แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 17 : เจ้าหอหน้า

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 17 : เจ้าหอหน้า

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

โคมระย้าสีทองดวงใหญ่กลางท้องพระโรงหรี่ดับลงแล้ว หลังจากแขกคณะสุดท้ายได้เดินทางออกจากหอคำ งานเลี้ยงจบลงไปหากแต่ดวงไฟดวงเล็กๆ ยังคงเปิดส่องสว่าง เพื่อให้คนงานและข้ารับใช้เก็บกวาดทำความสะอาดสถานที่ให้กลับมาเรียบร้อยดังเดิม

‘เจ้าแกมเมืองหรือเจ้าอุปราชแสงหาญ’ กลับขึ้นมาด้านบนหอคำอีกครั้ง หลังจากที่แอบซุ่มอยู่ตรงด้านนอกพร้อมกับซองบุหรี่ยี่ห้อโปรดที่พร่องจำนวนลงไป ยิ่งอากาศหนาวบุหรี่ก็ยิ่งอร่อย เขาติดบุหรี่ยิ่งกว่าอะไรดี ฉะนั้นแล้ว การที่ต้องอุดอู้อยู่ในงานเลี้ยงเป็นเวลานานๆ แถมยังต้องแสร้งปั้นหน้ายิ้มทักทายคนโน้นทีคนนี้ที ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับเขาเสียเหลือเกิน

เก็บซองบุหรี่ซุกไว้ในเสื้อหนังตัวโปรด ร่างใหญ่กอดอกหนาวสั่นจนควันออกจากปาก ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาในท้องพระโรงที่ว่างเปล่า ตอนนั้นเอง ชายชราหัวหน้ามหาดเล็กประจำหอคำที่ยืนคุมคนงานอยู่ไม่ห่างออกไปก็ตรงปรี่เข้ามาแจ้ง

“พ่อเจ้ามีรับสั่งให้เจ้าแกมเมืองเข้าพบ”

เจ้าของใบหน้าคมเข้มเลิกคิ้วสงสัย “จะรุ่งอยู่แล้ว”

“เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ”   มหาดเล็กเฒ่าผายมือเชิญเจ้าชายหนุ่มให้ไปทางห้องโถงรับแขกห้องใหญ่อีกทางฝั่งหนึ่งของตัวอาคาร

นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าแสงหาญรู้สึกว่าดวงตาของเขาเต้นตุบ นึกไม่ออกว่าจะมีเรื่องอันใดสำคัญและเร่งด่วนมากพอ ที่จะทำให้ผู้เป็นบิดาต้องเรียกตัวเขาเข้าพบอย่างเร่งด่วน คล้อยหลังงานเลี้ยงรื่นเริงที่เพิ่งจบลงไปได้ไม่นาน เจ้าฟ้าเรียกพบครั้งใดย่อมต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากไม่รีบไม่ด่วนมากนัก ท่านก็จะให้เพียงเลขานุการของท่านนำเสาวนีย์มาแจ้งให้ทราบ เจ้าชายหนุ่มคาดเดาว่า น่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์โจรผู้ร้ายออกปล้นวัวควายชาวบ้าน หรืออาจจะเป็นเรื่องการจัดเก็บค่าเช่าออกร้านที่ไม่เป็นธรรมในงานปอยฤดูหนาว

ครั้นเมื่อเปิดประตูห้องโถงใหญ่เข้าไป ก็ได้พบกับบรรดาเครือญาติขัตติยะวงศาที่มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า เมื่อเจ้าแสงหาญปรากฏตัว สายตาทุกคู่ก็หันมามองเป็นตาเดียว หากแต่คนอย่างเขาไม่เคยประหวั่นที่จะมองสายตาทุกคู่กลับเช่นเดียวกัน ทั้งคนหนุ่ม แก่ ทั้งหญิง ชาย ทั้งสายตาที่มองมาด้วยความชื่นชม จริงใจ หรือแม้แต่สายตาที่มองมาด้วยความประสงค์ร้าย ไร้มิตรภาพ

“เจ้าหายไปไหนมา พ่อให้คนตามหาเจ้าจนทั่ว”

เจ้าฟ้าที่ทรงกำลังนั่งถือไปป์ยาสูบอยู่ในวงสนทนากับเจ้าพี่ชายและน้องชายของท่านเอ่ยทักบุตรชาย

“เห็นว่างานเลี้ยงใกล้เลิก ข้าก็เลยออกไปสูบยาเส้นอยู่ด้านนอก พ่อเจ้าให้คนตามหาข้าด้วยเหตุใด”

“เข้าไปรอพ่อในห้องทำงานก่อน พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”

เจ้าอุปราชแสงหาญรับคำสั่ง ก่อนจะออกไปนั่งรอเจ้าพ่อของท่านในห้องทรงงานซึ่งอยู่ถัดออกไปในระเบียงทางเดินเดียวกัน

ไม่นานเจ้าฟ้าก็ทรงเสด็จตามมาพร้อมด้วยเลขานุการของท่าน พอมาถึงก็ปิดประตูลงกลอนทันที ซึ่งทำให้คนที่นั่งรอท่ารู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

“พ่อมีบางอย่างจะถามไถ่เจ้า”

“เรื่องอันใดหรือบาทเจ้า”

“เจ้ามีกำหนดจะเดินทางกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่”

“อ้อ…” แกมเมืองหนุ่มเผยรอยยิ้มออกมาอย่างโล่งอก ด้วยทีแรกคิดกลัวไปว่าเจ้าพ่อคงจะมีอะไรที่ตึงเครียดไปมากกว่านี้เสียอีก “…ประมาณอาทิตย์หน้าพ่อเจ้า มิสเตอร์เลสกับข้ามีแผนการจะเดินทางไปพบปะกับสหายของเขาที่มาตั้งรกรากที่เมืองลองยี น่าจะอยู่ที่นั่นสักประมาณสอง – สามสัปดาห์ พร้อมกับจะไปตระเวนดูไร่สวนกาแฟของชาวบ้าน ตั้งใจว่าจะลงทุนทำไร่ร่วมกันปีหน้า แล้วก็คงจะกลับมาแสนฟ้าอีกครั้งในช่วงงานแข่งโปโลที่สโมสรตอนสิ้นปีเสียทีเดียว”

เจ้าฟ้าทรงรับฟังแผนการชีวิตที่บุตรชายกำลังสาธยายให้ฟังอย่างพระทัยเย็น ก่อนจะทรงกล่าว
รวบรัดตรัสสรุปอย่างได้ใจความ…

“เห็นทีเจ้าคงจะต้องยกเลิกแผนการที่วางไว้ทั้งหมด แล้วย้ายกลับมาอยู่ที่แสนฟ้านับจากวันนี้เป็นต้นไป”

“พะ…พ่อเจ้า”

“พ่ออยากให้เจ้ากลับมาทำงานที่บ้านเมืองในฐานะเจ้าอุปราชแกมเมือง จากนี้เป็นต้นไปพ่อจะให้เจ้าฝึกเข้าว่าราชการบ้านเมืองและเข้าร่วมประชุมแผนงานพัฒนาร่วมกับสภาท้องถิ่น เห็นทีเจ้าคงจะบ่ต้องกลับไปที่เมืองหลวงอีกแล้ว สัมภาระและของใช้ใดๆ ที่มีที่นู่น พ่อจะให้คนไปเก็บมาไว้ที่แสนฟ้านี้เสียให้หมด”

“นี่มันเรื่องอะไรกันพ่อเจ้า” คนฟังท้วงผู้เป็นบิดาอย่างเดือดเนื้อร้อนใจ น้ำเสียงไม่สู้จะเห็นด้วย “อยู่ๆ ก็จะให้ข้าตัดขาดจากหน้าที่การงานอย่างกะทันหัน มันบ่ฉุกละหุกไปหน่อยหรือ…ข้าทำเช่นนั้นบ่ได้หรอก เพราะหากข้าตัดขาดกับผู้ตรวจการรัฐอย่างนั้น ทางรัฐบาลกลางอาจจะบ่พอใจเอา”

“รัฐบาลกลางบ่ต้องการให้เจ้าเข้าไปข้องแวะด้วยอีกต่อไป และพวกเขากำลังจะเปลี่ยนถ่ายผู้ตรวจการรัฐในอีกบ่ช้า ผู้ตรวจการคนใหม่กำลังจะถูกส่งมาแทนมิสเตอร์เลสที่กำลังจะถูกส่งกลับอังกฤษ ส่วนเจ้าแสงหาญ อุปราชแกมเมืองแห่งเมืองแสนฟ้า หากบ่อยากถูกปลดลงจากตำแหน่ง ก็จงรับคำสั่งพ่อ…”

“เรื่องนี้มันช่างบ่มีเหตุผล และช่างบ่ยุติธรรมกับข้าเอาเสียเลยพ่อเจ้า”

“พ่อรู้ รู้ว่าเจ้าต้องการจะสานต่อสิ่งที่เจ้าปู่เคยทำเมื่อครั้งอดีต แต่สมัยนี้การค้าฝิ่นแบบนั้นมันถือเป็นเรื่องที่เกินตัว อังกฤษบ่พอใจที่เจ้าค้าฝิ่นแข่งกับพวกเขา พวกเขาให้สิทธิ์แค่บริษัทอีสต์อินเดียเจ้าเดียวเท่านั้นที่ค้าฝิ่นได้ บอกว่าหากพ่อบ่จัดการเรื่องนี้ เขาจะบังคับพ่อให้ปลดเจ้าลงจากตำแหน่งรัชทายาท”

“พวกเขามีสิทธิ์อันใด”

“พวกเขามี…”

เต็มกำมือ เจ้าฟ้าทรงกล่าวในใจ พระพักตร์ตั้งตรงสายพระเนตรเต็มไปด้วยอำนาจมองไปยังบุตรชายอย่างจริงจัง

“พวกเขาจะบ่พอใจหากเฮากระด้างกระเดื่อง คนฉลาดเช่นเจ้าคงพอจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ข้ารู้พ่อเจ้า แต่ข้าหยุดทำบ่ได้ ธุรกิจของข้ากำลังไปได้ดี หากข้าทิ้งมัน ก็หมายถึงข้าทิ้งเงินมหาศาลอาณาจักรเหล่านั้นข้าสร้างมาเองกับมือ”

“พ่อบ่ได้ยื่นข้อเสนอให้เจ้าเลือก แต่นี่เป็นคำสั่ง เจ้าต้องทำตามที่พ่อสั่งเท่านั้น…นิโคลัส”

ได้ยินผู้เป็นบิดาเรียกนามนั้นอีกครั้ง เจ้าชายหนุ่มก็ถึงกับยิ้มอย่างอดสูกลั้นหัวเราะ ยอกย้อน

“ถึงกับต้องเรียกว่านิโคลัส พ่อเจ้าคงอยากจะใช้อำนาจกักขังข้าเหมือนเช่นตอนยังเป็นเด็ก…แต่ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วพ่อเจ้าและต้องการอิสระ ข้าบ่อยากอยู่ในเส้นทางที่พ่อเจ้าขีดเขียนไว้ให้อีกต่อไป”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ข้ายอมถูกปลดลงจากตำแหน่ง แทนการที่ข้าจะต้องทิ้งทุกสิ่งที่ข้าหามาด้วยตัวเองพ่อเจ้า ข้าหาได้ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์พวกนั้นไม่ บ่ได้อยากเป็นเจ้าหอหน้าอุปราชรัชทายาท สิ่งเดียวที่ข้าผู้นี้ต้องการ…คืออิสรภาพ”

“…จะบอกว่าเส้นทางที่พ่อปูไว้ให้ เป็นสิ่งที่น่าอึดอัดรำคาญใจสำหรับเจ้ามาตลอดอย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้องแล้วพ่อเจ้า ตั้งแต่เล็กจนโตข้าถูกตำแหน่งอันสูงส่งนี้พรากชีวิตวัยเยาว์และคนรอบข้างไปจนสิ้น สูญเสียทั้งมารดา คนรัก และน้องชาย ข้านั่งบนตั่งทองและสวมหัวโขนที่พ่อเจ้าเอามาสวมใส่ให้อย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลายาวนานนับยี่สิบกว่าปี ที่ผ่านมาข้าต้องอยู่ในกรอบของธรรมเนียมมาโดยตลอด โดยที่ข้าบ่สามารถทำอะไรได้ตามใจ และข้าเบื่อหน่ายกับมันเต็มที ข้าแค่เพียงอยากจะมี ‘ชีวิต’ เป็นของตัวเอง”

“เจ้าก็รู้อยู่เต็มอก ว่าพ่อให้ชีวิตสามัญที่เจ้าต้องการแบบนั้นบ่ได้ ชีวิตเจ้าเกิดใหญ่มาก็อยู่ภายใต้ร่มเศวตฉัตร เป็นหน่อเนื้อเชื้อเจ้าฟ้า เป็นเครือเผ่า ‘พันธุ์คำ’ มาตั้งแต่ต้น และจะเป็นแบบนั้นจนเจ้าตายไป”

“แต่พ่อเจ้าก็เห็น ‘หอหน้า’ ที่ข้าอาศัยอยู่นั่นเป็นเหมือนดั่งสุสานเข้าไปทุกทีๆ และตำแหน่ง ‘เจ้าหอหน้า’ ก็บ่ต่างอะไรไปจากสัปเหร่อที่ต้องคอยขุดหลุมฝังกลบเถ้ากระดูกของคนอันเป็นที่รักคนแล้วคนเล่า พวกเขาตายเพียงเพื่อที่จะดำรงรักษาตำแหน่งนี้ไว้ให้ข้า…”

“เจ้าเกลียดมันได้แต่เจ้าเลือกทิ้งไพร่ฟ้าไปบ่ได้ แม้เจ้าใคร่จะวิ่งหนีจากมันไปเท่าไหร่ แต่เจ้าอย่าลืมว่าใครกัน ที่จะเป็นผู้ที่เหมาะสมในการรักษาแสนฟ้าเอาไว้ให้เป็นปึกแผ่นยามสิ้นพ่อเจ้า พ่อแก่ตัวลงทุกวันๆ และอาจจะเป็นอีกคนที่เจ้าต้องฝังกลบเถ้ากระดูก ทุกอย่างที่วงศ์ตระกูลสร้างและรักษามาแต่ต้น เจ้ากล้าเบือนหน้าหนีมันหรือ…เจ้ากล้ายอมให้มันล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตาหรือ”

“หน่อคำเหมาะสมกับตำแหน่งนี้” สายตากร้าวอ่อนลงจนมองทอดต่ำ “เขามีสิทธิ์ในบัลลังก์มากกว่าข้าผู้นี้เสียอีกพ่อเจ้า การที่พ่อเจ้าดันทุรังเพิกเฉยสิทธิ์การสืบบัลลังก์ของเขา ส่งผลให้มหาเทวีเกลียดชังข้า พ่อเจ้าก็รู้ว่าพระนางทำอันใดกับข้าไว้บ้าง…ชีวิตของมารดาข้า ชายาข้า น้องชายของข้า”

“เพราะแบบนี้อย่างไร ตำแหน่งเจ้ารัชทายาทจึงต้องเป็นเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ทุกคนรู้ พวกเราทุกคนยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องตำแหน่งนี้ไว้เพื่อเจ้า ลูกรัก…”

เจ้าแสงหาญถึงกับสำลักก้อนจุกที่วิ่งขึ้นมาอุดตันอยู่ที่คอหอย เมื่อได้ยินคำว่า ‘ลูกรัก’ เต็มสองหู คำคำนี้มันช่างหาฟังได้ยากยิ่ง ราวกับเป็นคำวิเศษเหนือจริง ที่มีอยู่แต่ในเทพนิยายที่ใช้อ่านกล่อมเด็กก่อนนอนเท่านั้น เจ้าชายหนุ่มแทบจะไม่เคยได้ยินมันเลยนับตั้งแต่ที่มารดาตายจากไป หรือแม้แต่นาม ‘เนย์วินไท่ก์’ และ ‘นิโคลัส’ ก็ถูกทำให้หายไปนับตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นอุปราชรัชทายาท เขาก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ถูกเรียกด้วยชื่ออื่นอีกเลย

“เป็นจริงตามที่เจ้าเข้าใจ ผู้ที่ต้องได้เป็นเจ้าแกมเมืองตามธรรมเนียม จะต้องเป็นหน่อคำบุตรของมหาเทวี…แต่เพราะพ่อรักสิรี และต้องการรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับนางก่อนตาย ว่าพ่อจะบ่ถอดยศที่ได้แต่งตั้งให้เจ้าไปแล้วก่อนหน้า แม้ภายหลังหน่อคำจะกำเนิดมาในฐานันดรที่สูงกว่า พ่อจึงทำเพิกเฉยต่อขนบและขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนสิรีเสียสละชีวิต ห่มฟ้าน้องชายและส่องดาวคนรักของเจ้าก็เสียสละเช่นกัน ลองกลับไปคิดดูอีกทีเถิด ว่าตำแหน่งอุปราชนี้ควรจะเป็นของเจ้าหรือไม่ หรือว่าควรจะเป็นของใคร”

“พ่อเจ้า…”

แกมเมืองหนุ่มใบหน้าสลดที่ถูกรื้อฟื้นความทรงจำอันแสนเลวร้ายเมื่อครั้งอดีต มันเป็นความลับที่ไม่เคยถูกพูดมาก่อนในที่แจ้ง เขาเคยคิดว่าบิดาไม่เคยรู้เรื่องนี้ แต่เปล่าเลย ท่านรู้ดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว และก่อนที่เขาจะหันหลังผละจากไปด้วยความครุ่นคิด บิดาก็ทรงตรัสบางอย่างตามหลัง

“ถึงเจ้าบ่เห็นแก่พ่อ เจ้าก็ควรเห็นแก่สิรี ตำแหน่งอุปราชของเจ้านี้บ่ได้มาอย่างง่ายๆ เหมือนอย่างที่เจ้าดูแคลน เจ้าอาจจะมองว่าการแบกรับตำแหน่งนี้มันช่างยากลำบากเหลือแสน และช่างบ่คุ้มกับสิ่งที่เจ้าถูกมันพรากไป เจ้าจึงอาจจะบ่ต้องการที่จะเสียสละอะไรอีกแล้ว แต่ถ้าลองคิดกลับกัน ในมุมของผู้ที่ยกเจ้าขึ้นสืบบัลลังก์ แถมยังต้องคอยรักษาตำแหน่งนี้ไว้ให้เจ้ามาตลอดชีวิต พวกเขาเองก็เสียสละบ่ต่างกัน…เจ้า…อย่าได้ทิ้งความเสียสละของพวกเขาเหล่านั้นให้สูญเปล่า”

  

ภายในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งด้วยหินอ่อนและผ้าม่านกำมะหยี่สีทองประดับพู่หรูหรา ร่างสูงยังคงสง่าในชุดราชสำนักเต็มยศ ขณะนั่งเคาะนิ้วครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้หวายตัวงามอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง แม้เวลาจะล่วงเลยพ้นผ่านเกินครึ่งคืนไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่กับที่ พรักพร้อมรอบข้างด้วยบรั่นดียี่ห้อฝรั่งที่ถูกรินเติมลงในแก้วทรงบอลลูนอยู่ตลอดเวลา

ตำหนักที่ไร้ซึ่งเหล่าแจกันดอกไม้และสีสัน ผนังทุกด้านตกแต่งเต็มไปด้วยภาพวาดสีน้ำมันในกรอบไม้สักและทาสีพื้นๆ เช่นขาวและดำเท่านั้น ส่วนข้าวของทุกชิ้นล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบไว้ในตู้กระจกสไตล์คลาสสิก ของสะสมบางอย่างเป็นของหายาก บางชิ้นสั่งนำเข้าจากฝั่งยุโรปและตะวันออกกลางโต๊ะ เก้าอี้ โซฟาต่างๆ ล้วนเป็นของมีราคาสูงบ่งบอกรสนิยมของผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างดี

หมอกด้านนอกตกหนักจนกระจกหน้าต่างเต็มไปด้วยปื้นฝ้าหนา แต่ด้วยฤทธิ์บรั่นดีที่ร้อนแรงกลับทำให้คนบนเก้าอี้หวายไม่รู้สึกรู้สาถึงความเย็นที่ลดต่ำสู่จุดเยือกแข็ง บรั่นดีแก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกเทลงคอพรวดเดียว จนเมื่อองครักษ์คนสนิทหอบผ้าห่มผืนใหญ่มาวางให้ เจ้าชายก็จึงหันไปรินเหล้าใส่จอกอีกใบ แล้วยื่นส่งให้

“นังเด็กคนนั้น ข้าน่าจะฆ่ามันให้ตายเสียตั้งแต่โรงการพนันอย่างที่สูบอก ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตมันไว้ แต่กลับถูกมันทำหยิ่งผยองใส่”

“ตอนนี้มันกลายเป็นคนโปรดของหอตะวันตกไปแล้ว เจ้าชายาเอ็นดูมันยิ่งกว่าอะไร”

“ข้าคาดการณ์ผิดไป ข้าคิดว่าเจ้าน้าเพียงแต่จะรับมันมาเป็นข้ารับใช้ บ่นึกว่าจะเอ็นดูมันได้ถึงขนาดจะยกขึ้นเป็นบุตรีบุญธรรม”

“เจ้าท่านคงต้องหาทางเอามันมาเลี้ยงไว้ใกล้มือเสียแล้ว อย่างน้อยก็ให้มันอยู่ในสายตา” อ่องมินตูเสนอ

“เจ้าน้ายกมันขึ้นสูงแล้ว ท่านคงบ่ยอมโดยง่าย”

“แล้วหากมันชิงเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหางให้เจ้าชายาฟังตามที่ขู่ล่ะ…”

“ก็คงต้องปล่อยให้เกิดขึ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด…มันก็คงจะบ่มีอันใดจะแย่ไปกว่านี้แล้วกระมัง เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันก็ฉิบหายกันไปหมดแล้ว”

อ่องมินตูผู้รู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในราชสำนักเป็นอย่างดีทั้งในที่ลับและที่สว่าง เกิดข้อสงสัย

“ต้องเป็นไอ้นักเขียนตาน้ำข้าวที่ตามเราไปเมืองหางในตอนนั้นเป็นแน่ มันซอกแซกไปทั่ว”

“ไอ้คาลเตอร์…ก็คงเป็นมันนั่นแหละ ข้ากับมิสเตอร์เลสถูกมันหลอกจนเชื่อสนิท ตอนนี้พวกข้ากำลังถูกทางรัฐบาลกลางเล่นงานจนอ่วม คิดไว้แล้วบ่ผิดจริงๆ”

“หากมันเป็นคนที่ทางรัฐบาลกลางส่งมาจริงๆ มันก็คงจะเป็นคนในกองทัพ คงหาใช่จะเป็นเพียงนักข่าวต๊อกต๋อยอย่างที่มันกล่าวอ้าง”

เจ้าแกมเมืองเทเหล้าลงคออีกครั้ง นึกทบทวนคำพูดของลูกน้องคนสนิทอยู่ในที…แอลัน คาลเตอร์ ผู้นั้น คงจะเป็นใครสักคนในกองทัพที่ถูกส่งตัวมาสอดแนมเขาจริงๆ เขาจับพิรุธได้หลายอย่างจากท่าทางและคำพูดที่แปลกๆ ของมัน แต่มิสเตอร์เลสก็ไม่เชื่อ การเดินทางไปเมืองหางด้วยกันในครานั้น ก็คงเป็นคำสั่งจากทางอังกฤษด้วยเช่นกัน และเขาเองที่ไม่รอบคอบ

ดวงหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ทว่าในจังหวะหนึ่งกลับหวนนึกถึงดวงตาของนางแมวป่าขึ้นมาเสียได้ ล่าสุดที่ได้กลับมาเจอกัน ดวงตาคู่นั้นยังเป็นคู่เดิมที่อวดดีและแสนพยศ ทว่า สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือรอยยิ้มที่ตราตรึงและเรือนร่างที่ผุดผาดความเป็นสาวอย่างคาดไม่ถึง กลิ่นแป้งร่ำหอมเจือจางที่ติดอยู่ปลายจมูกกำลังจดจำกลิ่น รู้สึกตัวอีกทีเจ้าอุปราชหนุ่มก็เผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะรีบปัดความรู้สึกพวกนั้นออกไปในทันที

การเดินทางไปที่เมืองหางในครานั้นได้เปลี่ยนชีวิตเขามากมายนับต่อจากนี้ วันนี้เจ้าแสงหาญรู้ตัวแล้วว่า เขาทำบุญกับคนไม่ขึ้น คราวนั้น เขาต้องพาคนที่ไม่น่าไว้ใจให้ร่วมทางไปด้วย ส่วนขากลับก็ต้องพาคนอีกคนกลับมา บัดนี้ความจริงปรากฏ นักเขียนคนนั้นกลายเป็นคนของรัฐบาลกลาง ส่วนนางแมวป่า ที่เขาจ่ายเงินมหาศาลไถ่ตัวออกมาจากโรงการพนันเพื่อพามันไปรักษา ก็กลายมาเป็นงูพิษ!

เจ้าชายหนุ่มค่อยๆ พากายอันเหนื่อยล้าเดินออกไประเบียงด้านนอก ก่อนจะเดินไปตามทางเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยด้วยเท้าเปลือยเปล่า เหยียบย่ำความหนาวเหน็บลงไปทางบันไดวนเล็กๆ เพื่อไปยังสวนด้านหลังตำหนักที่จัดแต่งเป็นลักษณะเขาวงกต

เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงลานโรยกรวด ที่มีอนุสาวรีย์หินอ่อนแกะสลักเป็นรูปเหมือนของสตรีทั้งสองตั้งอยู่ท่ามกลางไอหนาวที่กัดเย็น อักษรภาษาไทและภาษาอังกฤษสลักนามของทั้งสองเอาไว้ตรงด้านล่างรูปเหมือนแต่ละรูป เป็นพระนามของผู้ที่ล่วงลับและวันเวลาที่ทั้งสองได้เดินทางสู่สัมปรายภพ

WIN THIRI MIN KYAW’

‘SONG LAO’

“ท่านแม่…ส่องดาว” เจ้าอุปราชแสงหาญเอ่ยพระนามของสตรีผู้ล่วงลับทั้งสอง จ้องรอยยิ้มของคนในรูปปั้นเนิ่นนาน

เขาถอนหายใจทิ้งอีกครั้ง ความสูญเสียเมื่อครั้งในอดีตบ่มลึกอยู่ในสายตาที่แข็งกร้าวจนกลายเป็นดวงตาคู่เศร้า ความโดดเดี่ยวและความเหงาเศร้าอนุญาตให้เขาปลดปล่อยตัวตนที่อ่อนแอออกมายามไร้ผู้คนรอบข้าง

ความทรงจำอันแสนเลวร้ายที่ไม่อาจลืมเลือนได้ง่ายๆ ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเหมือนภาพฉายซ้ำ มันคือช่วงเวลาที่ฤดูหนาวได้พรากชีวิตคนรักของเขาไปอย่างไร้ความปรานีถึงสองครั้ง ทั้งสองเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาอย่างที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้ และเขาเองต้องกินยาแก้โศกและบำบัดความเศร้าหมองอยู่นานหลายปี

ตำแหน่งเจ้าอุปราชแกมเมืองนี้ช่างเป็นตำแหน่งอาถรรพ์ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ผู้คนก็ล้วนใฝ่ฝันถึงมันและหวังว่าจะได้ครอบครองตำแหน่งเป็นเจ้าหอหน้ารัชทายาท บ้างยอมมือเปื้อนเลือด บ้างยอมสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ เพียงเพื่อให้ได้มันมา และครั้งหนึ่งเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งนั้นไว้ให้เขา สตรีทั้งสองถึงกับถูกมันพรากชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ

การสูญเสียครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขายังดำรงพระยศเป็นเพียงเจ้าชายและได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ในวัยเพียง 10 ชันษา หลังจากนั้นไม่นาน ยาพิษก็ถูกประทานมากับจอกน้ำชา โดยผู้ที่ปองร้ายหมายจะปลิดชีพเขา ช่างโชคร้ายเหลือเกินที่มารดาของเขาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมนั้นแทน

ภาพมารดาผู้เป็นที่รักถูกยาพิษลงไปนอนชักดิ้นกับพื้นอย่างทุรนทุรายช่างเป็นภาพที่สุดแสนหดหู่สะเทือนใจคนเป็นลูก โลหิตที่แดงฉานไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดเป็นลิ่มๆ และมีชีวิตรอดอยู่เพียงแค่ไม่กี่ราตรีก็ดับสูญ หัวใจดวงน้อยของลูกแตกสลายไปไม่เหลือชิ้นดีตอนเห็นมารดาหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา

หลังจากนั้น ‘ห่มฟ้า’ หรือ ‘นาธาเนียล’ น้องชายคนเดียวของเขาก็ถูกญาติทางมารดารับตัวไปอยู่ที่รางกูนทันที และเมื่อปีที่มหาเทวีได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกหลังจากธิดาสององค์ก่อนหน้า ห่มฟ้าก็ถูกผู้คนลืมเลือนจนคล้ายถูกตัดขาดจากราชสำนักไปกลายๆ และเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ตามท่านตาในภายหลัง

การสูญเสียครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อเขาล่วงเลยจนถึงวัยมีคู่ครอง ตอนนั้นเจ้าแสงหาญยังเป็นเพียงนักเรียนนอกจบใหม่และกลับบ้านเมืองมาหมั้นหมาย ‘เจ้าส่องดาว’ แห่งเขมรัฐ

แม้จะเป็นการผูกรักกันด้วยเพราะการเมืองแต่เขาก็เมตตานางมากพอที่จะมีใจให้ แต่ยังไม่ทันจะได้เสกสมรสก็เกิดอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งตกหนองน้ำ เดิมทีคนร้ายหมายปองชีวิตเขา หากแต่ก็เป็นหญิงผู้เป็นที่รักอีกเช่นเดียวกันที่รับเคราะห์แทน เขาจึงเข้าพิธีสมรสกับหลุมศพของนางเมื่อถึงฤกษ์แต่งที่วางเอาไว้ นางตายก่อนหน้าวันสมรสเพียงไม่กี่วัน

อย่าให้ความเสียสละของพวกเขาสูญเปล่า…

 



Don`t copy text!