แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 20 : หมู่บ้านปะหล่อง

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 20 : หมู่บ้านปะหล่อง

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

เส้นทางแยกแปลกเข้าไปในป่าลึกเป็นทางเปลี่ยว นานๆ ถึงจะมีชาวเขาจูงลาแบกสัมภาระสวนทางมาสักคน ทางแสนกันดาร เต็มไปด้วยขี้ดินเหนียวเป็นทางคดเคี้ยวเลี้ยวโค้งขึ้นเขาลงตลิ่งที่ลาดชัน ผืนฟ้าข้างบนภูเขาแห่งนี้โปร่งกว่าด้านล่างมาก ที่ตรงนี้หมอกลงมุงไปทั่วบริเวณ

ไม่นาน กองคาราวานก็เดินทางเข้าสู่หมู่บ้านชาวเขาแห่งหนึ่ง ที่อยู่รวมกันเป็นชุมชนขนาดใหญ่กลางดงไพร

เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเท่านั้น เหล่าเด็กๆ และชาวบ้านต่างรีบออกมายืนมองผู้เดินทางมาเยือนด้วยความงวยงง พวกเด็กๆ จึงเดินตามขบวนม้ามาตลอดทาง กระทั่งมาถึงหน้าเรือนของพ่อเฒ่าประจำหมู่บ้านที่มีเรือนหลังใหญ่กว่าใคร

เรือนของพ่อเฒ่ากว้างขวาง รายล้อมไปด้วยเรือนบริวารน้อยใหญ่ สักพักมีชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับ แจ้งว่าเป็นบุตรชายของพ่อเฒ่าและเป็นผู้ใหญ่บ้าน เขาอาสาไปตามพ่อเฒ่าออกมา

เพียงไม่นาน พ่อเฒ่าวัยเกือบแปดสิบก็ถือไม้เท้าออกมาต้อนรับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเดินทางมาอย่างยินดียิ่ง ก่อนจะเชื้อเชิญให้เจ้าชายหนุ่มขึ้นไปบนเรือน

จันทร์หล้าที่อยู่รอด้านนอกกับคนอื่นๆ มองไปรอบๆ บริเวณนี้ เห็นชาวบ้านทำตัวลับๆ ล่อๆ ยืนชะโชกมองราวกับพวกนางเป็นคนแปลกหน้า แต่ก็คนแปลกหน้าจริงๆ นั่นแหละ เพราะการแต่งกายและภาษาพูดที่แตกต่างกัน

“พวกปะหล่อง” อ่องมินตูบอกหญิงสาว เมื่อเห็นความฉงนปรากฏบนใบหน้า “…ลี้ภัยสงครามมาจากเมืองม่านตอนที่เกิดสงครามสมัยก่อน เจ้าฟ้าหลวงทรงช่วยเหลือพวกเขาไว้ในความอุปถัมภ์ จัดหาที่อยู่ที่กิน แต่พวกเขาขยับย้ายหนีเข้ามาอยู่จนลึก จนห่างหายกันไป”

หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะพิจดูเครื่องแต่งกายที่พวกเขาสวมใส่อย่างตื่นตา พวกเด็กผู้หญิงมีใบหน้ากลมเกลี้ยง ผิวขาว สวมชุดผ้าฝ้ายทอมือ ตกแต่งด้วยลูกเดือย ลูกปัดและเครื่องเงินลวดลายสวยงาม

“พวกเขาเรียกตนเองว่า ‘ดาราอั้ง’ ที่แปลว่า คนดอยหรือคนภูเขา ส่วนผู้คนข้างนอกเรียกพวกเขาว่า ‘ปะหล่อง’”

จันทร์หล้านั่งมองพวกเขาอย่างสนใจ พวกชาวดอยอัธยาศัยดี พวกเด็กน้อยหลายคนพากันเข้ามาห้อมล้อมนาง ก่อนจะหามงกุฎดอกบัวตองมาสวมศีรษะให้ แถมบอกว่าจันทร์หล้าคือ ‘หรอยเงิน’ หญิงสาวไม่เข้าใจที่เด็กๆ พูด หากได้อ่องมินตูคอยช่วยอธิบาย

“ชาวปะหล่องนับถือผี บ่ไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าเหมือนคนเมืองอย่างเฮา เมื่อมีผีก็ต้องมีเทวดา เมื่อมีเทวดาก็ต้องมีนางฟ้า พวกเขาเชื่อว่าตนเป็นลูกหลานนางฟ้า เล่าสืบต่อกันมานมนาน ว่ามีนางฟ้าตนหนึ่งชื่อ ‘หรอยเงิน’ ได้ลงมายังโลกมนุษย์ แต่โชคร้ายไปติดแร้วดักสัตว์ของบรรพบุรุษของพวกเขา ทำให้บ่สามารถกลับสวรรค์ได้ จึงจำต้องอยู่บนโลกมนุษย์นับแต่นั้นมา”

ครั้นเจ้าแกมเมืองลงเรือนมากับพ่อเฒ่า พวกชาวเขาคนที่รอด้านนอกต่างก็นั่งลงกับพื้น ยกมือขึ้นไหว้สา พ่อเฒ่าพูดเป็นภาษาชนเผ่าเพื่อแจ้งแก่ชาวบ้านว่า เขาเป็นเจ้านายและจะเป็นผู้นำความเจริญมาที่หมู่บ้าน

เจ้าแกมเมืองให้ข้าชายนำของในกระสอบที่บรรทุกบนหลังม้ามาแจกจ่ายให้พวกชาวบ้าน อันกอปรด้วยเครื่องนุ่งห่มกันหนาวและยารักษาโรค พวกชาวบ้านต่างรีบหอบลูกจูงหลานมายืนรอรับของแจก และเพื่อขอบคุณคนเดินทางมาไกล ผู้ใหญ่บ้านจึงจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ขึ้นในเย็นนั้น

ช่วงหัวค่ำ พวกชาวบ้านพากันฆ่าหมูและเป็ดไก่ เพื่อจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟกลางลานหมู่บ้าน สาวๆ ชาวปะหล่องช่วยกันจัดแจงสถานที่ พวกหล่อนปูเสื่อที่นั่ง ส่วนพวกผู้ชายต่างช่วยกันหาฟืนมาก่อกองไฟกองใหญ่

พวกผู้หญิงวัยรุ่นพากันแต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องแต่งกายประจำชนเผ่า เสื้อผ่าหน้าแขนกระบอกเอวลอย สีสันสดใส คนส่วนใหญ่มักใส่สีฟ้าหรือสีเขียว สวมผ้าซิ่นทอมือสีแดงริ้วขาวขวางลำตัวกรอมเท้า ทุกคนล้วนโพกศีรษะด้วยผ้าผืนยาว พาดไว้ใต้มวยผมด้านหลังแล้วทบซ้อนมาด้านหน้า สวมวงเอวที่เรียกว่า ‘หน่องว่อง’

เจ้าแกมเมืองถูกเชิญให้มานั่งลงบนเสื่อผืนใหญ่ อยู่ท่ามกลางวงล้อมของชาวบ้าน คู่กับผู้ใหญ่บ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้าน มีบุตรสาวของผู้ใหญ่บ้านคอยปรนบัติอยู่ใกล้ๆ

บุตรสาวของผู้ใหญ่บ้านทั้งสองเป็นคนสวย ทั้งสองพี่น้องมีเครื่องหน้าละม้ายคล้ายกัน แต่งามคนละแบบ แม้จะเขินอายอยู่ในที แต่ทั้งสองก็รับของแขกอย่างดี และดูจะตกใจมากเมื่อรู้ว่าหนึ่งในหนุ่มหน้าหยกที่เดินทางมากับคณะของเจ้านายเป็นผู้หญิง แถมจะนอนเรือนเดียวกับผู้ชายอีกต่างหาก

“สูเป็นหญิง บ่ดีนอนเรือนเดียวกับชายหากบ่แม่นผัวเมียกัน มันผิดผีของคนที่นี่” พวกหล่อนเตือนจันทร์หล้าด้วยความเป็นห่วง ตอนเอาชุดนุ่งห่มผืนใหม่มาให้เปลี่ยนตอนหัวค่ำ

“แล้วจะให้ข้านอนที่ไหนกันเล่า”

“ไปนอนกับพวกข้าสิ ที่เรือนพวกข้ากว้างขวาง ห้องนอนของพวกข้า ข้านอนกันสองคน”

ท้ายที่สุดหญิงสาวก็เออออตามพวกหล่อน เพราะใจจริงนางก็ไม่ได้อยากนอนร่วมเรือนเดียวกับเจ้าแกมเมืองสักเท่าไร

‘ลงนอนกับฉัน เธอก็เป็นเมียฉัน’ นึกถึงคำนี้ทีไร ขนแขนลุกอย่างไรไม่รู้

จันทร์หล้านั่งทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย และรู้สึกอุ่นใจกว่าเมื่อคืน ยอมรับกับใจว่าสิ่งที่นางเห็นนั้นไม่ใช่ตาฝาด และนั่นเป็นครั้งแรกที่นางเห็นผี นางอาจจะไม่ได้ตื่นกลัวมากนัก และอาจจะผลักความผิดนี้ให้เป็นอาการทางจิตที่ยังไม่หายดี แต่ทว่าเมื่อเจ้าแกมเมืองเองก็เห็นเหมือนกัน นั่นยิ่งตอกย้ำว่า สิ่งที่นางเห็นตรงโขดหินนั้นคือสิ่งเหนือธรรมชาติ

หญิงสาวเหลือบมองเขาที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไป ทว่าเมื่อยามหันไปมอง นางก็รู้สึกว่าสายตาเจ้าชายหนุ่มมองมาที่นางตลอด หันไปทีไรก็ถูกโดนจังหวะสบตา ยิ่งเมื่อเขามองแช่นานๆ จันทร์หล้าก็ยิ่งระแวง…ไม่เป็นไร คืนนี้ยังไงนางจะไปนอนกับบุตรสาวผู้ใหญ่บ้านอยู่แล้ว พอรุ่งเช้าคณะก็คงมุ่งหน้ากลับแสนฟ้าทันที

“จะไปไหน นั่งด้วยกันสิ” เจ้าแกมเมืองทักขึ้น เมื่อเห็นจันทร์หล้ากำลังจะลุกจากเสื่อที่นั่งร่วมวงเดียวกัน

จันทร์หล้าในชุดสาวชาวปะหล่องมองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนจะตอบ “ข้าจะไปนั่งกับมินตูทางนู้น”

“หึ ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็ คือ…”

“นั่งกับฉันที่นี่ ตรงนี้” เขาออกคำสั่งเสียงแข็ง จนทุกคนหันมามองทั้งคู่เป็นตาเดียว “นั่งลง เดี๋ยวมินตูก็มานั่งตรงนี้”

จันทร์หล้าไม่อยากให้งานกร่อย จึงจำต้องนั่งลงตามเดิม สักพักองครักษ์นักฆ่าผู้นั้นก็ขยับมานั่งข้างๆ เจ้าแกมเมือง

นางจับสังเกต ยามผู้ใหญ่บ้านส่งจอกเหล้าให้เจ้าแกมเมืองคราใด เขาจะจำต้องส่งให้อ่องมินตูดื่มก่อนทุกครั้ง แล้วจึงจะดื่มตาม เมื่อผู้ใหญ่บ้านถาม เขาก็บอกว่าเป็นธรรมเนียมของคนในเมือง นางรู้ว่าเขาปด นางทำงานอยู่ในคุ้มเจ้านายมาระยะเวลาหนึ่ง ไม่เคยได้ยินธรรมเนียมที่ว่า

เมื่อถึง ‘คากาโชมดีบยา’ หรือการรำวงหนุ่มสาวของชาวปะหล่อง หนุ่มสาวก็ออกมารำวงตามจังหวะบทเพลงและดนตรีที่ร่วมกันร้องอย่างสนุกสนาน หากแต่จะไม่มีการถูกเนื้อต้องตัวหรือล่วงเกินกัน โดยเฉพาะหญิงสาว เพราะก็จะถือว่าเป็นการผิดผี และชายหนุ่มจะต้องไปขอขมาผี โดยให้หมอผีเป็นผู้ทำพิธี ซึ่งหากไม่ทำพิธีขอขมา ตามกฎแล้ว คนผู้นั้นจะโดนขับไล่ออกจากหมู่บ้านไป

เสียงหัวเราะปรบมือตามเสียงเพลง จากเครื่องดนตรีพื้นบ้านดังครื้นเครง สักพัก เด็กหญิงคนหนึ่งก็วิ่งมาดึงแขนจันทร์หล้าให้ไปรำวงกับพวกเขา

“ข้าเต้นรำบ่เป็น”

หญิงสาวปฏิเสธ หากแต่เด็กหญิงคนนั้นยังคงรบเร้าให้นางออกไป

“หากเธอปฏิเสธ พวกเขาจะถือว่าเธอรังเกียจชาวปะหล่อง…เหตุใดถึงบอกว่าฟ้อนรำไม่เป็น ตอนนั้นเธอยังฟ้อนต้อนรับพวกข้าหลวงเอวแอ่นเอวอ่อนอยู่บนเวที เธอเป็นเจ้าหญิงตะบินไดไม่ใช่หรือ” เจ้าแกมเมืองพูดขณะที่ยกแก้วเหล้าต้มขึ้นดื่ม น้ำเมาฉาบดวงตาเขาให้เริ่มหยาดเยิ้มและแดงก่ำ

จันทร์หล้าออกเสียงจิ๊เบาๆ ใส่เขาด้วยความไม่พอใจในคำกระแหนะกระแหน ก่อนจะยอมออกไปร่วมวงฟ้อนรำ

สักพักใหญ่ๆ พวกเด็กชายก็มาเชิญเจ้าแกมเมืองให้ไปร่วมรำวงอีกคน ครั้นถึงช่วงจับคู่เต้นรำ เจ้าชายและจันทร์หล้าก็ถูกจับให้คู่กัน ทำให้ระยะห่างของทั้งสองใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ พอที่จะได้สบตากัน แต่จันทร์หล้าไม่กล้าสบตาคมกล้านั้น จึงทำทีเป็นหันไปมองทางอื่น แต่นางไม่รู้ตัว ว่าท่าทีเหนียมอายและประหม่านี่แหละ จะทำให้คนตรงหน้าจ้องมองอย่างไม่วางสายตา

“เธอแต่งกายใส่ผ้าถุงของชาวปะหล่อง เธอก็ดูเหมือนคนปะหล่องดี”

“นั่นเป็นคำชมที่แห้งผากเสียเหลือเกิน”

เจ้าชายหนุ่มหัวเราะไปทางอื่น “ฉันไม่ได้ชม ฉันแค่บอกว่าเธอเหมือนคนปะหล่อง”

“ก็เป็นคำชมเหมือนแหละน่า สาวๆ ชาวปะหล่องหน้าตาจิ้มลิ้มงดงาม หากข้าเหมือนพวกเขา ข้าก็ถือว่าเป็นคนงามอยู่ดี”

“คำว่างามควรจะให้ผู้อื่นชมมากกว่านะ ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาชมตัวเองว่าเป็นคนงามกันหรอก นอกจากคนบ้า”

จันทร์หล้าอึ้งไปในบัดดล…เขารู้ได้ยังไงว่านางเป็นบ้า…

หญิงสาวทำหน้าตาพองลม แง่งอนใส่ ก่อนจะผินหน้าหนีไปรำกับคนอื่นเสียอย่างนั้น เจ้าแกมเมืองส่ายหน้าอย่างระอาตามหลัง ก่อนจะกลับเข้ามานั่งในวงดื่มกับผู้ใหญ่บ้าน

“เจ้าแกมเมืองกับอี่นายผู้นี้ ดูท่าทางแล้วจะสนิทสนมกันอยู่มาก”

สล่าเฒ่าที่นั่งดื่มหันมาคุยกับคนอื่นๆ ที่นั่งดื่มอยู่ใกล้ๆ กัน เมื่อรู้ว่าคนทั้งหมดก็คงสังเกตเห็นเช่นเดียวกับเขา

“ควบม้ามาด้วยกันตั้งสองวัน บ่รู้สึกรู้สาอันใดก็ให้มันรู้ไปสิ” ชายผู้อาวุโสน้อยที่สุดในกลุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี คำพูดเขาแฝงนัยอื่นๆ ที่เข้าใจกันในหมู่ชาย

“เจ้าแกมเมืองบ่เคยคลุกคลีกับผู้หญิงง่ายๆ แต่กับอี่นายผู้นี้ ท่านยิ้มหยอก หัวเราะชอบใจ”

“ก็อี่นายผู้นี้หน้าตาคล้ายเจ้าส่องดาว คนรักเก่าของท่าน” ชายอีกสองคนตอบขึ้นพร้อมกัน แล้วก็หันหน้าไปมองกันเองอย่างตกใจที่เผลอคิดอย่างเดียวกัน

อ่องมินตูนั่งฟังอยู่ใกล้ๆ ถอนหายใจ เหมือนเริ่มเห็นเค้าลางความยุ่งยากอยู่รางๆ

แสงจันทร์ทอดนวลส่องร่างชายหญิงที่ฉุดกระชากลากกันมา เหตุเกิดจากเมื่อตอนที่งานเลี้ยงจบลง แต่จันทร์หล้ากลับเดินตามบุตรสาวผู้ใหญ่บ้านทั้งสองกลับเรือน เจ้าแกมเมืองเห็นดังนั้น ก็จึงตามไปสั่งให้นางกลับเรือนมากับเขา แม้จะเมา แต่ท่านไม่มีวันปล่อยให้คนของท่านไปนอนกับคนแปลกหน้า จันทร์หล้าจึงหันมาแว้งใส่

“บ่แม่นผัวเมียกัน นอนด้วยกันบ่ได้ มันผิดผีของชาวปะหล่องทางนี้”

ฝ่ายเจ้าแกมเมืองขึ้นเสียงใส่ทันที “แต่ฉันไม่ใช่ชาวปะหล่อง และเธอเองก็เป็นชาวไทเชียงใหม่”

“แต่หมู่เฮาอยู่ในชุมชนของพวกเขา เจ้าท่านต้องทำตามฮีตของชาวบ้าน” จันทร์หล้ากล่าวพลางพยายามแกะมือเขาออก

“ฮีตอะไร” เจ้าชายหนุ่มตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “…บ้านนี้เมืองนี้ยังเป็นดินแดนของชาวไทคำหลวง จารีตใดกฎใด ฉันเป็นฝ่ายปกครอง ฉันรู้ดี แล้วอีกอย่าง…”

เขายื่นหน้าลงมาใกล้ ทำทีเป็นหูตาแพรวพราว

“ถ้าฉันจะผิดผีกับเธอ ฉันก็ผิดมาตั้งแต่คืนวันเลี้ยงต้อนรับแล้วละ วันนั้นฉันหอมแก้มเธอไปตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นเธออ้างถึงผีถึงสางที่ไหน”

“เจ้าท่าน!”

ยิ่งจันทร์หล้าถลึงตาใส่ ใบหน้าครึ้มหนวดก็ยิ่งยื่นเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหน จนได้กลิ่นเหล้าอ่อนๆ

“ฉะนั้น คืนนี้เธอก็ลงนอนกับฉัน เป็นเมียฉันเสียเลยสิ จะได้เสียค่าผีให้เธอครั้งเดียว”

จันทร์หล้าผวาเพราะน้ำคำคนเมา นางรีบวิ่งแจ้นหนีขึ้นเรือนไปก่อนจะรีบปิดประตูลงกลอน ว่าแล้วก็รีบลงไปห่มผ้านอนคุดคู้นอนฟังเสียงย่ำเรือนเดินตามขึ้นมา

เสียงเดินเดินมาหยุดแค่หน้าห้อง ไม่เข้าตามเข้ามาด้านใน หญิงสาวถอนหายใจโล่ง

เช้ารุ่งอรุณวันใหม่ก่อตัวขึ้นเพียงผ่านคืน หุบห้วยและภูดอยหมอกลงหนา กระท่อมหมู่บ้านของชาวปะหล่องซ่อนตัวอยู่หลังหมอกม่าน เสียงขับขานบทเพลงของเด็กน้อยชนเผ่าชาวปะหล่องที่กำลังนั่งผิงกองไฟ ดังเคียงมาพร้อมกับเสียงหมู่ป่าที่กำลังสู้รบกับสำเนียงท้องถิ่นในเล้า

คณะเดินทางรีบจัดแจงข้าวของพร้อมเตรียมตัวลงดอยเพื่อเดินทางกลับเมืองหลวง ก่อนจะเดินทางออกจากหมู่บ้าน คนทั้งหมดก็ไปอำลาผู้ใหญ่บ้านและพ่อเฒ่า

เช้าๆ แดดอ่อน บนใบหญ้ามีหยดน้ำเกลือกกลิ้ง ขึ้นเนิน ลงเนิน ป่าโปร่งแดดยังส่องถึง ดอกไม้พุ่มข้างทางมีกลุ่มผีเสื้อมาชุมนุม พวกมันมีปีกสีเหลืองสีแดงเล็กๆ ขยับกระพือกะพริบขยับวับๆ

“ถ้าข้าเป็นผีเสื้อ มีปีกข้าจะบินสูงๆ เหมือนนก”

เจ้าแกมเมืองที่สูบบุหรี่นั่งบนหลังม้าด้วยกันเลิกคิ้วแปลกใจ เขาผุยบุหรี่ไล่ยุงลิ้นที่ไต่ตอม

“ทำไม”

“ก็จะได้ไปทุกที่ที่อยากไป”

“ร้อนไหม เธอน่ะ”

จันทร์หล้าส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำถามถามมาจากด้านหลัง นางยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าเป็นวันที่สาม ข้างทางยังคงเต็มเรื่อไปด้วยป่ารกร้าง แก้มแดงปลั่งดั่งเจือสีต้นฝางหันไปถาม

“นั่น ดอยลูกนั้น เหตุใดถึงมีก้อนหินยื่นลงมาเหมือนคนห้อยหัว”

หญิงสาวชี้ที่เทือกเขารูปร่างยาว ที่นอนทอดตัวขวางตัดไปทางทิศตะวันตก หน้าผาหินตัดโง้มลาดลงเหมือนคนจับดัด เจ้าชายหนุ่มได้โอกาสจึงโน้มหน้าลงมาใกล้ ทำทีเป็นมองตามนางชี้ ยวงแก้มสีแดงอ่อนนั้นน่ามองกว่าเถาไม้ใบหญ้าเป็นไหนๆ

“นั่นคือดอยหัวโท” ใบหน้าบุรุษผิวกร้านแดดแนบชิดแก้วขาวอมชมพู ใกล้ชิดกันจนคนที่เหลียวหน้ากลับมาสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปแทบไม่ทัน

“แต่วันก่อนเฮาผ่านทางเส้นนั้นไปแล้วบ่ใช่หรือ ทางที่ว่าจะมีพวกโจร…ดักปล้น”

“ก็ย้อนกลับมาทางเก่ายังไงล่ะ…”

“แล้วหากเจอโจรล่ะ” หญิงสาวเสียงอ้อมแอ้มเบาลง

“ก็ให้มันมาจับเธอไปกับมัน พวกมันต้องการหญิงสาวมากกว่าชายหนุ่ม”

“ข้าขอพวกมันจับตัวท่านไปทีเถอะ ข้าจะได้สงบสุขและคงจะยินดีนัก”

เขาโพล่งหัวเราะเมื่อหญิงสาวเอาคืน หยอกนางเล่นแก้เบื่อเสียอย่างนั้น ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยส่วนตัว ก่อนจะปลดผ้าเคียนศีรษะของเขาออกคลุมหัวนาง

ด้านจันทร์หล้าไม่เคยเห็นเขาหัวเราะอย่างนั้นก็แปลกใจ ยามปกติ เขามักจะเค้นเสียงหัวเราะแดกดันออกทางจมูกซะเป็นส่วนใหญ่ แต่หัวเราะคราวนี้เป็นเสียงซื่อๆ ใสๆ อย่างกะคนละคน

เจ้าแกมเมืองสั่งคาราวานพักม้าอีกหน พอดีกับช่วงข้าวเที่ยง อ่องมินตูและคนอื่นๆ ต่างหาที่นั่งคนละมุม ล้วงเอากล่องข้าวเหนียวออกมาปั้นจิ้มกับน้ำพริกและปลาจี่ที่บุตรสาวผู้ใหญ่บ้านปะหล่องเตรียมไว้ให้ ครั้นกินข้าวดื่มน้ำ จุดบุหรี่สูบเอาจนอิ่มแล้ว ทุกคนก็จึงปีนขึ้นไปงีบหลับบนต้นไม้ เจ้าแกมเมืองเองก็หามุมส่วนตัวเช่นเดียวกัน

บ่ายลงอีกนิด ทั้งหมดก็จึงออกเดินทางโดยลัดเลาะไปทางลำธาร ก่อนจะไปผุดออกเส้นทางเดินเท้าที่เป็นรอยเกวียนวัวลาก แต่ทันใดนั้นเอง ทั้งคณะก็รีบรั้งดึงบังเหียนม้าให้หยุด เมื่อปรากฏกลุ่มกองโจรที่ซุ่มอยู่ข้างทาง พวกมันกระโดดออกยืนขวางหน้า อ่องมินตูรีบกระโดดลงจากหลังม้า

ชายร่างสูงผู้หนึ่งเดินแสดงตัวออกจากพรรคพวก ยกมีดดาบเล่มยาวชี้หน้าคนนั่งบนหลังม้าทีละคน ทหารและพรานป่าทั้งสี่จึงรีบกระโดดลงจากหลังม้า หยิบอาวุธ ส่วนเจ้าแกมเมืองหยิบเอามีดซุยยาววาออกมาทันควันราวกับเสก ก่อนจะกระโดดลงจากม้าเข้าห่ำหั้นกับพวกโจรอย่างดุเดือด

จันทร์หล้าผงะตกใจ รีบเป็นฝ่ายคุมบังเหียนดูแลพวกม้าไว้ไม่ให้ม้าตื่น อ้ายโจรคนหนึ่งเห็นดังนั้นจึงหมายปรี่เข้ามาจะทำร้าย หากเจ้าชายกลับโดดเข้าขวาง ปราดเข้ายืนจังก้าตรงกลางมาระหว่างหญิงสาวกับโจรป่า ก่อนจะถูกรุมสามต่อหนึ่ง จนเป็นฝ่ายเสียท่าถูกมีดฟันเข้าตรงหน้าท้องหนึ่งแผล

เสียงปืนสั้นในมืออ่องมินตูดังขึ้นหลายนัด ก่อนพวกโจรจะตกลงไปกองกับพื้น ลูกกระสุนแล่นเข้าไปฝังตรงเนื้อกลางหลังทีละคน พวกมันเตลิดหนีตายคนละทิศละทาง

จันทร์หล้ารีบลงจากหลังม้ามาดูอาการเจ้าแกมเมืองพร้อมกับคนอื่นๆ จิตใจสั่นไหว ยิ่งเมื่อเห็นว่าร่างสูงที่ล้มลงนั้นเป็นนายกองหนุ่มคนรักเก่า

“เจ้าท่าน…นายกอง”

หญิงสาวรีบตั้งสติก่อนจะเอื้อมมือไปดูแผล หากแต่กลับเป็นเจ้าแกมเมืองที่ปัดมือนางออก ลิ่มเลือดพรั่งพรูออกจากแผลกว้าง เขาเป็นคนจริงดังที่คนอื่นกล่าวสรรเสริญ เพราะถึงจะหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด หากแต่ก็อดกลั้นอย่างถึงที่สุด ไม่ส่งเสียงโอดครวญออกมาให้ใครได้ยิน

 



Don`t copy text!