แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 22 : งานกีฬากระชับมิตร

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 22 : งานกีฬากระชับมิตร

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

วันก่อนคริสต์มาสมาถึงในช่วงปลายเดือนธันวาคมที่หนาวจัด ชุมชนชาวคริสต์ในแสนฟ้าต่างร่วมกันประดับตกแต่งชุมชนที่อยู่อาศัยของตน ด้วยต้นคริสต์มาสและสัญลักษณ์ไม้กางเขน พวกเขาขับร้องบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่เป็นอาจิณ และมีของที่เตรียมจะนำไปแจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ในชุมชน

ในช่วงสายๆ ถนนหน้าโบสถ์แม่พระ เนืองแน่นเต็มไปด้วยคริสต์ศาสนิกชนที่หลั่งไหลมาร่วมพิธีนมัสการในวันเฝ้ารอพระเจ้า พื้นที่ลานจอดรถของโรงเรียนคอนแวนต์แน่นขนัดไปด้วยยานพาหนะของคหบดีผู้มั่งมีและชาวตะวันตก นักเรียนจากชมรมขับร้องประสานเสียงยืนเปล่งสำเนียงขับร้องเพลงฉลองเทศกาลที่บริเวณหน้าประตูทางเข้าโบสถ์ บทเพลง ‘Joy to the World’ หรือ ‘พระทรงบังเกิด’ ดังประสานไพเราะก้องกังวาน สร้างบรรยากาศต้อนรับผู้มาเยือนอย่างหฤหรรษ์

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่โบสถ์แล้ว เหล่าบรรดาสมาชิกของสมาคมสโมสรอังกฤษก็มุ่งเดินทางมารวมตัวกันที่คลับเฮาส์ หรือ ที่เรียกกันว่า ‘สโมสรโปโล’ พวกสมาชิกส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ วิศวกร และตัวแทนรัฐบาลที่ถูกส่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่แสนฟ้า และไม่ได้มีเพียงชาวอังกฤษเท่านั้น แต่สมาชิกหลักๆ ของสโมสรมีทั้งชาวอเมริกัน ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์

ในวันพิเศษเช่นนี้ ทางสโมสรจัดเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่ม แถมยังมีกิจกรรมรื่นเริงตลอดทั้งเช้าบ่าย ทั้งดนตรีแจซและการเต้นสวิงแดนซ์ งานประกวดสัตว์เลี้ยงและการแข่งขันกีฬากระชับมิตร ซึ่งเป็นการแข่งกีฬาหลากหลายชนิด จุดประสงค์ก็เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสามสถาบันหลักของแสนฟ้า นั่นคือราชสำนักแสนฟ้า สโมสรโปโล และโรงเรียนคอนแวนต์

เจ้าฟ้าหลวงทรงเสด็จมาด้วยรถยนต์พระที่นั่งในช่วงเวลาใกล้เที่ยงตามคำเชิญของเซอร์แฟร์ลิงตัน สภานายกของสโมสร ท่านทรงดำเนินมาพร้อมกับมหาเทวี ชายา และพระวงศ์ชนชั้นสูงผู้มีเกียรติทั้งหลาย ทุกคนต่างให้เกียรติสถานที่ด้วยการแต่งกายตามแบบอย่างชาวตะวันตก ด้วยชุดสูทสากล รองเท้าหนังหุ้มส้นและเสื้อโค้ทตัวยาว ด้านพวกผู้หญิงก็ต่างแต่งกายด้วยชุดเดรสกระโปรง เสื้อขนสัตว์ สวมรองเท้าส้นสูง และมีกระเป๋าใบเล็กๆ คล้องแขน ส่วนพวกข้าบริวารที่ติดตามมารับใช้เจ้านายยังคงแต่งกายด้วยชุดผ้าพื้นเมืองแบบเดิม ยกเว้นคนที่ได้รับคัดเลือกให้มาเข้าร่วมแข่งขันกีฬาเท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้สวมใส่กางเกงได้

ในสโมสรโปโลเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้คนที่กำลังพูดคุย หัวเราะ เสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ เคล้าเสียงดนตรีแจซที่เปิดจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ชายหนุ่มหลายคนเอาแต่ขลุกอยู่ที่โต๊ะพูลและโต๊ะบิลเลียด หรือบ้างก็กำลังนั่งจิบกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์ อาบแดด ที่สโมสรมีกิจกรรมให้ทำมากมายทั้งสปอร์ตคลับ บาร์ ห้องสมุดและสนามขี่ม้าตีโปโล สมาชิกทุกคนเสียค่าธรรมเนียมรายปี

ทันใดนั้นเอง เสียงของใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามีรถกระบะคันหนึ่งขับผ่านเข้ามาจอดภายในบริเวณประตูรั้วที่มียามเฝ้า ก่อนที่ผู้คนจะลุกฮือและกรูกันออกไปยืนมุงดูด้านนอกจนเต็มสนามหญ้า

รถกระบะสองตอนมีชายในชุดเครื่องแบบทหารเรือราชนาวีอังกฤษและสวมแว่นดำนั่งอยู่ในรถ เขามาพร้อมกับชายอีกคนที่อยู่ในชุดซาฟารีสีน้ำตาล และพลขับซึ่งเป็นทหารอินเดียโพกผ้าโพกหัวและไว้หนวดเครายาว เมื่อลงจากรถ เซอร์แฟร์ลิงตันก็รีบเข้ามากล่าวแนะนำตัวเองกับเขาอย่างกระตือรือร้น และต้อนรับเขาเข้าสู่งาน นายทหารเรือเอกกล่าวแนะนำตัวกับทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเสียงดัง

“สวัสดีวันแห่งคริสต์มาสอีฟคุณสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ผมเป็นผู้ตรวจการประจำรัฐไทคำหลวงคนใหม่ ถูกส่งตัวมาและจะเริ่มรับเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นี่ คอลลินสหายของผมและอัสมาร์คนขับรถ”

เมื่อบริกรชายหนุ่มประจำบาร์ยกเครื่องดื่มต้อนรับมาเสิร์ฟบริการให้ถึงที่ นายทหารเรือยศสูงก็ยกแก้วเครื่องดื่มไปรอบๆ พลางกล่าวสดุดีวันแห่งการเฉลิมฉลอง

“ดื่มให้กับวันเฉลิมฉลอง! ฮาเลลูยา!”

“ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา!”

เมื่อเขาร้อง ทุกคนก็โห่ร้องตาม ต่างชูแก้วของตัวเองขึ้นสูงก่อนจะยกเครื่องดื่มขึ้นดื่ม

“ในที่สุด ผมก็มาถึงที่แสนฟ้านี่เสียที การเดินทางของผมมันช่างยาวนานเหลือเกิน”

“ผมได้ข่าวว่าคุณเพิ่งถูกส่งตัวมาจากกัลกัตตา และรออยู่เข้ารับตำแหน่งอยู่ที่รางกูนอยู่นาน” เซอร์แฟร์ลิงตันกล่าว

“ข่าวที่คุณได้ฟังมาเกรงจะเป็นข่าวเท็จครับ จริงๆ แล้วผมอยู่ที่ไทคำหลวงนี้มาเกือบปีนึงเห็นจะได้”

“อ้อ อย่างนั้นหรือ” เซอร์แฟร์ลิงตันทำหน้าตาคล้ายๆ จะไม่ค่อยปักใจเชื่อกับเรื่องเล่าที่เขาเกทับ

“ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมคงต้องไปกล่าวทักทายเจ้าฟ้าเสียหน่อยแล้วละ แล้วคุณจะรู้ว่าบรรดาเจ้าชาย พวกเขารู้จักผมเป็นอย่างดี” เขากล่าว

“พวกท่านรับประทานอาหารเที่ยงอยู่บนชั้นสอง มาเถอะ ผมจะพาคุณไปแนะนำตัวกับท่านเอง”

ว่าแล้ว คนที่เพิ่งมาใหม่ก็ตรงดิ่งขึ้นมาบนชั้นสองของตัวอาคาร ก่อนจะถือโอกาสเข้าไปทักทายคณะของเจ้าฟ้าหลวงและบุตรชายทั้งสี่ของท่านที่ห้องใหญ่บนชั้นสอง ห้องห้องนี้เป็นห้องที่จัดไว้เพื่อใช้ต้อนรับแขกระดับพิเศษโดยเฉพาะ ผ้าม่านและของประดับตกแต่งห้องเลยยังคงกลิ่นอายแบบวิคตอเรียน เพราะเพิ่งใช้ต้อนรับคณะของท่านข้าหลวงเมื่อเดือนที่ผ่านมา

และทันทีที่เจ้าอุปราชแสงหาญได้เผชิญหน้ากับผู้ตรวจการรัฐคนใหม่ บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปโดยพลัน คนทั้งสองต่างมองหน้ากัน ความหนาวเย็นของช่วงฤดูหนาวแปรเปลี่ยนเป็นร้อนระอุและตึงเครียดขึ้นมาทันทีทันใด

…ความแค้นเคืองสุมไหม้อยู่ในหัวอกคนถูกหักหลัง เหลือแต่ยังไม่ปะทุออกมาเท่านั้น

“ด้วยความเคารพ ผมไม่แน่ใจว่า นี่จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ ที่อยู่ๆ ผมก็โผล่มาร่วมงานเลี้ยงโดยที่ไม่ได้แจ้งหรือส่งจดหมายบอกกล่าวเจ้าฟ้าล่วงหน้า แต่ว่า…”

เขากล่าวขณะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าฟ้า พลางยื่นส่งซองจดหมายสีน้ำตาลที่เขียนจ่าหน้าถึงท่านด้วยความเคารพ นอบน้อม แต่เจ้าฟ้าไม่ได้เปิดจดหมายนั้นด้วยเป็นเรื่องยุ่งยาก

“ไม่เป็นไร อันที่จริงท่านข้าหลวงใหญ่ได้แจ้งผมเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาแสนฟ้าครั้งนั้นแล้วว่า จะมีผู้ตรวจการรัฐคนใหม่มาร่วมงานกับทางสโมสรในช่วงคริสต์มาส และฝากฝังให้ผมช่วยดูแลต้อนรับตามเห็นสมควร คุณก็คือ…”

ผู้มาใหม่ผุดยิ้มพรายเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าไปจับมือและแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับเจ้าฟ้า

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผม ‘นาวาเอกแอลัน ฟรานซิส คาลเตอร์ที่สาม’ แห่งกองเรือราชนาวีอังกฤษ…เรียกผมว่าคาลเตอร์เถิด สั้นๆ”

“อ้อ สวัสดีคุณคาลเตอร์ ยินดีต้อนรับสู่แสนฟ้า ผมขอถือโอกาสนี้แนะนำเหล่าบุตรชายของผมให้คุณได้รู้จัก”

“ด้วยความยินดีครับ”

เจ้าฟ้าหลวงทรงผายมือไปยังบุรุษทั้งสี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังท่าน ไม่รีรอที่จะแนะนำบุตรชายทีละคน

“สองคนนี้เป็นบุตรของมหาเทวี ทั้งหน่อคำและเสาคำต่างก็ทำงานอยู่ในกระทรวงการคลังของรัฐบาล ส่วนด้านนี้ สามเมืองนายแพทย์หนุ่มจากสยาม น้องชายของสามเมืองคือสิงห์ไชยซึ่งกำลังอยู่ที่สนามเทนนิสกับมารดาของเขา ส่วนคนนี้…แสงหาญ เจ้าชายรัชทายาท”

“ว้าว” คาลเตอร์อุทาน ไม่รีรอที่จะเข้าไปจับมือทักทายบรรดาเจ้าชายหนุ่มรูปงามเป็นครั้งแรกก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก และเอ่ยทักทายรัชทายาทหนุ่มอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดี นิคโก้…ไม่เจอกันนาน คุณยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิม ไม่เห็นคุณเคยเล่าให้ผมฟังมาก่อนเลยว่าคุณมีพี่น้อง”

 

การแข่งขันกีฬาประเภทลานเริ่มขึ้นในช่วงบ่ายที่มืดครึ้มด้วยหมอกบดบังแสงแดด

กลางสนามหญ้าหน้าอาคาร นักกีฬาแต่ละฝ่ายกำลังแข่งขันกีฬาแต่ละประเภทอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งฝ่ายสหมิตรที่เป็นการรวมตัวเฉพาะกิจของสมาชิกในสมาคม ฝ่าย OLMC ที่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นนักเรียนและนักกีฬาจากโรงเรียนคอนแวนต์ และฝ่ายราชสำนักที่แบ่งออกเป็นอีกสองฝ่ายนั่นคือ ฝ่ายหอหลวงและฝ่ายหอตะวันตก

จันทร์หล้าเป็นตัวแทนนักกีฬากระโดดไกลของหอตะวันตก และกำลังจะเข้าประจำยังลานแข่งขัน ข้างๆ สนามมีสมาชิกในตำหนักตามมาให้กำลังใจกันอย่างคับคั่ง ทั้งเจ้าสุนันต่า เจ้าสิงห์ไชย ม่อนหอมและคนอื่นๆ อีกหลายคน

เมื่อถูกเรียกด้วยหมายเลขที่ติดตรงหน้าอก จันทร์หล้าก็ยกมือขึ้นและทำการกระโดดลอยตัวไปสู่กองทราย กรรมการเข้ามาวัดรอยเท้าที่ตกลงมารอยสุดท้ายก่อนจะขานคะแนน หญิงสาวกระโดดไปได้สองรอบ ก็เป็นฝ่ายทำคะแนนทิ้งห่างคนอื่นๆ

ระหว่างพักครึ่ง การแข่งขันวิ่งสามขาก็เริ่มขึ้นที่ตรงสนามหญ้า ตัวแทนนักกีฬาประจำหอตะวันตกอย่างเจ้าสุนันต่า ม่อนหอม และเจ้าสิงห์ไชยจึงต้องขอตัวไปแข่งขัน จันทร์หล้าอวยพรให้คนทั้งหมดได้รับชัยชนะกลับมา และไม่ต้องห่วงนาง เพราะคะแนนนางนำเป็นที่หนึ่งแล้ว

“เหนื่อยไหม จันทร์หล้า”

เจ้าสามเมืองเข้ามาถามไถ่หญิงนักกีฬาตัวแทนของตำหนัก พลางยื่นกระบอกน้ำดื่มให้

“เหนื่อยแต่สนุกดีบาทเจ้า” นางมองไปทางกระดานคะแนนเป็นเชิงอวดผลงาน “เจ้าท่านดูสิ คะแนนข้านำห่างทุกคน”

“มีหวังได้เป็นแชมป์เปี้ยนเป็นแน่”

“แชมป์เปี้ยนคืออันใดหรือบาทเจ้า”

“ก็เป็นผู้ชนะยังไงเล่า”

“อ๋อ…แชมป์เปี้ยน” จันทร์พยักหน้า พยายามทบทวนคำศัพท์ภาษาอังกฤษและคำพูดแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้ามาอยู่ท่ามกลางดงฝรั่งอย่างนี้

ถ้าจะพูดตามความจริงก็คือ วันนี้เป็นวันที่นางตื่นเต้นมากที่สุดวันหนึ่ง วันทั้งวันจันทร์หล้าก็ต้องพบเจอกับคำศัพท์แสงภาษาอังกฤษ สมกับเป็นวันพระคริสต์

ตั้งแต่ตื่นเช้ามา นางก็ช่วยเจ้าสุนันต่าทำสิ่งที่เรียกว่า ‘การ์ดคริสต์มาส’ และยังเป็นวันที่นางได้เข้ามาในเยี่ยมชมสโมสรโปโลแห่งนี้เป็นครั้งแรก ที่นี่มีการร้องประสานเสียงบทเพลง ‘คริสต์มาส แครอล’ จึงได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารฝรั่ง จากจุดตักอาหารเองหรือที่เรียกว่า ‘บุฟเฟต์’ และเครื่องดื่มที่มีรสชาติทั้งขมทั้งหวานที่เรียกกว่า ‘ค็อกเทล’

มากไปกว่านั้น ยังได้ฟังดนตรีบรรเลงแบบใหม่ที่ไม่ใช่ดนตรีพื้นบ้านอย่าง ‘แจซ มิวสิก’ และการเต้นรำที่สนุกสนานที่ไม่เหมือนการฟ้อนเล็บหรือรำตะบินไดอย่าง ‘สวิง แดนซ์’ แถมในขณะนี้ ก็ยังได้เห็นในสิ่งที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน ที่เรียกว่ากีฬา และเพิ่งรู้ว่าก่อนจะออกตัวกระโดดไกล ต้องฟังคำสั่งจากชายเสื้อขาวที่เรียกว่า ‘เรฟเฟอรี’

จันทร์หล้ารู้สึกชอบการได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษ ชอบตั้งแต่ที่ได้นั่งฟังเจ้าสุนันต่าอ่านหนังสือนิยาย นางชอบฟังสำเนียงและการออกเสียงพยางค์ พยัญชนะที่มีเสน่ห์ และบางครั้งก็อยากจะลองเลียนแบบเสียงดู การได้ไปส่งเจ้าหญิงที่โรงเรียนทุกวัน ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้นางอยากพูดภาษาอังกฤษเป็น อยากจะเรียนหนังสือ จันทร์หล้าเคยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ม่อนหอมฟังครั้งหนึ่ง หล่อนรับปากจะสอนภาษาให้อย่างมั่นเหมาะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ได้แค่ว่า เยส โน โอเค

มาทำงานอยู่กับฉัน เธอจะได้เรียนภาษาไทและภาษาอังกฤษ

หญิงสาวหวนนึกถึงข้อเสนอที่ใครบางคนที่เคยหยิบยื่นให้ แม้จะดูสุ่มเสี่ยง แต่ก็ฟังดูเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ เขาออกปากว่านางจะได้เรียนภาษาไทและภาษาอังกฤษเมื่อไปทำงานให้เขา คำว่าได้เรียนภาษาอังกฤษนั่นแหละที่น่าสนใจ เขาคงจะมีคลังคำศัพท์แสงที่มากกว่าคำว่าเยส โน โอเคแน่ๆ

หากวันข้างหน้าใครหยิบยื่นหนังสือตำราให้ คนผู้นั้นเป็นคนดี

เสียงหนึ่งลอยแผ่วเบาเข้ามาข้างหูด้วยความทรงจำสีจางๆ…

เสียงกรรมการตีระฆังหมดเวลาพัก จันทร์หล้าเตรียมตัวอีกครั้ง สำหรับการกระโดดในรอบสุดท้ายและท้ายที่สุดก็สามารถคว้าชัยชนะให้หอตะวันตกได้ และก็เป็นเพียงกีฬาประเภทเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัล เพราะกีฬาอย่างอื่นนั้น หอตะวันตกทำคะแนนรั้งท้ายเกือบแทบทั้งหมด ทั้งกีฬาทุ่มน้ำหนัก พุ่งแหลนและวิ่งสามขา

เจ้าสุนันต่าและม่อนหอมวิ่งกลับมากอดจันทร์หล้าด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนคนอื่นๆ จะกรูเข้ามาแสดงความยินดีจนเสียงดังเอิกเกริก สาวๆ พากันหยอกล้อกันไปมา เสียงเอะอะมะเทิ่งเกินงามดังไกลไปจนถึงระเบียงศาลาที่พวกผู้ใหญ่กำลังนั่งจิบน้ำชากาแฟและขนมว่างยามบ่าย

พระอนุชาของเจ้าฟ้าหันหลังกลับไปมองยังเด็กสาวกลุ่มนั้นด้วยความสนอกสนใจ ก่อนจะทรงยก
กล้องส่องทางไกล ของเล่นประจำตัวขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้นทางนั้น ระหว่างนั้นเองก็มีบริกรนำเครื่องดื่มชา
มาวางเสิร์ฟ หากแต่เขากลับโวยวายเสียงดุด้วยความไม่พอใจ

“กูไม่ดื่มชา มึงจำไม่ได้หรือไงไอ้โง่! ไปเอากาแฟมาให้กูซีวะ!”

บริกรหนุ่มน้อยตกใจจนหน้าซีด ลนลานรีบนำแก้วชาไปเปลี่ยนให้ หากอนุชาเจ้าฟ้าบ่นอุบอิบตามหลังไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกลับมายกกล้องส่องมองกลุ่มเด็กสาวอีกครั้ง

“ข้าเพิ่งรู้ว่าสาวๆ ของหอตะวันตกหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูกันทุกคน” ดวงตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มหันไปมองทางพระเชษฐาและเจ้าของตำหนักสลับกันไปมาอย่างมีนัย “…โดยเฉพาะเจ้าหญิงตะบินไดผู้นั้น”

มหาเทวีที่ได้ยินก็ทรงเหยียดยิ้มเพียงนิด ก่อนจะวางแก้วชาลงบนถ้วยรอง

“งามแต่หน้า แต่สติบ่เต็มหัว เป็นคนบ้าๆ บอๆ ยังจำคืนวันงานเลี้ยงได้ไหมล่ะ ข้าก็นึกว่ามันจะทำงานเลี้ยงล่มเสียแล้วในตอนนั้น”

เจ้าแกมเมืองที่นั่งจิบชาอยู่โต๊ะข้างๆ ร่วมกับเจ้าพี่เจ้าน้องคนอื่นๆ สดับหูฟังบทสนทนาอยู่ห่างๆ

“นางบ่ได้เป็นคนบ้าใบ้” เจ้าชายาตรัสปกป้องบุตรีบุญธรรม “นางป่วยไข้เจียนตายมาก่อน รักษาแล้วแต่ยังบ่หายขาด สติหรือความคล่องตัวก็เลยยังกลับมาบ่ครบ บางครั้งก็อาจจะแค่…หลงๆ ลืมๆ ไปชั่วขณะ แต่บ่ถึงกับว่าเป็นบ้า บ่เชื่อก็ดูนั่นสิ…”

ท่านพเยิดพระพักตร์ออกไป

“นางแข่งกระโดดไกลได้ตั้งรางวัลที่หนึ่ง”

“เคยป่วยไข้มาก่อนนี่เอง ถึงว่า นางดูใกล้ชิดสนิทสนมกับหลานชายนายแพทย์ของข้าดีทีเดียว”

ว่าแล้วคนทั้งหมดก็หันไปมองที่สนามการแข่งขันอีกครั้ง แล้วก็บังเอิญได้เห็นความสนิทสนมของหนุ่มสาวที่กำลังหยอกเอินกันดังคำอนุชาเจ้าฟ้าว่า จังหวะหนึ่งที่ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน นั่นคือตอนที่เจ้าสามเมืองจับปอยผมทัดหูให้หญิงสาว และยังแสดงแววตาห่วงหาอาทรกันอีก เจ้าแกมเมืองเองก็ทรงเห็น

“จะบ่ให้สนิทกันได้อย่างไร พวกเขาเป็นพี่น้องกัน เด็กสาวคนนั้นเป็นบุตรีบุญธรรมของข้า”

“หนุ่มสาวใกล้ชิดกันยังไงก็ต้องหวั่นไหวสักวันแหละน่า พี่สะใภ้”

คำพูดของพระอนุชาสร้างความสั่นคลอนพระทัยให้เจ้าฟ้า เจ้าสามเมืองฐานันดรศักดิ์สูงกว่าหญิงสาวแม้นางจะเป็นบุตรีบุญธรรมของชายาของท่านแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ก็เหมือนน้ำมันกับไฟ

“ให้ข้าอาสาพานางไปดูแลรักษาอาการต่อที่โรงพยาบาลในรางกูนเสียเถิดนะเจ้าอาม นางอยู่กับข้า รับรองหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง”

“หมายความว่าอย่างไง”

“ข้าอยากได้นางไปอยู่ด้วยกันที่รางกูน”

พระอนุชาหันไปตรัสกับทางเจ้าฟ้าผู้เป็นพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพราะรู้ว่าสิทธิ์อำนาจเด็ดขาดที่จะสนองความต้องการของตนอยู่ที่ใคร

“โปรดทรงตรัสยกนางให้แก่ข้าด้วยเถิด”

เจ้าสอาดองค์ทรงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ท่านกำลังได้ยิน และไม่พอใจการวางอำนาจและการข้ามหน้าข้ามตาของน้องชายพระสวามีที่ทำกับท่านแบบนั้น

“นางเป็นคนในหอของข้า ข้าอุปถัมภ์นางเป็นบุตรีบุญธรรม นางจะถูกยกให้ใครในแผ่นดินนี้ ต้องได้รับการอนุญาตจากข้าผู้เดียวเท่านั้น”

“ก็ให้เจ้าฟ้าทรงเป็นผู้ตัดสินซีพี่สะใภ้ ท่านเป็นพ่อเมือง เป็นพ่อเจ้าของทุกคนในที่นี้ หากลองว่าท่านมีพระประสงค์เสียอย่าง ใครหน้าไหนก็บ่สามารถขัดได้”

เจ้าชายาทรงหันขวับไปหาพระสวามีอย่างร้อนพระทัยและขอความชอบธรรม ส่วนเจ้าฟ้าก็กำลังทรงอ้ำอึ้งแบ่งรับแบ่งสู้กันทั้งสองฝ่าย ท่านเองเมตตาพระอนุชาคนนี้อยู่ไม่น้อย สิ่งใดที่เขาเคยขอจากท่าน หากว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็น้อยครั้งที่ท่านจะไม่ยอมประทานยกให้

เว้นเสียแต่ตำแหน่งเจ้าอุปราชแกมเมือง…

“งั้นก็…”

“หญิงนางนั้นเป็นคนของข้าแล้ว พ่อเจ้า…” เสียงทุ้มต่ำเจือความดุดันพลันเอ่ยแทรกระหว่างบทสนทนา ร่างหนากำยำในเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวผูกเชือกตัวสั้น สวมใส่กับกางเกงขาก๊วยสบายๆ ขยับยกเก้าอี้มาร่วมวงอย่างถือดี

“เด็กคนนั้น…นางกำลังจะมาทำงานเป็นเสมียนคนใหม่ของข้า ข้าหวังจะพานางไปทำงานด้วยกันที่สวนส้มทางภาคเหนือ” เขาหันไปบอกกับผู้เป็นอา หน้าตายียวน การไม่ยอมสวมใส่ชุดสูทสากลเหมือนคนอื่นๆ ก็เป็นอีกหนึ่งความแปลกแยกที่เสริมภาพลักษณ์ความเป็นจอมหัวขบถแห่งราชสำนักให้ชัดเจนขึ้น

“คนเขาพูดคุยกันอยู่ตรงนี้ ไฉนเจ้าแกมเมืองถึงเข้ามาแส่” อนุชาเจ้าฟ้าโมโหหลานชาย หากแต่เจ้าฟ้าผู้เป็นพระบิดาทรงทวนถ้อยคำนั้นของบุตรชายอย่างสนใจ

“เสมียนคนใหม่…สวนส้มทางภาคเหนืออย่างนั้นหรือ”

“บาทเจ้า สวนส้มที่พ่อเจ้าซื้อไว้ยังไง ข้ารู้ว่าพ่อเจ้าอยากจะพัฒนาสวนส้มแต่ขาดกำลังคนและเครื่องมือ ข้าอาสารับหน้าที่นั้นเอง ไหนๆ พ่อเจ้าก็อยากให้ข้าช่วยงานบ้านเมืองและงานครอบครัวบ่ใช่หรืออีกบ่นาน นางก็จะย้ายมาทำงานอยู่ที่หอหน้า ยกให้ผู้ใดบ่ได้อีกแล้ว พ่อเจ้า”

“บ่เห็นเจ้าแกมเมืองจะสนใจใคร่เรื่องราวทางนี้มาก่อน แต่พออาสนใจขึ้นมา ก็จะมาสนใจบ้าง”

“บ่เคยสนใจมาก่อน ก็บ่ได้แปลว่าบ่สนใจเสียเลย จริงไหมบาทเจ้า”

“แต่อย่างท่าน จะหาเอาหญิงใดมาเป็นเสมียนส่วนตัวก็ได้ แต่เหตุใดต้องเป็นเด็กคนนั้นด้วยล่ะ”

“พุดโธ่ ยังจะต้องถามถึงเหตุผลกันอยู่อีกหรือเจ้าอา ก็รู้ๆ กันอยู่…ข้าเป็นหลานเจ้าอานะ ท่านคิดยังไง ข้าเองก็คิดอย่างนั้นบ่ต่างกัน ข้าก็พอใจนางเหมือนอย่างที่เจ้าอาพอใจอย่างไงเล่า”

“บ่มักง่ายไปหน่อยหรือ” ผู้เป็นอาดูจะไม่ยอมลดละโดยง่าย

“งั้นมาแข่งกันไหมล่ะ”

“อะไรนะ”

เจ้าแกมเมืองทรงชี้ไปทางลานแข่งขัน เจ้าหน้าที่กำลังแบกเสาน้ำมันขนาดยักษ์เข้ามาวางตั้งปักหลักอยู่กลางลาน ชาวฝรั่งในศาลาต่างฮือฮาและอุทานถึงพระเจ้าของพวกเขากันยกใหญ่ เมื่อได้เห็นเสาน้ำมันอันมันเลื่อมที่สูงเกือบเจ็ดเมตรตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

“มาแข่งปีนเสาน้ำมันกัน ใครชนะคนนั้นได้นางไป”

 



Don`t copy text!