทางจะอ่อนแอขี้โรคได้หรอก”

ไม่มีใครค้านมิสเตอร์อีแวนเดอร์ ไม่ใช่เพราะเห็นด้วยจึงคล้อยตาม แต่รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่ค้านคนที่กำลัง ‘เห่อ’ ลูกไม่ลืมหูลืมตา เลยพลอยพยักไปกับทุกเรื่องที่เขาหลงใหลได้ปลื้ม

ครั้นครบกำหนดอยู่ไฟ มิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็อุ้มห่อลูกชายร่อนไปทั่วปางไม้ ทารกน้อยก็ดูจะเป็นใจให้พ่ออยู่โข เพราะไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยกลับมาเลยสักครั้ง ยิ่งวันยิ่งเห็นชัดว่าแข็งแรงสมบูรณ์

ในวันขึ้นปีใหม่ของคนเหนือหรือที่คนบางกอกเรียกว่าสงกรานต์นั้นเป็นวันบุญใหญ่ ชาวบ้านไปทำบุญกันที่วัดและขนทรายจากแม่น้ำไปก่อเจดีย์ทราย มิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็หมายใจว่าจะอวดลูกชายให้ได้เห็นทั่วกัน ในวันนั้นเขาจึงบรรจงแต่งตัวเป็นพิเศษด้วยชุดอย่างสกอต ไม่ลืมคิลท์ผืนงามผูกไว้รอบเอว และไม่สวมรองเท้า อันเป็นภาพจำของ ‘นายฝรั่งต้นคอแดง’ สำหรับชาวบ้านที่นี่

นางหนูแต่ตัวงามกว่าที่เคยมา เมื่อพานพบเพื่อนฝูงหลายคนก็หยอกล้อเรียกขานว่า ‘แม่เลี้ยง’ นางหนูก็ยังเขินทำตัวไม่ถูก แต่จะปฏิเสธก็ใช่ที่ เพราะมิสเตอร์อีแวนเดอร์เป็นผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งคนหนึ่งเป็นที่รู้กัน การที่นางหนูให้ทายาทเป็นชายและพ่อเด็กแสดงตัวว่ารักหลงลูกชายขนาดนี้ ก็แปลว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดย่อมตกเป็นของลูกรัก นางหนูก็สมควรถูกเรียกว่าแม่เลี้ยง ตามที่ใช้เรียกอย่างยกย่องผู้มีทรัพย์และบารมี

ถ้าจะมีใครสักคนไม่ชอบใจเรื่องนี้ ก็คงเป็นเจ้านางนกน้อย

เจ้านางอยู่ในซุ้มสืบชะตาในวิหารหลวงเมื่อนางหนูและสามีเข้าไป เสียงทักทายหยอกล้อจากเพื่อนฝูงดังหึ่ง ๆ ก่อความรำคาญใจให้แก่เจ้านาง แต่เพราะยังอยู่ในพิธี เจ้านางจึงได้แต่เพียงปรายตามองและสะบัดเมินกลับเมื่อนางหนูแสดงความคารวะ

จนกระทั่งเสร็จพิธีออกมาหน้าวิหาร นางหนูก็อุ้มลูกชายเข้ามาหาเจ้านางนกน้อย รวบรวมความกล้าบอกไปว่า

“ลูกจายข้าเจ้าเกิดแล้ว ขอเจ้านางปั๋นปอน…อวยพร…ให้หน้อยเต๊อะ”

เจ้านางนกน้อยเหยียดปากราวเห็นสิ่งน่ารังเกียจอยู่ตรงหน้า กุลาเผือกร่างใหญ่ในชุดประหลาดด้วยกระโปรงสีแดงที่อยู่ด้วยยิ่งจุดอารมณ์ชิงชังให้ลุกโพลงขึ้น

“ชื่ออะหยัง ลูกมึงน่ะ”

“ไอเดน” มิสเตอร์อีแวนเดอร์ตอบ ชื่อภาษาอังกฤษนั้นเขาเป็นคนตั้งให้ลูกเอง นางหนูก็ไม่ติดขัดอย่างใด เพียงแต่นางและคนท้องถิ่นออกเสียงเป็น…ไอ้เด่น

เจ้านางนกน้อยเหยียดปากเยาะ

“อยากได้พรจากกูนัก กูก็จะหื้อ…ขอให้มึงบ่เป็นสุขใจ บ่ได้อยู่พร้อมหน้า ป้อ แม่ ลูก”

“เจ้านาง…” นางหนูครางออกมา หวังว่าลูกของนางจะทำให้เจ้านางนกน้อยใจอ่อน ลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจที่แล้วมา แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งผูกใจเจ็บหนักขึ้นจนถึงสาปแช่ง

มิสเตอร์อีแวนเดอร์ดึงภรรยาออกมาจากตรงนั้น ขอร้องแกมยื่นคำขาดว่าเลิกใส่ใจกับหญิงใจร้ายเสียที นาทีต่อมา ครอบครัวของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็ไปร่วมกลุ่มกับหมู่นายห้างที่มาหาความเพลิดเพลินในงานปี๋ใหม่

แดดยามบ่ายร้อนจัดจนหลายคนหลบใต้ร่มไม้และศาลา ในขณะที่เด็ก ๆ และหนุ่มสาวถือโอกาสนี้เล่นสาดน้ำกัน มิสเตอร์อีแวนเดอร์ท้าทายแดดฝนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงอุ้มลูกชายเข้าไปร่วมวงเล่นน้ำด้วย

โดยไม่มีใครสังเกตเห็น หมาบ้าสีดำตัวหนึ่งวิ่งตรงเข้ามา ท่าทางของมันดูน่ากลัวทั้งตาขุ่นขวางและน้ำลายยืดย้อย สายน้ำที่สาดกันไปมาถูกตัวมันคล้ายกระตุ้นให้มันบ้ายิ่งขึ้น มันพุ่งเข้าฟัดมิสเตอร์อีแวนเดอร์ราวจะขย้ำให้จมเขี้ยว มิสเตอร์อีแวนเดอร์ก็ไม่อาจตอบโต้ได้เพราะอุ้มลูกชายไว้อยู่

วิลเลียมและลีรอยช่วยกันพามิสเตอร์อีแวนเดอร์ไปที่รักษาที่บ้านหมอสจ๊วต จนผ่านไปสามวันก็ดูท่าอาการจะทรุดลง หมอสจ๊วตรับตามตรงว่า

“ฉันเองก็สุดปัญญาจะแก้ไข แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสิ้นหวังแค่นี้นะ”

ทางออกของหมอสจ๊วตก็คือ ส่งตัวมิสเตอร์อีแวนเดอร์ไปรักษาที่สถาบันปาสเตอร์ที่กรุงไซ่ง่อน

ตอนจะแยกจากสามี นางหนูยังคร่ำครวญว่านี่อาจเป็นผลจากแรงสาปแช่งของเจ้านางนกน้อย และบางที…หมาบ้าตัวนั้นก็อาจเป็นฝีมือของเจ้านางเช่นกัน

ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้านางนกน้อยฝักใฝ่ในทางเวทมนตร์คุณไสยไม่แพ้กับพระอาจารย์ดัง ๆ

มิสเตอร์อีแวนเดอร์รู้ว่าที่นางหนูคร่ำครวญอย่างหนักเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ได้กลับมา เขาจึงให้คำมั่นกับภรรยาและฝากฝังกับวิลเลียม เมือง และมุ่ยว่า

“ฝากลูกเมียของฉันด้วย ฉันสัญญาด้วยเกียรติของชาวไอริช ว่าฉันจะกลับมาพร้อมลมหายใจ”

แรกทีเดียวนางหนูเสียใจที่ครอบครัวมีเหตุให้ต้องพลัดพราก แต่แล้วกลางปีนั้นเอง เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในเมืองละกอน มีผู้คนล้มตาย และบางคนก็ถูกตัดหัวเสียบประจานไว้หน้าคุ้ม ตอนนั้นเองที่นางหนูคิดว่าเป็นบุญยิ่งแล้วที่สามีของนางไม่อยู่ที่นี่

เพราะหากมิสเตอร์อีแวนเดอร์อยู่ตอนเกิดเรื่องนี้ เขาต้องเข้าร่วมโดยไม่ต้องสงสัย

เมื่อขาดเขาไป ผู้นำในการประจัญบานคราวนี้จึงเป็นวิลเลียม บรูค และหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์

 



Don`t copy text!