แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 6 : ก่อนอาทิตย์จะอัสดง

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 6 : ก่อนอาทิตย์จะอัสดง

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

สาวน้อยแก้มใสมุ่ยหน้าจนน่าหยิก

“จะมีชายใดกล้าขึ้นเรือนมาหาข้ากันล่ะ ยิ่งถูกชาวบ้านว่าให้ลับหลังอย่างนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งบ่มี ใครๆ เขาก็กลัวอิทธิพลของพ่อเลี้ยงกันทั้งนั้น ข้าเจ้าเหมือนคนมีราคีตั้งแต่ยังบ่มีใครมาสู่ขอ”

“อะไรกัน สาวงามประจำหมู่บ้านจะไร้ชายไปมาหาสู่ได้ยังไง” ครูหนุ่มหัวเราะร่วน หากแต่แอบซ่อนรอยยิ้มสบายใจไว้ในมุมปาก

“แต่จะว่าไป บ่มีใครขึ้นเรือนมาแอ่วหาก็ดี ข้าเจ้ายังหน้อย ยังบ่แม่นยำเรื่องการผัวการเมียสักเท่าไหร่ ยังบ่อยากตกไปเป็นเมียของใคร ถึงใครจะว่าข้าเป็นสาวอย่างไร แต่ข้างในข้าเจ้าก็ยังเป็นเด็ก”

ยามนั้นลมแห้งๆ พัดผ่านท้องนาและต้นดอกลมแล้งมาเพียงเบาๆ พร้อมกับหอบเอากลิ่นฟางข้าวโชยมาเข้าจมูก หนุ่มสาวเดินเพลิดเพลินพลางจูงจักรยานลัดเลาะริมคันนา มาจอดอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ริมแยกถนน ทัศนียภาพตรงหน้าเมื่อยามมองออกไปจะเป็นทุ่งนาโล่งๆ สีน้ำตาลแซมด้วยสีเขียวประปราย เบื้องหลังคือเทือกเขาดอยหลวงอันยิ่งใหญ่ ทอดยาวลดหลั่นกันลงไปเห็นไกลๆ อยู่ทางทิศตะวันตก

“ตรงนี้ เป็นที่ที่จะเห็นดวงตะวันตกดินชัดที่สุด ยามกลับจากรดน้ำผักที่สวน ข้าเจ้าแวะมาที่นี่ทุกวัน”

“ต้องดูอย่างไรถึงจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินอย่างที่ว่า ไหน…พาฉันไปดูซิ”

สาวน้อยยิ้มในหน้า เผยให้เห็นลักยิ้มบนยวงแก้มแดงที่สุกปลั่งด้วยอากาศร้อนอบอ้าว เส้นผมดำเงายาวเพียงปลายคางปลิวพลิ้วตามแรงลมไม่เอาทิศเอาทาง ปอยผมปรกหน้าผากมนปิดใบหน้าจนต้องจับมาทัดเหน็บหู เผยให้เห็นเสี้ยวหน้ามนงาม แม้จะยังไม่เต็มวัยดี แต่เครื่องหน้าอื่นๆ ของนางนั้นกลับละสายตาไปไม่ได้เลย…แต่แรกพบหน้า บางสิ่งก็บอกครูหนุ่มแล้วว่า นางคงเกิดมาเพื่อเป็นที่รัก

นี่สินะ ที่ท่านว่าช้างเผือกมักซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก สาวงามของหมู่บ้าน…เผยตัวจริงออกมาเสียที

ชื่นชมอยู่ได้ไม่นาน สาวน้อยหน้าหวานก็กลายร่างกลับไปเป็นลิงทโมนอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ นางก็กระโดดขึ้นปีนป่ายต้นไม้ ก่อนจะห้อยโหนเหนี่ยวกิ่งขึ้นไปจนถึงยอดไม้อย่างว่องไว คล่องแคล่วราวกับวอกหลุดเข้าป่า ครูหนุ่มชาวเมืองหลวงถึงกับส่ายหน้าระอา และได้เห็นว่าภายใต้ผ้าซิ่นที่นางนุ่งสวมนั้นมีกางเกงอีกตัวใส่ซ้อนอยู่ด้านใน

“ครู ตามขึ้นมาสิเจ้า ตะวันมาจ่อรอตกหลังเขาแล้ว เดี๋ยวก็บ่ทันเห็นพอดีหรอก”

เสียงเจ้าลิงน้อยตะโกนเรียกลงมาจากยอดไม้อย่างตื่นเต้น ครูราชจึงจำเป็นต้องรีบปีนตามนางขึ้นไปกระทั่งได้เห็นทัศนียภาพในมุมใหม่ เป็นวิวทิวทัศน์จากมุมสูงกว้าง

เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น พระอาทิตย์สีเพลิงดวงใหญ่ก็ค่อยๆ อัสดงลี้ลงไปยังเบื้องหลังขุนเขาอย่างสมบูรณ์ ทิ้งแสงสีทองอมเหลืองส้มค้างเติ่งไว้เต็มเวิ้งฟ้า สีสันของภาพเบื้องหน้านั้นช่างงดงามดั่งว่ามีจิตรกรมือหนึ่งแต่งแต้มไว้ นกกาบินร่อน นกเป็ดน้ำเดินว่อนเต็มทุ่งนา เสียงลมพัดวืดวือเคล้าเสียงกระดึงคอควายที่เจ้าของกำลังต้อนกลับจากกินหญ้า ส่วนตรงริมขอบฟ้า มีเจ้าแห่งราตรีกาลเคลื่อนตัวมาจ่อรอแล้ว

สายตาของหนุ่มสาวยังคงมองทอดออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าที่น่าประทับใจ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะแอบหันมามองใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา สันกรามคมสันนั้นช่างดูรับกันดีกับผิวสีน้ำผึ้งและจมูกที่สูงโด่ง อีกหนวดเคราที่ถูกจัดแต่งอย่างมีระเบียบก็ดูสะอาดสะอ้าน และครั้นมองนานๆ ก็ทำเอาใบหน้าสาวน้อยแดงซ่านขึ้นมาในทันใด

และเมื่อชายหนุ่มรู้ตัวแล้วว่าถูกคนแอบมอง เขาก็หันกลับมายกยิ้มมุมปากให้ เมื่อนั้นคนทั้งสองเลยได้สบตากันอย่างมีความหมาย และก็เป็นคนที่ไม่ประสาที่รีบหลุบตาต่ำลงไป ‘นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน’ ภายใต้โครงหน้าคมเข้มนั้น ทำเอาหัวใจสาวน้อยหวั่นไหวเต้นไปไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว

“ที่บางกอก คนเขาเรียกครูว่าครูเหมือนทางนี้ไหมเจ้า”

“เปล่าหรอก…พวกเขาเรียกฉันว่านายกอง”

“นายกอง?” คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากัน สำแดงว่าสงสัย “นายกองอันใดหรือเจ้า ข้านึกว่าครูเป็นครูจริงๆ เสียอีก”

ชายหนุ่มหัวเราะใส่คนช่างถาม “เอาเป็นว่า ไว้วันหลังฉันจะให้เธอดูรูปถ่ายของฉันแทนก็แล้วกัน เวลาไปไหนมาไหน ฉันมักพกรูปถ่ายติดตัวไว้ประมาณหนึ่ง เอาไว้เผื่อคนเขาถาม”

“ที่เรือนของพ่อเลี้ยงก็มีรูปถ่ายมากมาย แขวนอยู่ในกรอบไม้ติดฝาบ้าน ส่วนใหญ่เป็นรูปช้างลากซุงในปางไม้ของเขา มีรูปเมียเก่าที่ตายไปแล้วใส่กรอบติดฝาผนังไว้ด้วย บ่รู้ทำไม”

ครูหนุ่มค่อยๆ หุบยิ้มและเงียบลงไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น ไม่มีความคิดเห็น ไม่พูดต่อ หากสันกรามด้านข้างกลับเป็นสันนูนเหมือนกำลังกัดฟัน ความเงียบงันของเขายิ่งนานยิ่งเสียงดัง จันทร์หล้าเลยเข้าใจว่าตนอาจจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำลายบรรยากาศ

“อายุสิบเจ็ด สิบแปด ทางบางกอกเขาไม่รีบแต่งงานออกเรือนดอกหนา” เขากล่าวหากใบหน้ายังมองตรงไปทางวิวทิวทัศน์ “…เขายังเรียนหนังสือกันอยู่ชั้นมอศอห้า กำลังเตรียมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

“หากข้าเจ้าได้เกิดเป็นคนบางกอกก็คงจะดี ตอนนี้ก็คงจะกำลังได้เรียนหนังสืออยู่ชั้นมอศอห้า อย่างที่ครูว่า เสียดายข้าเกิดเป็นคนบ้านป่า ตัวหนังสือสักตัวข้าก็บ่รู้ แถมตอนนี้ก็กำลังกลัวว่าจะถูกขายตัวเข้าไปในปางไม้ให้พ่อเลี้ยงเฒ่าคราวพ่อ พอฟังแล้ว ครูสังเวชข้าเลยใช่ไหม”

“จันทร์หล้า…ฟังฉันนะ คนเราน่ะ ต่างก็มีสิทธิ์ในร่างกายของตนเองกันทุกคน หากเธอไม่เต็มใจก็จะไม่มีใครมาขืนบังคับจิตใจเธอได้ หากไม่พอใจต้องลุกขึ้นสู้ อย่าเอาแต่เงียบ ยืนหยัดเพื่อตัวเอง”

“ยืนหยัดเพื่อตัวเอง?” นัยน์ตาหญิงสาวเป็นประกาย ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน “แต่ข้าเป็นเพียงหญิง ข้าจะยืนหยัดเพื่อตัวเองได้จริงๆ หรือ…ใครๆ ก็บอกว่าเกิดเป็นหญิง จะมีแรงอันใดไปทัดทานชายได้”

“ได้สิ สยามเมื่อสมัยแปดสิบปีที่แล้วก็มีความเชื่อหนึ่งที่ดูจะคล้ายๆ กันกับถิ่นทางนี้ ในยุคนั้นมีคำกล่าวที่ว่า ‘หญิงเป็นควาย ชายเป็นคน’ เหตุเพราะพ่อ แม่หรือผัวมีสิทธิ์ที่จะยกหรือสามารถตั้งราคาซื้อขายลูกและเมียให้คนอื่นได้”

“หญิงสยามในสมัยก่อน ก็เคยถูกพ่อแม่ยกให้กับชายอื่น โดยที่พวกเขาบ่เต็มใจหรือ”

“ใช่ ตอนนั้น สิทธิของหญิงยังไม่เท่าเทียมกับชายนัก หญิงสาวส่วนใหญ่จึงถูกประเมินค่าต่ำในสังคม จะมาเปลี่ยนเอาก็ตอนเมื่อเกิดการถวายฎีกาของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชน บีบบังคับให้แต่งงานกับคนที่หล่อนไม่ได้สมัครใจรัก หล่อนชื่อว่า อำแดงเหมือน ภายหลัง สยามจึงตราข้อห้ามเกี่ยวกับสิทธิสตรีอันว่าด้วย คนเราทุกคนล้วนมีความเป็นมนุษย์ มีชีวิตและจิตใจ หาใช่สิ่งของซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือข่มเหงรังแกกันได้…นี่แหละ การยืนหยัดเพื่อตัวเอง”

“ครูรู้เรื่องราวดีแท้นัก ครูเป็นคนเก่ง เรื่องเล่าเกี่ยวกับชาวสยามของครูทำให้ข้ามีกำลังใจ”

“ฉันจะสอนให้นะจันทร์หล้า สิ่งเดียวที่จะทำให้คนเราเอาตัวรอดจากการถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบได้นั่นคือ ‘การศึกษา’ คนมีการศึกษาไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบาก ในวันข้างหน้า หากมีใครยื่นตำราหนังสือให้เธอ คนผู้นั้นเป็นคนดี ให้เธอรีบคว้าโอกาสนั้นเอาไว้”

“ข้าเจ้าจะจำคำครูไว้”

“ฉันสอนให้เพราะฉันหวังดี”

จันทร์หล้าได้ฟังครูหนุ่มอ้างถึงสิทธิและเสรีภาพของคนเมืองหลวงแล้วสายตาเป็นประกาย คิดในใจว่าหากจะมีใครสักคนที่เห็นใจในสิ่งที่นางกำลังเผชิญอยู่ ก็คงจะเป็นชายจากเมืองหลวงคนนี้แหละกระมัง

“ข้าเจ้าอยากถักเสื้ออุ่นให้ครู ยามหน้าหนาว อากาศทางบ้านเฮาหนาวเย็นนัก ครูมาจากทางเมืองร้อน หากบ่คุ้นชินอากาศ ก็อาจจะเป็นไข้บ่สบายเอาได้ง่ายๆ”

“ขอบใจเธอเหลือเกินที่หวังดีและคิดเผื่อตัวฉัน เกรงแต่ว่า ฉันอาจจะอยู่ในหมู่บ้านไม่ถึงหน้าหนาวตอนนั้น ฉันจำต้องออกจากหมู่บ้านเพื่อกลับไปทำราชการต่อ”

“ไปเมื่อไหร่”

“อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า”

“แล้วกัน…”

เสี้ยวหน้านวลที่กำลังต้องแสงตะวันค้างฟ้าสลดลงไปในทันควัน ครูราชเห็นหญิงสาวนิ่งเศร้าโดยพลันก็อดนึกโทษตัวเองเสียไม่ได้ ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ดวงตากลมใสคู่นั้นไม่มีประกายเหมือนเดิม ว่าแล้วชายหนุ่มก็จึงค่อยๆ โหนเหนี่ยวกิ่งไม้เพื่อขยับย้ายเข้ามานั่งลงข้างๆ แล้วจึงทำเป็นพูดไปโน่นนี่

“อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาได้สักพัก ฉันเพิ่งจะได้มาเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างนี้ ก็ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถ้าเธอไม่พามา ฉันก็คงไม่ได้เห็นอะไรอย่างนี้เป็นแน่ ต้องขอบใจเธอเหลือเกิน”

“ที่บางกอก จะมีทิวทัศน์ใดเล่างดงามเพียงพอกับดอยหลวงเฮาได้”

ชายหนุ่มเพียงยิ้มและส่ายหน้า “ไม่มี ความงามทางนี้เป็นธรรมชาติและบริสุทธิ์ยิ่ง จนบางทีฉันไม่อยากจาก”

“ครูจะกลับมาที่นี่อีกไหมเจ้า”

“แน่นอนสิ ฉันสัญญาว่าหากว่างเว้นจากราชการเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาเยี่ยมเธอที่นี่อีกเป็นแน่ ว่าแต่ ไม่รู้ว่าหากฉันจากไปแล้ว เธอจะยังจดจำฉันได้อยู่ไหม เธอ…จะคิดถึงฉันบ้างไหม”

“คิดถึงสิเจ้า”

หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดั่งแววตาที่มองมา คำตอบอันใสซื่อบริสุทธิ์ดั่งน้ำทิพย์นั้นได้ซึมลึกหยั่งรากลงไปยังหัวใจของอีกฝ่าย ทะลวงเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่ความจริงใจจะไปถึง ดังนั้นแล้ว ความรู้สึกที่บังเกิดขึ้นในใจครูหนุ่ม จึงไม่วายที่จะทำให้เขาทั้งสุขใจและทั้งเศร้าใจในคราวเดียวกัน

“ฉันเอง…ก็คงจะคิดถึงเธอเป็นหลายเท่าพันทวี”

เอื้อมมือไปกุมมือเล็กบางเอาไว้อย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มนึกปรารถนาเพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะมีความสุขอันแสนเรียบง่าย เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนต้องจากที่นี่ไปทำต่อยังเบื้องหน้า แต่ก่อนจะจากไป เขาปรารถนาที่จะได้ปลอบประโลมใจดวงน้อยที่กำลังจะแตกสลายด้วยไร้ซึ่งอิสรภาพ อันที่จริง เขารู้เรื่องราวของหญิงสาวมาแล้วก่อนหน้าจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ว่าแล้วก็อดสู

ทุกๆ วันหลังจากนั้น หลังเสร็จสิ้นชั่วโมงแห่งตำราหนังสือ ทั้งครูราชและจันทร์หล้าก็จะพากันปั่นจักรยานไปยังสถานที่ที่เป็นของพวกเขาทั้งสอง

ต้นไม้ต้นเดิมเริ่มผลิดอกออกแม้จะเป็นหน้าร้อน ยิ่งส่งให้ช่วงเวลาอันแสนสั้นยิ่งมีความหมาย หนุ่มสาวได้ใช้เวลาเหล่านั้นซึมซับบรรยากาศและอาบแสงสนธยาร่วมกันในแต่ละวัน อีกทั้งยังปลอบโยนหัวใจซึ่งกันและกันด้วยเรื่องเล่าประจำวันที่แสนสนุกสนาน แม้กำหนดวันเดินทางออกจากหมู่บ้านจะใกล้เข้ามา หากแต่ความรักที่ก่อตัวขึ้นก่อนแสงอาทิตย์จะอัสดงนั้นช่างยากจะปฏิเสธได้ และในวันสุดท้ายของการเป็นครูและศิษย์ จึงเต็มไปด้วยการเอาแต่ลอบมองกันไปมาอย่างเปิดเผยจนหมดชั่วโมงของการเรียน

การพยายามจดจำทุกอย่างของเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกซาบซ่าที่แปลกประหลาด เพราะแม้ไม่อาจเข้าใจความหมายของคำว่ารักระหว่างหนุ่มสาวได้อย่างลึกซึ้ง แต่จันทร์หล้าก็แค่อยากจะจดจำสีดวงตาของครูราชให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เขาจะจากไป

เด็กสาวผู้ไม่เคยปรารถนาเรื่องของการได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของใคร แต่ครั้งนี้ นางกลับปรารถนาให้ครูราชจดจำนางได้ และหากเผอิญว่าได้เข้าไปอยู่ในก้นบึ้งความทรงจำของชายหนุ่มได้ ก็เป็นอันยินดี…

 

คืนนี้ดวงจันทร์ทอประกายแสงสว่างกล้า ส่องลอดยอดใบไม้ลงมาเป็นดวงเป็นด่าง อีกแสงโคมไฟที่เรือนต่างๆ จุดไว้ตามหน้าเรือนและรายทาง ก็ทำให้เห็นถนนหนทางที่มีอ้ายหนุ่มบ้านเหนือบ้านใต้ที่กำลังรวมกลุ่มกันเดินสะพายซึงเพื่อไปหาขึ้นเรือนแอ่วสาว

จันทร์หล้าที่ออกมานั่งนอกชานกำลังทำงานผ้าเย็บปักถักร้อย ส่วนผู้เป็นพ่อและแม่กำลังนั่งสูบบุหรี่
ขี้โยมวนโตและเคี้ยวเมี่ยงใบชาหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ส่วนพี่สาว เมื่อเอาเนื้อไก่ป่าที่ผัวหล่อนไปใส่แฮ้วมาได้จากในป่ามาส่งให้ ก็ต้องรีบแจ้นกลับเรือนไปดูแลลูกผัว

เสียงหมาเห่ากรรโชกมาตามรายทาง คงจะเป็นอ้ายหนุ่มที่มักมาขึ้นเรือนแอ่วหาลูกสาวเรือนข้างๆ เหมือนเดิมประจำทุกวัน นายแก้วมาที่กำลังนอนหนุนหมอนเก่าคร่ำอยู่ตรงชานเรือนฉุกคิด หากแต่คืนนี้หมาเห่าเสียงแปลก และมาหยุดเห่าลงตรงที่หน้าเรือนตนเอาเสียได้

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงขันตักน้ำราดเท้าอยู่ตรงเชิงบันได เจ้าเรือนรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างประหลาดใจ ก่อนจะส่งสายตาให้นางแสงใบผู้เป็นเมียที่กำลังนั่งถักเชือกให้ลุกไปดูที่บันไดเรือนว่ามีใครมา จันทร์หล้าหยุดงานในมือลงไปด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ จดจ่อภาวนาว่าขอให้เป็นใครก็ได้ที่มาเยี่ยมเรือนในเวลาแบบนี้ ไม่ใช่พ่อเลี้ยงเฒ่าเจ้าของปางไม้นั่น

จนกระทั่งเมื่อชายหนุ่มปรากฏกายขึ้นตรงบันได คนบนเรือนทั้งสามก็ต่างตกใจจนตะลึงพรึงเพริดอย่างไม่คิดไม่ฝัน พานทำตัวกันไม่ถูก

“ครูราช!” เจ้าของเรือนร้องเสียงหลง นึกไม่ถึงว่าชายคนแรกที่กล้าขึ้นเรือนมาแอ่วหาลูกสาวคนเล็กของตน จะเป็นครูหนุ่มชาวสยามคนนั้นไปเสียได้

จันทร์หล้าเองก็ทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าครูมีธุระอะไรถึงมาหานางที่เรือนในช่วงค่ำ และไม่มั่นใจมากพอว่าเขาจะรู้ถึงประเพณีการขึ้นเรือนหญิงสาวตอนช่วงหัวค่ำของทางเหนือนี้หรือไม่ แต่เมื่อชายหนุ่มเอ่ยบอกจุดประสงค์ในการมาเยือนต่อเจ้าของเรือนเสียงดังฟังชัด ก็ทำเอาหญิงสาวสะกดกลั้นหัวเราะไว้แทบไม่ไหว เพราะปกติชายหนุ่มทางนี้นั้น เขาไม่ได้พูดอะไรทำนองนี้กัน

“ฉันมาขอคุยกับจันทร์หล้า”

“อี่หล้า ครูมา…เอาน้ำท่ามาสู่ท่านด้วย”

ผู้เป็นแม่ทำทีเป็นตะโกนบอกลูกสาว ก่อนตนกับพ่อของอี่หล้าจะพากันขยับย้ายไปนั่งอยู่ในห้องด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ปล่อยให้ลูกสาวคนเล็กและครูหนุ่มได้อยู่กันตามลำพัง แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยังไม่วายแอบมองผ่านช่องผนังเพื่อดูความเป็นไปทางด้านนอก

เมื่อเห็นพ่อแม่หลบเข้าไปด้านในเรือนแล้ว จันทร์หล้าก็จึงเชื้อเชิญชายหนุ่มให้เข้ามานั่งตรงชาน ก่อนจะยื่นขันน้ำเย็นส่งให้เขาด้วยรอยยิ้มประหม่า

ครูราชรับขันน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณอย่างเอาจริงเอาจัง

“นี่หรือ การอยู่นอกของเธอ”

“แม่นเจ้า” หญิงสาวตอบเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะถามแก้เขิน “ว่าแต่ ครูมาหาข้าเจ้าเวลานี้มีธุระการใด”

ครูราชกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง หันซ้ายหันขวาอย่างประหม่า ก่อนจะยืดตัวขึ้น แล้วว่า…

“ดึกมามาบม้อย สาวน้อยนั่งนอก

อ้ายคนบางกอก             ขอเจ้าออกฮับต้อนอ้ายหนา”

“ครูราช…” สาวน้อยโพล่งเสียงหัวเราะออกทันควัน ทั้งเขินทั้งขำกับท่าทีครูหนุ่มที่เอ่ยอ้างคำค่าวเริ่มต้นจีบสาวเป็นภาษาเหนือ ครูหนุ่มบอกให้นางเงียบเสียง เพื่อที่เขาจะได้ว่าต่อ…

“อ้ายย่างล่องกอง           หมาเมียงมองหน้า

ขอน้องจันตา                  หันใจตัวอ้าย

หนีหมาแหงบขบ            อิดแมะฮิมต๋าย

ขอพักมะดาย                 บ่ดีไล่ข้า

ถ้าว่าสาวจี๋                     ใจดีเมตต๋า

อ้ายขอกินข้าว                แลงตวย”

จันทร์หล้าพยายามกลั้นหัวเราะจนท้องเกร็งครั้งแล้วครั้งเล่า หากแต่ก็เอ็นดูในความพยายามของเขาเหลือคณา อดไม่ได้ที่จะถาม

“ครูไปเอาคำค่าวจีบสาวพวกนี้มาจากไหน ใครสอนครูกัน”

“ก็พวกหนุ่มๆ ที่เคยนั่งกินเหล้ายาปลาปิ้งด้วยกันนี่แหละ พวกเขาบอกกับฉันว่า หากฉันต้องไปขึ้นเรือนสาวยามหัวค่ำ ฉันก็จำต้องท่องบทค่าวกลอนพวกนี้ให้ได้ คนทางเหนือเขาจีบสาวกันแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”

สาวน้อยพยักหน้าลงไม่ค่อยเต็มหน้า เนียมอายเมื่อได้ยินคำว่าจีบสาว

“หากว่าท่องจำมา ครูก็คงจะบ่เข้าใจความหมายของมัน”

“ฉันเข้าใจก็แล้วกัน…น้องสาวคนนี้กินข้าวแลงกับอะไรหนา” ครูราชยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ

“โธ่ครู อย่าแกล้งข้าเจ้าสิ ข้าเจ้าพูดค่าวบ่เป็น”

“ไม่ได้หรอก เธอต้องตอบฉันด้วยสิ”

จันทร์หล้ายกหลังมือเช็ดน้ำหูน้ำตา นึกไปสักพัก แล้วก็จึงว่า

“กินผักกินไม้ กินใต้กินเหนือ กินผักกินเครือ กินเหนือกินใต้”

ครูราชปรบมือให้เมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนก็ล้วงเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าย่ามใบสีน้ำเงินเข้มที่สะพายติดตัวมา สาวน้อยตาเป็นประกาย ก่อนจะยกมือไหว้และรับสมุดปกหนังสีน้ำตาลที่เขายื่นส่งให้มาเปิดดูด้วยความระมัดระวัง

“จำตอนนั้นที่ฉันบอกว่าจะให้เธอดูรูปถ่ายของฉันได้ไหม นี่ไง ฉันเอาสมุดภาพมาให้เธอดู เห็นว่าเธออยากเห็นบ้านเมืองที่เมืองบางกอกหนักหนา ว่าเป็นอย่างไร”

สมุดเล่มหนาเล่มนั้นเต็มไปด้วยภาพถ่ายขาวดำที่เป็นภาพบ้านเมืองบางกอกที่ศิวิไลซ์ ทั้งภาพตึกรามบ้านช่องและภาพสถานีรถไฟ อีกสถานที่สำคัญต่างๆ ถนนหนทางที่เต็มไปด้วยยานพาหนะ เสาไฟและผู้คนที่แต่งกายโก้เก๋ทั้งชายและหญิง รูปวัดวาอาราม หรือรูปภาพบุคคลก็มีให้เลือกดูอย่างตื่นตาตื่นใจ

จันทร์หล้าหยิบภาพถ่ายแต่ละใบออกมาส่องดูภายใต้แสงเทียนอย่างระวังมือ ตื่นเต้นและดีใจสุดๆ ที่ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ผ่านภาพถ่ายเหล่านั้น เมืองบางกอกไม่เหมือนกับบ้านเมืองทางนี้จริงๆ ทั้งบ้านเรือน ผู้คนและวิถีชีวิต ว่าแล้วตาก็ไปสะดุดเข้ากับรูปถ่ายของชายหนุ่มในชุดเครื่องทรงแบบทหารเต็มยศที่ดูแปลกตา เขานั่งร่วมแถวอยู่กับคนอื่นๆ ในชุดเครื่องแบบเดียวกัน ในภาพมีทั้งคนที่นั่งกับพื้นด้านหน้าและคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทุกคนสวมหมวกและมีมีดดาบเล่มยาวประจำกาย สวมใส่รองเท้าหนังสีดำเป็นมันเลื่อม

“อ้อ…ใช่ นี่แหละ เหตุที่คนเขาเรียกฉันว่านายกอง”

“นายกองช่างหล่อเหลาเหลือเกิน”

ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยแววตาที่อ่อนโยนเมื่อได้ยินสำเนียงชื่นชมที่จริงใจ หากแต่เขาไม่ได้บอกยศถาและบรรดาศักดิ์ที่แท้จริงออกไป ซึ่งจันทร์หล้าเองก็ไม่คิดถามละลาบละล้วงมากไปกว่าคำที่เขาบอกเล่า

ทั้งสองหยิบจับภาพถ่ายใบนั้นใบนี้ส่งให้กันไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ รูปถ่ายทุกใบล้วนแล้วแต่มีเรื่องเล่าเป็นปูมหลังจากประสบการณ์ของชายหนุ่มที่น่าเหลือเชื่อแตกต่างกันไป จนท้ายที่สุดของค่ำคืน ครูราชจึงให้จันทร์หล้าเลือกภาพถ่ายใบหนึ่งเก็บไว้ เอาใช้เป็นที่ระลึกถึงระหว่างกันยามที่เขาออกจากหมู่บ้านไปแล้ว

สาวน้อยไม่รีรอที่จะเลือกรูปถ่ายที่เป็นภาพหน้าตรงของเขา เพราะมันเป็นรูปเพียงใบเดียวที่เผยให้เห็นสัดส่วนบนใบหน้าคมเข้มสมชายชาตรีอย่างแจ่มชัด เป็นภาพขนาดครึ่งตัว เขาสวมเสื้อราชปะแตนสีขาวคอปิดและหวีผมเรียบเสยไปด้านหลัง หนวดเคราถูกเกลาจนเกลี้ยงส่งให้ใบหน้าดูหล่อเหลาเข้าไปใหญ่จุดเด่นของเขาคือสันกรามที่เห็นคมชัดและดวงตาสีอ่อน

ครูราชยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะบรรจงเขียนข้อความอะไรบางอย่างลงไปบนภาพถ่ายขาวดำใบนั้น

ให้ไว้เพื่อจะได้คิดถึงกัน…ราช กิตตินันท์

 



Don`t copy text!