สาปแสงรัก บทที่ 18 : ระลึกชาติ

สาปแสงรัก บทที่ 18 : ระลึกชาติ

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

“พี่เดือน…วันนี้ทำข้าวหนมกระไรรึ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นมาที่เรือนไทย เมื่อเห็นพี่สาวกำลังนั่งปั้นขนมอยู่ที่นอกชานเขาก็เข้ามานั่งคุยด้วย

“พี่ทำข้าวหนมลูกชุบ เพิ่งจักริทำ คราก่อนป้าบุหลันส่งมาให้จากในวัง พี่รับแล้วชอบนักจึงเขียนหนังสือให้ท่านสาธยายตำรับมาให้” ผู้เป็นพี่สาวว่า

น้องชายเห็นถ้วยดินเผาใส่ถั่วที่นึ่งแล้วและถาดวางถั่วที่พี่สาวบรรจงปั้นเป็นผลไม้ลูกเล็กๆ วางอยู่บนตั่งตัวใหญ่ที่หญิงสาวใช้เป็นที่นั่งปั้นข้าวหนมก็นึกชอบใจ “ถั่วนึ่งที่ปั้นนี้ ทำจากถั่วเขียวรึพี่”

“มิใช่ถั่วเขียวดอกหนา นี่คือถั่วอัลมอนด์ที่คุณป้าส่งมาให้ ข้าวหนมนี้เป็นของพวกพุทธเกศ เขาให้เอาถั่วอัลมอนด์นี้ไปนึ่ง แลเอามาบด แลจึงเอาไปกวนต่อในกระทะปนกับน้ำตาลแลกะทิ กวนจนนิ่มพอจักนวดแลปั้นได้ ครั้นปั้นแล้ว พี่ก็จักทาสีแลจักชุบน้ำเคลือบให้เป็นเงา”

“น้ำเคลือบคือกระไร แลเคลือบเยี่ยงไรหรือพี่”

“พี่เอาถั่วนี้ไปบดเป็นแป้ง แลเอาไปกวนกับน้ำ ปนกับไข่ขาวแลน้ำตาล กวนให้พอเหนียว แลเอาข้าวหนมที่ทาสีแล้วไปจุ่ม แลปักข้าวหนมทิ้งให้แห้งก็เป็นอันแล้ว”

“พี่ปั้นส้มสูกลูกไม้ได้สวยนัก ทั้งน่าชมแลน่ารับ”

“เจ้าจักรับก่อนพระเห็นจักไม่ได้ดอก พี่จักเตรียมลูกชุบนี้ไว้ถวายพระในงานทำบุญสารทเดือนสิบ เจ้าว่าดีหรือไม่”

“ดีนักเทียวพี่ ทั้งเกาะต้องชมเป็นแน่แท้ ครั้งก่อนที่พี่ทำข้าวหนมที่ปั้นเหมือนดอกลำดวน ฉันยังชอบใจมิหายเลย ข้าวหนมที่พี่ทำทั้งงามตาและโอชาทีเดียวหนา”

“ช่างพูดนักเจ้า ประเดี๋ยวไปทำราชการที่พระนครก็คงจักลืมข้าวหนมของพี่ดอก”

“ข้ามีพี่อยู่คนเดียวจักลืมได้เยี่ยงไรเล่า”

ขณะที่พี่น้องกำลังคุยกันเพลิดเพลินอยู่นั้น พุดก็วิ่งตึงๆ ขึ้นมาบนเรือน ในมือเด็กชายถือห่อผ้าห่อหนึ่งมาด้วย

“เจ้าพุด เบาๆ หน่อยเจ้า เท้าหนักเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวโดนแม่นายดุเอาดอก” เดือนดุเด็กชายด้วยเสียงเอื้อเอ็นดูแล้วว่าต่อไป “เจ้าหายไปไหนเสียเป็นนาน วันนี้มิมาช่วยพี่ปั้นข้าวหนม”

“วันนี้พุดไปที่ท่าเรือมาขอรับ” เด็กชายบอกด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด

“อัฐที่พี่ให้ไป เจ้าซื้อของกระไรได้เล่า จึงได้ตื่นเต้นดีใจเพียงนี้” ดวงถามขึ้น

“พุดมิได้ซื้อของขอรับคุณพี่ดวง พุดดีใจที่จักเอาของมาให้คุณพี่เดือนขอรับ”

“ของกระไรรึ” เดือนถาม

“คนเรือที่มาจากพระนครบอกว่ามีคนฝากห่อผ้านี้มาให้พี่เดือนขอรับ ต้องเป็นของคุณพี่แสงแน่ๆขอรับ”

“ออแสง คนรักของพี่เดือนน่ะรึ พี่ไปร่ำเรียนอยู่ที่พระนคร กลับมาก็มิทันได้ปะหน้ากันเสียแล้ว”

“พี่แสงสวยมากขอรับ” เด็กชายว่า

ดวงเห็นสายตาของพี่สาวจดจ่ออยู่ที่ห่อผ้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “ส่งห่อผ้าให้พี่เดือนซีเจ้าพุด ใจเต้นจนจักหลุดจากอกแล้วกระมัง”

เดือนเขินคำพูดของน้องชาย แต่ไม่ได้กล่าวอะไร

“นี่ขอรับ” เด็กชายส่งห่อผ้าให้เดือน

เดือนรับห่อผ้าสีหมากสุกมาด้วยใจระทึก เธอรอข่าวจากเขามาสองเดือนแล้ว และวันนี้ก็ได้รับแล้ว หญิงสาวค่อยบรรจงแกะห่อผ้านั้นออกดู เธอเห็นสร้อยหินสีที่เธอให้เขาไว้ดูต่างหน้าอยู่คู่กับแผ่นสมุดไทยก็ใจหายว่าเหตุใดเขาจึงคืนของซึ่งเป็นเสมือนของดูต่างหน้ามาให้เธอ เดือนคลี่สมุดไทยแผ่นนั้นออกอ่าน

“คุณพี่แสงว่ากระไรบ้าง พี่แสงจักมาเมื่อไรหรือขอรับ” เด็กชายถามเสียงใส

เดือนอ่านข้อความในสมุดไทยแผ่นนั้นพลันหน้าก็ถอดสี น้องชายเห็นสีหน้าพี่สาวก็ถาม “มีกระไรหรือพี่”

“เขาสิ้นรักพี่แล้ว” เดือนกล่าวเสียงเครือด้วยมิอาจสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้แม้จะพยายามอย่างที่สุดแล้ว

“เป็นไปมิได้หรอกขอรับ พี่แสงมิทำเยี่ยงนี้ดอกขอรับ หัวเด็ดตีนขาดพุดก็มิเชื่อ” พุดกล่าวเสียงดัง

“เจ้าพุด เงียบก่อนเถิด” ดวงปรามเด็กชาย

เดือนเช็ดน้ำตาพยายามกล้ำกลืนความเศร้าเสียใจ เธอหยิบสร้อยหินสีออกจากห่อผ้าจะโยนทิ้งลงที่นอกเรือน แต่เด็กชายร้องห้ามไว้

“อย่าขอรับพี่เดือน หากจักทิ้ง พุดขอเถอะขอรับ” เดือนจึงโยนสร้อยหินสีเส้นนั้นให้เด็กชาย พุดรับสร้อยไปปากก็พูดว่า “พุดจักเก็บไว้อย่างดี คุณพี่แสงกลับมาเมื่อใด พุดจักคืนให้ขอรับ”

“หากเจ้าเชื่อว่าเขาจักกลับมา ก็เก็บไว้จนตายเถิด” เดือนเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีก เธอร้องไห้ออกมาแล้วลุกไปจากตั่งทันที แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นชานเรือน ก็ได้ยินเสียงน้องชายอ่านความในสมุดไทยแผ่นนั้น แม้เสียงอ่านนั้นเบา ด้วยคนอ่านกลัวเธอจะได้ยิน แต่ทุกคำก็สะท้านสะเทือนในใจเธอ

“ในชาตินี้ พี่สิ้น วาสนา

มิอาจมา เคียงคู่ อยู่เป็นสอง

คำสัญญา จักมา แนบประคอง

มีอันต้อง ลบหาย มลายลาญ

 

แสนเจ็บปวด รวดร้าว ในคราวนี้

เหมือนใจพี่ ถูกบั่น หั่นประหาร

ถึงกายอยู่ ใจหาย ดังวายปราณ

ขอพบพาน พิศวาส ทุกชาติไป”

 

เมื่อนายบ้านทองดำรู้ว่านายช่างจากพระนครส่งหนังสือตัดไมตรีมาถึงลูกสาวของตน เขาก็รุดไปบ้านของเทิดเกลอรักทันทีเพื่อยืนยันการหมั้นหมายที่ตกลงกันมาเนิ่นนานระหว่างลูกชายของเทิดกับลูกสาวของตน

“พ่อ ลูกขอร้อง พ่ออย่าให้ลูกต้องออกเรือนกับพี่ทิวเลยหนาเจ้าคะ ลูกมิได้รักเขา พ่อจักให้ลูกทำอันใดก็ได้ ลูกยอมทั้งสิ้น” เดือนพยายามขอร้องผู้เป็นพ่อทันทีที่พ่อกลับมาถึงเรือน ขณะที่แม่นายบุหงาผู้เป็นแม่ก็พยายามหาจังหวะที่จะช่วยขอร้อง

“รักหรือมิรักมิสำคัญ เจ้าจักมิออกเรือนได้เยี่ยงไร พ่อกับพ่อเทิดเป็นคู่ค้าคู่ขายกันมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เจ้ากับพ่อทิวก็เป็นเกลอ เป็นคู่หมายกันมานานปี เจ้าเองก็ให้คำมั่นกับพ่อว่าหากออแสงมิกลับมา เจ้าก็จักยอมออกเรือนเป็นเมียพ่อทิว”

“แต่พี่ทิวเป็นคนเจ้าชู้ ลูกมิต้องการออกเรือนกับเขา”

“ชายมิเจ้าชู้นั้นหาเป็นชายชาตรีไม่ เจ้าหาดูเถิด ผู้ใดในเกาะนี้มีเมียเดียว พ่อแสงที่เจ้าว่ารักเจ้าแต่ผู้เดียว เขายังมิกลับมา เยี่ยงนี้แล้ว อยู่กับชายเจ้าชู้จักมิดีกว่าอยู่เป็นสาวเทื้อรึ”

“แต่คุณพี่ อิฉันมิอยากบังคับใจลูก หากแม่เดือนอยากอยู่เป็นสาวเทื้อก็มิเป็นไรดอกหนา ให้ลูกเมียบ่าวคนอื่นออกเรือนแทนจักได้หรือไม่เจ้าคะคุณพี่” แม่นายบุหงาพยายามช่วยลูกเต็มที่

“แม่บุหงาพูดกระไรเยี่ยงนี้ จักให้พี่เสียผู้เสียคนหรือเล่า เจ้าก็รู้ว่าที่พ่อดวงจักได้ไปทำราชการที่พระนครก็ด้วยได้พ่อเทิดค้ำชู เยี่ยงนี้แล้วพี่จักผิดคำได้หรือเล่า แม้นลูกเราออกเรือนไปกับพ่อทิวก็จักได้เป็นแม่เรือน เป็นแม่นายของคนทั้งเรือนเหมือนเช่นเจ้า พี่เลือกชีวิตที่ดีที่งามเยี่ยงนี้ให้ลูกมันมิดีหรือไรเล่าแม่บุหงา”

“แต่…” แม่นายบุหงาพยายามจะโต้แย้ง

“มิต้องแต่” ทองดำกล่าวเสียงเด็ดขาด แล้วหันไปสั่งความกับลูกสาวว่า “เจ้าต้องออกเรือนเป็นเมียพ่อทิว หาไม่แล้ว มิต้องมานับถือพ่อเป็นพ่อ” สิ้นความผู้เป็นพ่อก็ออกจากห้องนอนไป ทิ้งให้ลูกสาวร่ำไห้อยู่กับอกแม่

 

คืนนี้เป็นคืนเพ็ญเดือนสิบสองแสงจันทร์งามกระจ่าง ตรงข้ามกับใจของเดือน หญิงสาวที่ต้องเข้าห้องหอกับทิวที่เรือนของเขาในคืนนี้ เดือนนั่งคิดถึงเรื่องราวของเธอกับแสง ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งแค้นที่แสงไม่รักษาคำมั่นสัญญา

เดือนตั้งใจแน่วแน่ว่าเธอจะไม่ยอมเป็นของทิว แม้จะต้องตายก็ตาม ตั้งแต่เช้าที่เธอถูกบังคับให้ผูกข้อมือเพื่อเป็นภรรยาของทิวตามประเพณีของเกาะเธอก็กล้ำกลืนฝืนใจอย่างที่สุดแล้ว หลังจากเสร็จพิธีแล้วบ่าวสาวต้องไปทำพิธีสงฆ์ต่อที่วัด เธออาศัยช่วงเวลานั้นนัดแนะกับน้องชายเพื่อให้เขาพาหลบหนีไปจากเกาะ แต่ดวงไม่กล้าพอจึงปฏิเสธ เดือนจึงจำใจต้องเข้าหอกับทิวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง เสียงผู้คนกินเหล้าเมามายฉลองออกเรือนดังแว่วมาจากลานบ้านของทิวที่ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยง ยิ่งได้ยินเธอก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ เดือนไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้แต่นั่งซุกอยู่ที่หัวเตียงด้านในสุดจนเสียงเฮฮานั้นเงียบไป

“แม่เดือนของพี่ หลับหรือยังจ๊ะ” ทิวเดินเมามายเข้ามาในห้องหอ “ครานี้เจ้าหนีพี่มิได้แล้ว” ทิวนั่งลงบนเตียงแล้วขยับเข้าหาเดือน เขาเอื้อมมือมาแตะต้องตัวเธอ เดือนกระเถิบหนีจนติดผนัง ทิวยิ่งรุกเข้าใกล้เธอ ทั้งกลิ่นกายและสัมผัสของเขาทำให้เธอขยะแขยงจนเกินทน

“แม่เดือน พี่รักเจ้ายิ่งนักหนา”

“แต่ฉันมิได้รักพี่” เดือนผลักทิวเต็มแรงจนเขาผงะหงายหลัง แล้วฉวยจังหวะนั้นวิ่งหนีไปที่ประตูห้อง ทิวโมโหวิ่งตามมาหมายจะดึงมือหญิงสาวไว้ แต่ไม่ทัน เดือนเปิดประตูได้ก็วิ่งหนีออกมาจากห้อง ซ้ำยังปิดประตูหนีบมือเขาด้วย ความเจ็บทำให้ทิวยิ่งแค้น เขาวิ่งไล่ตามหญิงสาวมาติดๆ

เดือนคิดอย่างเดียวว่าจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ เมื่อทิวตามมาคว้าแขนและดึงเธอไว้ในอ้อมกอดเดือนก็สู้สุดชีวิต เธอกัดแขนเขาจนเขาต้องปล่อยมือ เมื่อพ้นจากการเกาะกุมเธอก็วิ่งหนี แต่ทิวที่กำลังโกรธจัดรู้ทางหนีทีไล่บนเรือนของเขามากกว่าจึงวิ่งไปดักหน้าเดือนไว้ได้ก่อนที่เธอจะถึงบันไดเรือน

“ปล่อยฉันไปเถอะพี่ทิว ฉันขอร้องละ” เดือนยกมือไหว้ขอร้องทั้งน้ำตา

“เอ็งต้องเป็นเมียข้าอีเดือน” ทิวรวบตัวเดือนไปหมายจะกอดจูบ

เดือนรู้สึกสะอิดสะเอียนสุดขีด เธอรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีหลับหูหลับตาผลักทิวเต็มแรง ชายหนุ่มถอยหลังสองก้าวตามแรงผลัก เท้าหลังก้าวพ้นขอบขั้นบันไดไปครึ่งเท้า ความเมาทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่ ทิวหงายหลังตกบันไดไป เดือนตกตะลึง เธอรีบวิ่งลงไปดูอาการของเขาและพบว่าทิวคอหักตายเสียแล้ว

 

“แม่เดือน อย่าเอาโทษแม่เดือนเลย” ชาวบ้านบนเกาะเดือนดับต่างก็ตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน ชาวบ้านหลายคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะเดือนในชุดเจ้าสาวตามประเพณีของชาวเกาะถูกมัดมือมัดเท้าใส่ตะกร้อหวายขนาดใหญ่ที่ใส่ก้อนหินถ่วงไว้ ตะกร้อหวายนั้นสอดไม้คานไว้ให้คนหามหัวท้ายข้างละสองคน ชายฉกรรจ์สี่คนหามตะกร้อหวายไปตามทางเดินหินกรวดมุ่งไปยังทางที่ลาดขึ้นสู่หน้าผาท้ายเกาะ

ที่เชิงทางลาดนั้นทองดำ แม่นายบุหงาและดวงมายืนรอรวมกับชาวบ้านคนอื่นๆ แม่นายบุหงานั้นร่ำไห้เกือบตลอดเวลา ขบวนหามนักโทษนั้นกำลังจะมาถึงหน้านาง ผู้คนในเกาะต่างก็เข้ายื้อยุดไม่ให้ขบวนผ่านไปได้

“เหตุใดคุณพี่จึงให้เขาตัดสินโทษลูกเยี่ยงนี้ เหตุใดจึงมิให้เขาเอาตัวลูกไปตัดสินความที่พระนครเล่า” แม่นายบุหงาถามทั้งน้ำตา

“ลูกเราฆ่าคนตาย พยานฝั่งพ่อทิวมีมากนัก ไหนเลยเขาจักมาเข้าข้างลูกเราว่าเป็นเหตุปัจจุบัน มีแต่จักว่าลูกจงใจฆ่า ฉันมิยอมให้ลูกไปโดนแห่ประจานทั่วพระนครแล้วบั่นหัวดอก หากจักตายก็ตายเสียที่เกาะนี้เถิด”

คำตอบที่ได้รับทำให้แม่นายบุหงาร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ

ดวงทนไม่ไหวถลันเข้าขวางขบวนนักโทษ “ขอฉันคุยกับพี่สาวหน่อยเถิด” ชายฉกรรจ์ทั้งหมดจึงยอมหยุดเดิน “พี่เดือน ฉันผิดเองที่มิยอมพาพี่หนีไป”

“พ่อเดือนน้องพี่ เจ้ามิผิดดอก หากจักมีใครผิด ก็ต้องเป็นเขา ที่ผิดคำมั่นกับพี่”

“แต่มันมิควรเป็นเยี่ยงนี้ พี่มิได้จงใจจักฆ่าพี่ทิว” ดวงเอ่ยทั้งน้ำตา

“กระนั้นพี่ก็ฆ่าเขาแล้ว ควรต้องตายตกตามไป พี่ฝากให้เจ้าดูแลพ่อแม่ด้วยหนา”

“พอแล้ว มิต้องสั่งเสียแล้ว” ชายฉกรรจ์ที่หามคานอยู่ด้านหน้าเอ่ยขึ้น แล้วขบวนนักโทษก็เคลื่อนต่อไปตามทางลาดขึ้นสู่หน้าผา บรรดาชาวบ้านบนเกาะต่างก็วิ่งตามไปดูเหตุการณ์

บนหน้าผานั้นเทิดพ่อของทิวยืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นขบวนแห่นักโทษมา เขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “มาเลย นังเดือน นังผู้หญิงกินผัว มึงฆ่าลูกกู มึงต้องตายตกไปตามกัน เอามันถ่วงน้ำไปบัดเดี๋ยวนี้ กูมิอยากเห็นหน้ามันอีกแล้ว”

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่หามตะกร้อหวายขนาดใหญ่นั้น ไปไว้ที่ขอบหน้าผา

“ผลักมันลงไป” เทิดสั่งการ ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ช่วยกันผลักตะกร้อหวายขนาดใหญ่นั้นให้ตกลงทะเล

เมื่อตะกร้าหวายที่ถูกถ่วงด้วยหินจมลงสู่ห้วงทะเล เดือนก็ตั้งจิตอธิษฐานด้วยดวงจิตที่เป็นสมาธิ มั่นคงแน่วแน่ ‘พี่แสง ชีวิตฉันต้องตายตกไปเยี่ยงนี้ ก็ด้วยพี่มิรักษาคำมั่นของเรา ฉันขอสาปแช่งพี่ คราใดพี่มีรักมั่นต่อหญิงใด ขอพี่จงทุกข์ทรมานปานจักขาดใจด้วยรักนั้น มิจบมิสิ้นทุกชาติไปเถิด’



Don`t copy text!