แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 7 : หญิงงามเลือกคู่

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 7 : หญิงงามเลือกคู่

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

งานปอยเดือนสิบเอ็ดที่ตลาดกลางเมืองหมอกใหม่ค่ำนี้ช่างแสนคึกคัก ด้วยเป็นงานใหญ่ประจำเมืองจัดขึ้นปีละครั้ง บริเวณรอบๆ จึงจัดตกแต่งประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีหลายร้อยลูกและตุงหางยาวเรียงรายเต็มสองข้างทาง

บนลานดินที่คับแคบคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าเดินเข้าร้านออกร้านกันเป็นพัลวัน ร้านรวงที่ปลูกสร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ ของพ่อค้าแม่ขายเหล่านั้น เป็นของชาวชาติพันธุ์มากกว่าชาวพื้นเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ เสียงผู้คนระเบ็งเซ็งแซ่จึงมีให้ได้ยินไม่ต่ำกว่าสิบกว่าภาษา

ยิ่งค่ำ ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลมากันจากทั่วทุกสารทิศ บ้างเดินมากันเป็นกลุ่ม บ้างปั่นจักรยาน บ้างโดยสารมากับรถขนส่งสองแถวสภาพเก่าๆ

พวกหญิงสาวชาวไทคำหลวงต่างประโคมแต่งกายด้วยผ้านุ่งหลากสีสันเพื่อมาประชันกัน ส่วนพวกผู้ชายนั้นมักสวมชุดพื้นเมืองสีพื้นๆ ที่เป็นเสื้อแขนยาวผ่าหน้าและนุ่งเต๋วโย่งหรือกางเกงก้นต่ำ พวกเขาเคียนศีรษะด้วยผ้าฝ้ายหรือบ้างก็สวมหมวกอุ่น ส่วนใหญ่กำลังนั่งจับกลุ่มจี่ข้าวหลามและจิบน้ำชา

ม่อนหอมเร่งฝีเท้าเดินนำจันทร์หล้าฝ่าฝูงชนที่กำลังมารอชมการแสดงที่หน้าตลาด ลานดินตรงนั้นกำลังมีการแสดงแห่โต อันเป็นสัญลักษณ์งานเทศกาลของชาวไทคำหลวงมาตั้งแต่อดีตโบราณ โตเป็นสัตว์หิมพานต์ ตัวกลมยาวสีขาวขนฟู มีเขาเหมือนควาย นักแสดงชายทั้งสองเชิดโตไปตามจังหวะกลองปู่เจ่หรือกลองก้นยาวที่สนุกสนาน นอกจากนั้นก็ยังมีการฟ้อนนกกิ่งกะหร่า และฟ้อนนางกะเบ้อหรือผีเสื้อยักษ์

เสียงเอวะเอวังดังสนั่นโห่ฮิ้วมากับเสียงกลอง สักพักพวกหนุ่มๆ ที่ยืนดูอยู่ก็นึกคึก ชวนกันถอดเสื้อเพื่ออวดรอยสักและร่างกายที่บึกบึนท้าอากาศหนาว ว่าแล้วก็ย่างก้าวสามขุมออกตามจังหวะกลองตีเร่ง ร่ายรำกลางวงล้อมเป็นท่าฟ้อนเจิงด้วยมือเปล่า หรือที่เรียกกันเป็นภาษาถิ่นว่า ‘ฟ้อนก้าลาย’ พวกสาวๆ ที่ยืนดูเนื้อหนุ่มเปลือยกายต่างก็หน้าแดงกันเป็นทิวแถว

อีกฝั่งหนึ่งที่คนรุมล้อมเยอะไม่แพ้กัน เป็นซุ้มการพนันพื้นบ้านต่างๆ นานา มีทั้งน้ำเต้าปูปลา ไพ่ชุด ไพ่ผ่องจีน จับยี่กี หรือแม้กระทั่งไฮโล ตอนนั้นเอง เจ้ามือซุ้มการพนันหนึ่งก็ตีฆ้องร้องป่าวเรียกบรรดานักพนันทั้งหลาย ตะโกนลั่นว่า บัดนี้หวยมะก่องถี่กำลังจะเริ่มแล้ว หากใครใคร่อยากจะเสี่ยงดวงก็ให้เตรียมเงินมา แล้วมาเลือกวัดดวงกับตัวเลขบนผืนผ้าใบสีดำที่ขึงอยู่กับเสา

บนผ้าใบผืนนั้นมีรูปวาดเด็กชายที่แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นเจ้าฟ้ามะก่องถี่ แต่ละอวัยวะบนตัวเด็กชายจะมีตัวเลขเขียนกำกับไว้ทั้งสามสิบหกหมายเลข แต่ละหมายเลขใช้แทนสัตว์ทั้งหมดสามสิบหกชนิด เงินไม่กี่รูปีสำหรับการเลือกแทงสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เมื่อลงแทงพนันแล้วก็จึงค่อยรอลุ้นผล ว่าจะใช่สัตว์ตัวเดียวกันกับที่เจ้ามือได้เก็บไว้เสี่ยงทายหรือไม่

จันทร์หล้าไม่เคยเห็นการพนันแบบนี้มาก่อน เมื่อเดินผ่านก็จึงหยุดชะเง้อมองด้วยความสนอกสนใจเจ้ามือเห็นดังนั้นจึงเข้ามาเอ่ยชักชวนให้นางมาลองเล่นด้วยกัน ระหว่างเอื้อมมือไปรับเงินแทงพนันจากคนอื่นๆ ที่ดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ

“อี่นาย มาลองก่อนก่า…ลองก่อนๆ”

ม่อนหอมที่เดินเลยไปแล้ว จำต้องวนย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเพื่อนมีท่าทีสนใจจะแทงพนัน

“จันทร์หล้า สูจะเล่นมะก่องถี่หรือ”

“อันนี้ท่านเล่นกันยังไงม่อนหอม สอนข้าที ข้าอยากลองเล่นดู”

“โอ๊ย สูเล่นบ่เป็นหรอก…ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะบ่ทันดูนางมยินท์มิ่นออกเบิกโรงนะ”

“สูก็สอนข้าก่อนซี” อีกฝ่ายยืดเยื้อ

“หวยเจ้าฟ้ามะก่องถี่…สูก็แค่ต้องเดาให้ถูก ว่าสัตว์ตัวใดที่เจ้ามือแอบลักซ่อนเอาไปแขวนไว้บนยอดเสาไม้ไผ่ซางสูงๆ ตรงนู้น หากสูทายถูก สูก็จะได้เงินคืน ได้เยอะได้น้อยก็แล้วแต่สูจะแทงพนัน หากใส่เงินเยอะหน่อย ยามถูกก็ได้เงินเยอะ แต่ส่วนใหญ่คนก็จะเสียมากกว่าได้ เอาไง สูมีเงินจะใส่ไหมล่ะ”

“บ่มี”

“อ้าว?…”

ว่าแล้วทั้งสองสาวก็พากันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่จัดให้เป็นโรงมหรสพขนาดใหญ่ ผู้คนด้านในแน่นเอี๊ยดจนล้นออกมาด้านนอก ในขณะที่บนเวทียังคงมีม่านสีแดงปิดบังไว้ การแสดงยังไม่ทันเริ่ม

ไม่นานนัก บรรดานักดนตรีปี่พาทย์ของคณะละครก็เข้ามาประจำเครื่องดนตรีของตนแต่ละชนิด ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เหล่าผีเทพที่ตนนับถือ ว่าแล้วก็เริ่มลงมือกระหน่ำบรรเลงเครื่องดนตรีออกเป็นจังหวะโหมโรงทำนองเรียกแขก ผู้คนเริ่มฮือฮา ต่างชะเง้อมองไปบนเวทีเป็นตาเดียว

จนเมื่อได้เวลา ม่านกั้นฉากสีแดงที่เคยปิดไว้ก็ค่อยๆ ขยับเปิดออก สอดรับเข้ากับท่วงทำนองดนตรีที่ค่อยๆ ผ่อนช้าลง ช้าลง เพื่อรับการปรากฏตัวของนักแสดงสาวที่เดินนวยนาดออกมายืนตรงกลางเวที หล่อนมีใบหน้างดงามชวนพิศ สวมใส่อาภรณ์และนุ่งผ้าซิ่นลุนตยาอะฉิกสีม่วงหางยาวตามแบบเจ้าหญิงในราชสำนักม่านบุรีโบราณ สองข้อมือสวมใส่เครื่องเพชรระยิบระยับสะท้อนแสงไฟ ไล้ใบหน้าคมงามด้วยสีชมพูและเน้นหนักไปที่สีปาก หล่อนเก่งกาจยิ่งนักเพราะทั้งร้องเพลงทั้งเต้นรำไปด้วยในคราวเดียวกัน ก่อนสุดท้ายจะยอบตัวลงไปนั่งไหว้ผู้ชมอย่างชดช้อยอ่อนหวาน ผู้คนฮือฮาในลีลาท่าทางและความงามของหล่อน

“นี่แหละจันทร์หล้า นางมยินท์มิ่นออกมาแล้ว” ม่อนหอมตาโตด้วยความปลื้มปริ่ม หันมาบอกคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะหยิบขนมใส่ปากกินอย่างสบายอารมณ์

“อันนี้น่ะหรือ ม่านจ๊าด ข้าบ่เคยเห็นการละเล่นแบบนี้มาก่อนสักครั้งในชีวิต”

“ก็แน่ละสิ สูจะเคยได้ไง อันนี้ท่านเรียกเป็นภาษาม่านว่า ‘อะเญ่ง’ ส่วนไทคำหลวงเฮาเรียก ม่านจ๊าด”

“แล้วเจ้าหญิงนางนั้นหล่อนร้องว่าอย่างไรบ้าง ข้าพยายามฟังแล้ว ยังไงก็ฟังบ่ออก”

“สูบ่ดีกังวลไป เดี๋ยวข้าจะคอยแปลให้สูฟังเอง”

นักแสดงสาวยังคงร่ายรำอยู่บนเวที ระหว่างนั้นก็ทำทีเป็นแสร้งชม้ายชายตาใส่คนดูด้านหน้า พวกหนุ่มๆ เลยส่งเสียงคึกคักอย่างเฮฮา ถูกอกถูกใจกันยกใหญ่ หลังจากรำเสร็จ ก็มีจำอวดหน้าตาน่าเกลียดสี่คนออกมาพูดคุยกัน เครื่องดนตรียังคงตีบรรเลงดังรับส่งมุกตลกของนักแสดงเป็นทอดๆ

“วันนี้พวกเขาจะเล่นละครเรื่องหญิงงามเลือกคู่ สูเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนไหม” ม่อนหอมถาม

“บ่เคยได้ยินเลยสักครั้ง”

ทันใดนั้นผ้าม่านกั้นฉากก็เปิดออกอีกหน ก่อนนักแสดงสาวคนเดิมในชุดเครื่องแต่งกายแบบใหม่จะเดินออกมาดำเนินเรื่องราวร่วมกับนักแสดงสมทบชายหญิงอีกสองคน สวมบทบาทว่าเป็นพ่อแม่ของสาวเจ้า ซึ่งพอทั้งสามพูดคุยกัน ผู้คนด้านล่างเวทีก็หัวเราะเอาๆ จนจันทร์หล้าต้องหันไปถามม่อนหอมอีกครั้งด้วยความสงสัย

“คนเขาหัวเราะอันใดกันม่อนหอม”

ม่อนหอมที่กำลังหัวเราะจนกรามค้าง เช็ดน้ำหูน้ำตาพลางหันมาอธิบาย

“นางเอกชื่อว่าโหม่ลวิ่น เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองตกอับ ปีนี้นางโหม่ลวิ่นโตเป็นสาวอายุได้สิบห้าท่านเจ้าเมืองพ่อของโหม่ลวิ่นเลยถามว่า หล่อนสมัครใจรักใคร่กับใครมาแล้วหรือยัง ถ้ายัง พ่อของหล่อนจะประกาศไปทั่วทั้งเมืองว่า จะยกลูกสาวให้กับชายใดก็ตามที่กล้ามาสู่ขอ จะยากดีมีจนหรือเป็นพิกลพิการอย่างไรก็ได้ แต่มีข้อแม้อย่างเดียวว่า จะต้องพาโหม่ลวิ่นไปไหว้เจดีย์ทองคำให้ได้เสียก่อน”

“เจดีย์ทองคำ…ใช่เจดีย์อันเดียวกันกับพระธาตุเวียงอินทร์ที่เฮาไปมาเมื่อเช้านี้ไหม”

“บ่ใช่ เจดีย์ทองคำก็คือเจดีย์ทองคำ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงในเขตเมืองมอญนู้น ว่ากันว่าใหญ่โตกว่าพระธาตุเวียงอินทร์หลายเท่า แต่ว่านะ ใครที่จะสามารถเดินทางไปไหว้เจดีย์ทองคำได้จะต้องร่ำรวยเอามากๆ เพราะต้องใช้ทั้งขบวนช้างม้าและกำลังคนคุ้มกันมากหลาย ก็เพราะระหว่างทางมักจะมีพวกพื้นเมืองล่าหัวคนคอยออกปล้นฆ่าผู้คนที่จะเดินทางไปไหว้พระเจดีย์”

“เหตุใดโหม่ลวิ่นถึงต้องอยากไปไหว้เจดีย์ที่อยู่ไกลและอันตรายอย่างนั้นด้วยนะ”

“ก็เพราะเป็นพระเจดีย์ประจำปีเกิดยังไงล่ะ โหม่ลวิ่นเกิดปีจอ เจดีย์ทองคำเป็นเจดีย์ประจำคนเกิดปีจอ หล่อนก็เลยจำเป็นต้องไปไหว้เพราะพ่อแม่ได้บนบานศาลกล่าวเอาไว้ตั้งแต่ยังเด็ก หากบ่ได้กราบไหว้ ชะตาของหล่อนจะถึงคราวสิ้นตามคำบนบาน”

จันทร์หล้าถอนหายใจเมื่อได้ยินเรื่องราว ก่อนจะหันไปสนใจการแสดงลิเกตลกบนเวทีที่ดูเหมือนว่าจะกำลังดำเนินเรื่องไปอย่างเข้มข้นและสนุกสนาน

ตอนนั้นเอง ดนตรีก็บรรเลงทำนองต้อนรับเหล่านักแสดงชายที่มาให้นางเอกคัดตัว พวกหนุ่มๆ ต่างอวดอ้างสรรพคุณของตนกันยกใหญ่ บ้างว่าตนสามารถเป็นผู้พาสาวงามไปไหว้พระเจดีย์ทองคำได้ บ้างงัดของวิเศษที่ติดตัวออกมา อีกคนบอกว่าชำนาญการเดินป่า อีกคนอ้างว่าตนมีคาถาเหาะเหินเดินอากาศได้

บทสนทนาของตัวละครดำเนินไปเรื่อยเปื่อย และค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับคนไม่เข้าใจภาษาโบราณ จนกระทั่งผู้คนหน้าเวทีส่งเสียงอีกครั้ง เมื่อนักแสดงชายผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาจากฉากกั้น เขาประโคมกายด้วยเสื้อผ้าสีทองอะร้าอร่าม แสดงให้เห็นว่ามีฐานะร่ำรวยกว่าคนอื่นๆ อีกท่าทีก็ผยององอาจกว่าใครเพื่อน

“นั่นใคร ม่อนหอม”

“เศรษฐีเ ฒ่า”

จันทร์หล้าชะงักกึก “เศรษฐีเฒ่า?”

“ใช่ คนผู้นี้แหละที่จะพาโหม่ลวิ่นไปไหว้เจดีย์ทองคำได้…ก็เศรษฐีเฒ่าร่ำรวย มีทั้งช้างทั้งข้ารับใช้มากมาย พาโหม่ลวิ่นไปไหว้พระเจดีย์ได้สบายๆ พ่อแม่หล่อนก็เลยจะยกลูกสาวให้กับเขา แต่อย่างว่า เศรษฐีมีเมียอยู่แล้วก่อนหน้าตั้งหกคน โหม่ลวิ่นเลยจำต้องตกเป็นเมียคนที่เจ็ดอย่างเสียบ่ได้ หล่อนก็เลยช้ำใจที่พ่อแม่ยกหล่อนให้เขาไป แทนที่จะหาชายอื่นมาให้แทน”

สาวหน้ามนได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับยืนนิ่งไปสักพัก รู้สึกเห็นใจโหม่ลวิ่นราวกับว่านางเองก็เคยตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับหล่อนมาก่อน ดวงตาดำขลับวาบประกายประหลาดผ่านไป…

โหม่ลวิ่นที่น่าสงสารกำลังร่ำไห้ตัดพ้อบางอย่างกับดวงจันทร์อยู่บนเวที หากแต่ก็ยังหนีไม่พ้นการร่ายรำตามจังหวะดนตรีที่สนุกสนาน ในฉากสุดท้าย เศรษฐีเฒ่าได้พาหล่อนขึ้นหลังช้าง ออกเดินทางไปไหว้เจดีย์ทองคำแห่งเมืองมอญ พ่อแม่ของหล่อนยืนโบกไม้โบกมืออำลาลูกสาวด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ดนตรีบรรเลงส่งตามท้ายอย่างเศร้าๆ ก่อนผ้ากั้นฉากจะปิดลง

“ว้า จบซะละ” สาวหน้าแบนบุ้ยปาก ออกอาการผิดหวังอย่างเซ็งๆ “…เรื่องราวบ่เห็นเป็นเหมือนอย่างที่ข้ารู้มาเลย จริงๆ แล้ว เรื่องราวของสาวงามเลือกคู่บ่ได้เป็นแบบนี้นี่นา”

“แล้วมันเป็นอย่างไรกันหรือ” อีกคนแปลกใจ

“ก็เรื่องราวที่ข้าเคยรู้มา เดิมทีโหม่ลวิ่นหล่อนมีคนรักอยู่แล้ว เป็นชายใบ้ที่อาศัยอยู่กระต๊อบท้ายหมู่บ้าน แล้ววันที่พ่อแม่ยกโหม่ลวิ่นให้เศรษฐีเฒ่าไป ชายใบ้ก็แอบมาหาหล่อนที่เรือน แต่โชคร้ายโดนจับได้เสียก่อน พ่อของสาวเจ้าก็เลยจับชายใบ้ฆ่าเสีย ส่วนโหม่ลวิ่นที่พอได้เห็นชายคนรักถูกผู้เป็นพ่อฆ่าตายต่อหน้าต่อตาก็เสียใจจนสิ้นสติ”

“เวรกรรมแท้ๆ”

“แล้วพอชายใบ้ถูกฆ่าตาย โหม่ลวิ่นก็สลบไป เรื่องราวก็จบลงแค่นั้น ก็เลยบ่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว หล่อนได้ไปไหว้เจดีย์ทองคำกับเศรษฐีเฒ่าหรือบ่ได้ไปกันแน่ บ้างก็บอกว่า หล่อนเสียสติจนเป็นบ้า เศรษฐีเฒ่าเลยคืนหล่อนให้พ่อแม่หล่อนไป บ้างก็ว่าหล่อนไปกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายตามชายใบ้คนรัก”

“หากข้าเป็นโหม่ลวิ่น ข้าจะบ่มีวันฆ่าตัวตายแน่ๆ”

“หือ” ม่อนหอมหันมา เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “สูว่าอย่างไรนะ”

“หากข้าเป็นโหม่ลวิ่น ข้าจะฆ่าเศรษฐีเฒ่าให้ตายๆ ไปซะ คนอื่นจะได้บ่ต้องตาย ที่คนอื่นต้องตาย ก็เป็นเพราะมัน มันคนเดียว”

“จันทร์หล้า…”

ขณะพูด ดวงตาที่เคยสดใสก็หม่นด้านลงไปราวกับคนไร้ชีวิต ดวงตาดำด้านนิ่งๆ ดูน่าขนลุกแปลกๆ ม่อนหอมได้เห็นก็ถึงกับอึ้ง ตัวแข็งทื่อไปครู่ใหญ่…

หญิงสาวหน้างามยามปกติดวงตาอ่อนโยนสดใส แต่ทว่าดวงตาอาฆาตมาดแค้นนี้ล่ะ มันเป็นดวงตาของใครกัน หรืออี่จันทร์หล้าเสี่ยวรักกูจะถูกผีบนพระธาตุเวียงอินทร์เข้าสิงกุมเอาร่างเสียแล้ว

“วันนี้ทั้งวันสูเป็นอะไรไปจันทร์หล้า สูพูดจาและทำตัวแปลกๆ ตั้งแต่ที่อยู่ที่วัด…”

 

สิกจุ้งจา อี่หล้าจุ้งจ้อย ผีเงือกหน้อย อาบน้ำเกาะทราย ผีวัวลายอาบน้ำฮ่องล่อ นกจี๋จ่อบินไปบินมา กาสองตัว เอาลูกออกเล่น เล่นต๋ามเล่น เอาค้อนมาบุบ ตีตุ๊บๆ เหมือนม้าตำข้าว ตำเมื่อเช้าได้ข้าวบุงเดียว ดำตาเขียวไห้กินนม อมขี้ม้า ก๊าขี้แห้ง แกงขี้ซาก กินแล้วฮากออก…

เสียงเด็กน้อยขับบทเพลงพื้นบ้าน พลางร้องพลางเล่นเต้นไก่กาอยู่กลางถนนขี้ดินแดงสายหลัก ก่อนจะจับกลุ่มวิ่งไล่จับกันไปมาอย่างสนุกสนาน บ้างที่ยังเล็กยังไม่ทันรู้ประสีประสา ก็นั่งคลุกฝุ่นดูพวกพี่ๆ วิ่งเล่นแข่งขันกัน

กระเดื่องครกไม้อันใหญ่กระดกขึ้นลงเป็นจังหวะ ก่อนหญิงสาวจะใช้สองมือตะล่อมข้าวที่แตกหยาบให้มารวมกันอยู่ตรงก้นหลุมครก แล้วก็ขึ้นเหยียบกระเดื่องไม้อีกครั้ง ใกล้ๆ กัน ผู้เป็นแม่กำลังก้มๆ เงยๆ ถักเชือกกระสอบสายป่าน

เมื่อนั้น เกวียนวัวเล่มหนึ่งก็ขับผ่านหน้าเรือนไปทางสามแยกจนฝุ่นตลบ เกวียนนี้เป็นเกวียนของพ่อเลี้ยงปางไม้ เกวียนมุงหลังคาหลังใหญ่มีเจ้านายนั่งอยู่ทางใน เดินตามเกวียน มีลูกน้องของเขาติดสอยห้อยตามเป็นพรวน ผู้เป็นแม่มองตามเกวียนเล่มนั้น ก่อนจะหันไปบอกลูกสาวของตน ที่กำลังยกกระสอบข้าวเปลือกจากใต้ถุนเรือนออกมาวางให้

“อี่หล้า เสร็จนี่ก็พอละ”

“เสร็จจากงานแล้ว ข้าขอไปเรือนครูราชนะแม่”

“สูจะไปอีกทำไม ข้าได้ยินว่าเขาจะกลับไปเมืองใต้อีกบ่กี่วันแล้วบ่ใช่หรือ”

“ใช่” ลูกสาวพยักหน้า “แต่วันนี้ข้าไปบ่นาน บ่กลับค่ำหรอก ข้าบอกครูเขาเอาไว้ว่าวันนี้จะไปหา”

“ข้าถามหน่อยเถอะ สูไปสนิทสนมกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็ตอนสอนตำราให้กันนี่แหละ”

“อี่แม่จะบอกสูให้นะ ครูสูมันเป็นคนเมืองใต้ คนทางใต้ไว้ใจได้ง่ายๆ เสียที่ไหน สูระวังตัวไว้ก็ดี”

“แต่ครูราชเป็นคนดีนะแม่ ครูเขาชอบเล่าเรื่องที่เมืองบางกอกให้ข้าเจ้าฟัง”

“กะอีแค่เขาเล่าเรื่องเมืองบางกอกให้สูฟัง สูก็มองเขาเป็นคนดีไปเสียแล้ว หากเขาลวงเขาหลอกสูด้วยถ้อยคำหวานหู สูบ่หนีแจ้นไปอยู่เมืองใต้กับเขานู้นแล้วหรือ”

สาวน้อยเลิกคิ้วขึ้นทำว่าไม่สนใจ ก่อนจะหันมาเร่งเหยียบกระเดื่องตำข้าวต่อ

ผู้เป็นแม่พิศคนร่างระหงที่เริ่มจะมีทรวดทรงองค์เอวด้วยกำลังแตกเนื้อสาว หญิงสาวรุ่นเดียวกันในหมู่บ้านไม่มีใครงามเท่าลูกสาวนางสักคน แต่ลูกของนางก็มีความดื้อรั้นแปลกๆ ไม่เหมือนใครสักคนเหมือนกัน ดูอย่างที่มันเอากรรไกรหั่นผมตัวเองจนสั้นกุด สาวชาวเหนือที่ไหนท่านจะไว้ผมสั้นกุดอย่างมัน

“เมื่อไหร่สูจะกลับไปไว้ผมยาวเหมือนเดิม อี่แม่อยากให้สูไว้ผมยาว ไว้ผมสั้นแล้วสูดูคล้ายพ่อชาย”

“คล้ายพ่อชายก็ดีสิ ข้าจะได้เอาเมีย ให้อี่ดาวคำเป็นลูกสาวเอาผัว ส่วนข้าจะเป็นลูกชายเอาเมีย เอามาเลี้ยงอี่แม่ไง”

“ฟ้าจะผ่า เรือนร่างสูเป็นแม่ญิงแล้ว จะอยากเป็นพ่อชายไปได้อย่างไร”

ผู้เป็นแม่แหวใส่ ก่อนจะกลับมาพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ไว้ผมยาวเถอะนะ สูจะได้ดูเป็นสาวเป็นนางอี่แม่อยากขดมวยผมแซมดอกให้สูอีก”

“อี่แม่กลัวข้าบ่มีคู่ต่างหากล่ะ ข้ารู้ทันหรอก”

“ก็แล้วสูหมายใจกับชายใดไว้บ้างหรือยังล่ะ”

“จะมีใครอยากมาหมายใจกับข้าล่ะ”

“ก็ครูสอนหนังสือของสูนั่นไง มันบ่ว่าอย่างไรบ้างหรือ ข้าเห็นมันขึ้นเรือนมาแอ่วหาสูเย็นวันนั้น ไหนสูบอกว่าพวกสูสนิทกัน มันบ่อยากได้สูไปเป็นเมียมันหรือ”

หญิงสาวกระดากอายเมื่อได้ยินแม่ถามอย่างนั้น นางจึงรีบทำหัวเราะกลบเกลื่อน

“จะให้ท่านว่าอันใดล่ะ ท่านเป็นครูสอนตำรา ท่านก็ว่าแค่คำในตำรา”

“หากจะว่าแค่คำในตำรา ถ้างั้นจะตามมาถึงเรือนยามมืดค่ำทำไม…แต่ก็ช่างเถอะ ข้าก็บ่อยากได้มันมาเป็นลูกเขยเหมือนกัน สูเองก็บ่ดีเอามันมาทำผัว มันเป็นคนเมืองใต้ คนใต้ใจดำ หวังจะเอารัดเอาเปรียบชาวเฮาทั้งนั้น”

“แต่ท่านบ่ใช่คนเถื่อนคนทรามเสียหน่อย”

“บ่รู้ละ ก็ข้าบ่ชอบมัน” ผู้เป็นแม่กล่าวเฉย

“แล้วหากข้าจะมักชอบใคร ข้าเลือกเองบ่ได้หรือ ตอนอี่พี่เลือกผัว ข้าบ่เห็นอี่แม่จะไปยุ่มย่ามกับมัน”

“อย่างน้อยผัวอี่ดาวคำมันก็เป็นคนบ้านเฮา แต่ครูสอนหนังสือของสูมันเป็นคนบ่มีหลักแหล่ง เดินทางรอนแรมมาจากไหนก็บ่รู้ บ่แม่นว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหนีโทษตะรางมาหรือ คนธรรมดาที่ไหนใครเขาจะบุกป่าฝ่าดงเข้ามาจนถึงบ้านป่ากลางดอยอย่างงี้ได้ มันบอกสูว่ามันจะกลับเมืองใต้ แต่ข้าว่ามันเดินทางเร่ร่อนเที่ยวขออาศัยไปทั่วมากกว่า หรือสูอยากเร่ร่อนไปกับมัน”

จันทร์หล้านิ่งเงียบลงเสีย ไม่ต่อปากต่อคำต่อด้วยเพราะเป็นลูก ได้แต่ซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ในใจลึกๆ

“จะหาผัวทั้งที ไยบ่หาที่มันเลี้ยงดูสูได้ อย่างพ่อเลี้ยงปางไม้นั่นไง”

ท้ายที่สุด ผู้เป็นแม่ก็พูดแบบไม่อ้อมค้อม หญิงสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

“พ่อเลี้ยงมันอยากเลี้ยงดูสูนะอี่หล้า เงินทองมันก็มีมากมายเหลือเฟือ”

“แต่พ่อเลี้ยงมันเฒ่า มันเฒ่ากว่าอี่พ่ออีก ข้าบ่อยากมีผัวคราวพ่อ”

“สูก็มองเงินทองมันซี บ่ต้องไปมองหน้ามัน”

“แต่มันมีเมียหลายคนในปางไม้ อี่แม่ก็เห็น…ลูกสาวอี่แม่ไปเป็นเมียมัน ก็เป็นเมียคนที่หกที่เจ็ดอี่แม่บอกว่าอับอายถ้าข้าจะมีผัวเป็นคนเมืองใต้ แต่กลับอยากให้ข้าเข้าไปเป็นนางนอนเล่นให้พ่อเลี้ยงเฒ่าเสียอย่างนั้น”

“ข้าก็บ่อยาก แต่พ่อของสูนู้น…วันก่อน ข้าเห็นพ่อสูมันเข้าไปในปางไม้อีกแล้ว มันไปหยิบยืมเงินพ่อเลี้ยงเขามา สูก็รู้ว่าพ่อสูมันขี้เหล้าขี้การพนัน ของเก่ายังบ่รู้จะหาที่ไหนมาใช้หนี้เขา พ่อสูมันก็ไปหยิบยืมมาเพิ่มอีกแล้ว เมื่อวานซืนลูกน้องพ่อเลี้ยงก็มาบอก ว่าหากอีกสามวันบ่มีเงินมาใช้คืนเขาแท้ เขาจะมาเอาตัวสูไปไว้ในปางไม้ ให้ไปทำงานใช้หนี้หรืออะไรก็ว่าไป”

“แล้วอี่พ่อว่ายังไง”

“จะว่ายังไงได้ล่ะ พ่อสูก็ตกปากรับคำเขาไปน่ะสิ”

“โธ่ อี่แม่!” หญิงสาวครวญด้วยใจที่แตกสลาย น้ำตาหยาดร่วงเป็นสาย ร่ำไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ “อี่พ่ออี่แม่ก็รู้ว่าเขาหวังอะไรจากตัวข้า มันหวังจะย่ำยีข้า แล้วยังคิดจะส่งข้าเข้าไปในนั้นอยู่อีกหรือ”

นางแสงใบเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาลูกสาว “ข้าบ่รู้ พ่อสูนู้น ไปคุยกับมันเอาเองเถอะ”

“ไยอี่พ่อถึงทำใจดำกับข้าได้ลงคอหนอ กล้าขายข้าใช้หนี้สินอย่างนี้ได้ยังไง ข้าเจ้าบ่ใช่ลูกสาวเหมือนอี่ดาวคำหรอกหรือ ข้าบ่ใช่คน บ่มีชีวิตจิตใจเหมือนมันหรอกหรือ”

“อี่จันทร์หล้า อย่ามาซัดคำใส่แม่มึงนะ กูเป็นแม่มึง มึงบ่กลัวตายไปเป็นเผต เป็นอสูรกาย ตกหม้อนรกหรือ” ผู้เป็นแม่ตวาดเสียงดัง

“พ่อแม่บ่รักข้า บ่ปกป้องข้าเจ้าด้วยซ้ำ อี่แม่รู้ไหม ที่ข้าต้องตัดผมสั้นจนกุดอย่างนี้ก็เพราะข้าบ่อยากเป็นแม่ญิง ข้าบ่อยากให้ไอ้เสือเฒ่านั่นมันมองข้าเจ้าเป็นแม่ญิง ข้าจึงดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดทุกทาง แต่อี่พ่ออี่แม่กลับทำใจดำ จับข้าใส่พานถวายเขาได้ง่ายๆ… พ่อแม่นี่แหละ เป็นผู้ที่ฆ่าข้าเจ้าทั้งเป็น”

จันทร์หล้าลุกขึ้นปาดน้ำตา ยืนหยัดความต้องการของตนเอง

“ข้าบอกไว้ก่อน ข้าจะบ่ยอมลงนอนเป็นนางนอนเล่นของใครแน่…อยากนอนกับข้า อยากได้ข้าเป็นเมียขนาดนั้น ก็รอนอนกับซากผีต๋ายข้าไปเถอะ ไว้ข้าตายแล้วค่อยได้ตัวข้าไป”

“อี่จันทร์หล้า!”

นางแสงใบตะโกนตามหลังลูกสาวที่วิ่งออกจากเรือนไปเสียงดังลั่นอย่างไม่นึกอายพี่น้องชาวบ้านคิดเจ็บใจเหลือเกินที่ถูกลูกสาวต่อปากต่อคำไม่ลดละ ไม่รู้ว่านังลูกคนนี้มันหัวรั้นได้ใครมา เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวรอให้พ่อมันกลับมา ตนจะเล่าเรื่องอี่จันทร์หล้ากล้าผยองให้ผัวฟัง ให้พ่อกับลูกมันตีกันให้ตาย

แต่ทว่า เย็นนั้นจันทร์หล้าไม่ได้กลับมาที่เรือน

รอจนดึกดื่นก็ไม่เห็นแม้แต่เงา นายแก้วมากับนางแสงใบจึงร้อนใจไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้าน และขอกำลังชาวบ้านออกค้นหาลูกสาว แต่ค้นทั่วทั้งร่องห้วย ทุ่งสวนป่าไร่ ยังไงก็ไม่เจอเด็กสาว

พวกชาวบ้านต่างกระจายกำลังกันออกค้นหาจนทั่วบริเวณรอบๆ และหมู่บ้านใกล้เคียงตลอดทั้งคืน ฝ่ายพ่อเลี้ยงก็ระดมกำลังลูกน้องขึ้นไปตามหาบนตีนดอยหลวง เพราะกลัวว่าจันทร์หล้าจะหนีขึ้นไปคิดสั้นอยู่บนนั้นตามคำขู่

และแล้ววันนั้นเอง ก็เป็นวันสุดท้าย ที่ชาวบ้านเห็นจันทร์หล้าและครูราชในหมู่บ้าน…

 



Don`t copy text!