แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 24 : มิตรไมตรี

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 24 : มิตรไมตรี

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นที่สโมสรโปโล ความเคลื่อนไหวของเจ้าแกมเมืองและอาการบาดเจ็บของท่าน ก็ถูกทางราชสำนักปิดข่าวไว้อย่างมิดชิด

แม้ชาวเมืองจะพยายามเสาะหาข่าวคราวและการปรากฏตัวของเจ้าชายหนุ่มในแต่ละวัน แต่ก็ไร้วี่แววพอๆ กับการหายตัวไปของเจ้าหน่อคำและเจ้าเสาคำ ราชบุตรของมหาเทวีผู้ก่อเหตุ

บ้างก็ว่าเจ้าฟ้าทรงสั่งลงโทษเจ้าชายหนุ่มทั้งสอง โดยการส่งไปกักบริเวณอยู่ที่ค่ายโรงเรียนฝึกผู้นำที่เมืองหลวงตวนตี และให้พักงานที่ทรงประจำอยู่ในกระทรวงการคลังเป็นการชั่วคราว มหาเทวีและพระญาติคนอื่นๆ ต่างก็พากันหอบย้ายข้าวของ อพยพติดสอยห้อยตามทั้งสองไปอยู่ที่เมืองหลวงด้วย จนกว่าข่าวการถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ หวังจะลอบสังหารและปลงพระชนม์เจ้ารัชทายาทจะซาลงไป

ชาวเมืองจับสังเกตได้ว่าในแต่ละวันจะมีรถยนต์พระที่นั่งพร้อมกองกำลังทหารคุ้มกันวิ่งออกจากหอคำ ไปทางโรงพยาบาลหลวงอยู่บ่อยๆ จึงเป็นมูลเหตุให้ทุกคนเชื่อข่าวลือที่ว่า เจ้าแกมเมืองอาการทรุดหนักและนอนติดเตียง จนถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัดและอยู่ในการดูแลของนายแพทย์ใหญ่ตลอดเวลา

เสียงลือหนักเข้าไปอีก เมื่อวันหนึ่ง โรงพยาบาลประกาศหยุดทำการไปถึงสี่วัน ทั้งที่ปกติโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่เคยหยุดทำการเลยสักครั้ง คนเลยคาดเดาว่า การได้รับบาดเจ็บครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อเจ้าแกมเมืองอย่างรุนแรง

แต่ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ทางราชสำนักก็ออกมาแก้ข่าว และแจ้งว่าเจ้าแกมเมืองปลอดภัยดีและอาการดีขึ้นมาก จวนจะกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนัก โดยแต่ละวัน เจ้าฟ้าได้ให้เจ้าสามเมืองและหมอกุปป้าสลับกันมาเฝ้าดูอาการ พร้อมกันนั้น ก็ทรงประกาศห้ามให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่มย่ามหากไม่ได้รับอนุญาต พร้อมกับเสริมกำลังทหารองครักษ์เข้าประจำการและคัดกรองคนเข้าเยี่ยม

เช้านี้เจ้าสอาดองค์ไปเยี่ยมเจ้าแกมเมืองที่หอหน้า มีแหม่มไดแอนน์และลุยเซียน่าแหม่มครูสาวชาวอเมริกันของเจ้าสิงห์ไชยติดตามไปด้วย ได้ยินว่าเจ้าชายาจะทูลขอต่อเจ้าฟ้าให้ลุยเซียน่าเข้ามาเป็นนางพยาบาลส่วนตัว คอยเฝ้าดูแลเจ้าแกมเมืองในช่วงระหว่างพักฟื้น เพราะหล่อนกำลังเรียนประกาศนียบัตรนางพยาบาลฝึกหัดอยู่ที่โรงพยาบาล

“สูก็อยากไปเยี่ยมเจ้าแกมเมืองกับพวกท่านหรือยังไง” ม่อนหอมเอ่ยถาม เมื่อเห็นหญิงสาวทำตาละห้อยมองรถยนต์ที่ขับเคลื่อนออกไปจากตำหนัก

“ใครบอกว่าข้าอยากไป”

“ปากแข็ง”

สาวร่างตุ้ยนุ้ยอมยิ้ม ก่อนจะยกกระสอบหยวกกล้วยที่สับหยาบไปโปรยลงในรางข้าวให้เป็ด

“ข้าถามสูแท้ๆ นะ สูกับเจ้าแกมเมืองเคยรู้จักกันมาก่อนหน้านั้นหรือ เหตุใดอยู่ๆ ข้าก็รู้สึกสูกับท่านสนิทสนมกันเสียเหลือเกิน ยั่งกะคนที่เคยรู้จักกันมาก่อนหน้า”

“อือ” จันทร์หล้าตอบตรงๆ “เขาเป็นคนช่วยชีวิตข้า พาไปส่งโฮงบาลหลวงครั้งนั้น”

“ข้อนั้นข้ารู้แล้ว” ม่อนหอมลากเสียงยาว “แต่ข้าหมายถึง ทั้งสองมีใจให้กันหรือ”

“จะบ้าหรือไง ข้าบ่ได้มีใจให้ท่านเสียหน่อย พวกข้าบ่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น แค่เคย…เอ่อ พูดจากันบ่กี่คำ”

จันทร์หล้าเฉไฉ เลี่ยงคำว่าทะเลาะเบาะแว้ง มีปากเสียง ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน

“ตอนนี้เจ้าท่านคงมีแหม่มหลุยส์คอยดูแล สูบ่ต้องกังวลหรอกน่า เผลอๆ เจ้าอามจะรับสั่งยกหล่อนให้เป็นเมียเจ้าชายท่านเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยหอหน้าจะได้มีสตรีคอยดูแล”

“เหตุใดถึงกับต้องยกให้เป็นเมียเจ้าท่านด้วยเล่า”

“เอ้า สูบ่รู้หรือ ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัว หรืออยู่ในที่ลับตาสองต่อสองจะเป็นที่ครหา”

“เจ้าก็ต้องมีเมียเป็นเจ้าด้วยกันสิ ถึงจะสมฐานะ”

“เจ้าที่มีเมียเป็นคนสามัญธรรมดามันก็มี”

จันทร์หล้าใจชา ถึงกับเก็บอาการที่แสดงออกมาทางสายตาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะรีบซุกซ่อนอารมณ์ไม่ให้อีกคนเห็น รีบนำกระสอบหยวกที่สับละเอียดไปโปรยอีกในรางอาหารให้เป็ดอีก

“ก็ดีสิ เจ้าปลาบอกว่าชายาเจ้าแกมเมืองสิ้นไปตั้งสิบปีที่แล้ว ชายโสดครองหอเดี่ยวๆ ก็น่าเห็นใจ”

“แล้วสูล่ะ จะย้ายเข้าไปทำงานกับท่านเมื่อไหร่ ข้าได้ยินว่าเจ้าแกมเมืองขอสูไปเป็นเสมียนช่วยงาน”

“ข้าบ่รู้…ข้าบ่มีความรู้ ใครเขาจะอยากได้ข้าไปทำงานด้วยจริงๆ”

“ก็ใช้แรงงานไง เจ้าแกมเมืองกำลังจะถูกส่งตัวไปทำงานที่สวนส้มทางเหนือ สวนส้มตั้งหกร้อยไร่เชียวนา เมืองทางเหนือก็งาม ข้ายังคิดอิจฉาแทนสู”

“ข้าบ่ได้อยากไปไหนทั้งนั้น บ่ได้อยากเป็นเสมียนอะไรนั่นด้วย”

“บ่อยากไป บ่อยากเป็น แต่ไฉนหางเสียงสูฟังดูแง่งอนนักนะ” ม่อนหอมหยอกเหย้าเพื่อน ว่าแล้วก็จึงค่อยๆ เข้ามานั่งลงตรงข้างคนหน้างาม

“จันทร์หล้า…ข้าบ่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกสูรู้จักมักจี่กันมายังไง แต่จากที่เห็นในสโมสรวันนั้น เจ้าแกมเมืองท่านเอ็นดูสูอยู่มาก ช่วงเวลาแบบนี้ สูเข้าไปเยี่ยมดูอาการท่านหน่อยเถิด ข้าว่าท่านรอสูอยู่”

“ข้าบ่เห็นความข้องเกี่ยวกันตรงไหน อีกอย่าง ที่หอหน้านั้นเป็นเขตหวงห้ามแล้ว ทหารยามออกจะแน่นหนาขนาดนั้น ขืนข้าไปกล้ำกรายแถวนั้น มีหวังถูกจับตัวโยนออกมาแน่ๆ”

“แล้วแต่สูเถิด สูบ่อยากรู้อาการเจ้าท่านก็บ่เป็นไร”

และเพราะคำพูดของม่อนหอม ก็ทำให้ช่วงบ่ายๆ ของวันหนึ่ง จันทร์หล้าแอบทำทีเป็นถือตะกร้าใส่ของ เดินไปป้วนเปี้ยนยังหน้ารั้วตำหนักหอหน้าจนได้

นางทำทีเข้าไปขออนุญาตเจ้าชายาในช่วงเช้า ว่าจะขอเข้าไปกราบไหว้เยี่ยมเยือนสะหย่ามะ ขณะที่เจ้าชายาท่านกำลังวุ่นวายเตรียมการพาเจ้าสิงห์ไชยไปตรวจสุขภาพที่รางกูนและจะค้างที่นั่น 2 คืน เจ้าสามเมืองและเจ้าสุนันต่าก็จะร่วมเดินทางไปกับท่านด้วย

เมื่อมาถึงบริเวณภายนอกของหอหน้าที่เงียบเชียบ ก็เห็นว่าประตูรั้วเหล็กปิดสนิทและไม่ต้อนรับแขก ด้านในมีทหารมหาดเล็กยืนประจำการยังจุดต่างๆ แน่นหนาและหน้าตาขึงขัง คฤหาสน์หลังงามซ่อนตัวจากผู้คน หลบอยู่เบื้องหลังต้นสนที่ปลูกสูงกว่ารั้ว ด้านในโรงจอดรถ มีรถยนต์คันสีฟ้าจอดอยู่เพียงคันเดียว

จันทร์หล้าทำทีเป็นเดินผ่านไปผ่านมาอยู่หลายรอบ นางไม่รู้ว่าตนเองมาทำแบบนี้เพื่ออะไร แต่นางมั่นใจว่าไม่ได้ทำอย่างนี้ด้วยคำยุยงของม่อนหอมแน่นอน และก็ไม่ได้ว่าอยากจะมาให้เห็นกับตา ว่าบุตรสาวของแหม่มไดแอนน์ได้เข้ามาเป็นนางพยาบาลดูแลแล้วจริงๆ…ไม่ใช่

เดินเลียบๆ เคียงๆ ด้อมๆ มองๆ กระทั่งพวกทหารที่เฝ้าประจำการเริ่มจับพิรุธและสังเกตเห็น จันทร์หล้าเลยจำต้องรีบออกมาจากบริเวณเขตหวงห้ามตรงนั้นอย่างเสียไม่ได้ สุดท้ายก็จึงถอดใจเดินคอตกกลับตำหนัก

แสงแดดยามเย็นส่องทอดยาวได้ไม่นานนักก็หายวับไปกับตา ด้วยว่าหน้าหนาวนั้นกลางคืนมักจะยาวกว่ากลางวัน กลางวันแสนสั้น กลางคืนยาวนาน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่หน้าหนาวมาเยือนสมบูรณ์

จันทร์หล้าเดินเหม่อๆ ไปตามเส้นทางเหงาๆ ตอนนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงรถยนต์คนหนึ่งขับมาเทียบเคียงอยู่ข้างๆ หากแต่เมื่อหันไปมองก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เมื่อเห็นว่าคนขับที่นั่งอยู่ในรถคนนั้นคือใคร…

“เจ้าแกมเมือง!”

“ขึ้นมาสิ” เขาจอดรถพร้อมกับบอกให้นางขึ้นรถไปกับเขา

จันทร์หล้าละล้าละลังหันมองซ้ายมองขวา เห็นว่าเขามาคนเดียวไม่มีรถทหารตามมาอารักขาก็จึงแปลกใจ แต่แล้วก็จึงยอมขึ้นรถกับเขาไปโดยง่าย

ระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน บรรยากาศก็เงียบสงัดแปลกๆ เมื่อคนทั้งคู่จึงได้แต่นั่งออมวาจา เมื่อเขาไม่ใช่คนช่างพูด ส่วนนางก็ไม่กล้าสนทนา รถขับมุ่งหน้าออกไปทางนอกประตูเมืองอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองคนขับไปพลาง บัดนี้ทรงผมของเขาสั้นเกรียนลงไป และมีผ้าก๊อซซับแผลแปะติดอยู่ตรงรอยไหมเย็บสีน้ำเงิน ใบหน้าซีดโทรม ภายใต้แว่นตากรอบสีทอง รอยคล้ำยังคงทิ้งรอยเป็นวงใต้ตา ท่าทางอิดโรย ดูไม่เหมือนเค้าเดิมเสียทีเดียว หากแต่สภาพก็ไม่ได้ดูแย่เหมือนข่าวลือ

“เฮาจะขับรถไปไหนกันหรือบาทเจ้า”

“ไปนอกเมือง”

“อ้อ” จันทร์หล้ากล่าวรับคำตอบไปอย่างนั้น “เอ่อ…ข้าแค่เดินผ่านมา”

“อือ” เขาตอบผ่านๆ เช่นกัน แม้จะเห็นว่าหญิงสาวมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าตำหนักหลายรอบ เขามองลงมาจากระเบียงชั้นสองเห็นอยู่นานสองนาน

“แผลของเจ้าท่าน หายดีแล้วหรือบาทเจ้า”

“อือ”

“แผลเพิ่งจะหายดี ไยถึงออกมาจากตำหนักอย่างนี้”

“คำถามสูเยอะมากเกินไปแล้ว…เป็นห่วงเป็นใยข้าหรือไง อี่นาย”

 

รถยนต์โฟล์คสวาเกนสีฟ้าค่อยๆ ขับเข้ามาจอดยังหน้าอุทยานดอกไม้ริมน้ำแม่ลาอย่างนิ่มนวล

ครั้นเห็นว่าเป็นใครมา เจ้าหน้าที่ประจำอุทยานก็ตาลีตาเหลือกขับกันมายืนรอต้อนรับยังด้านหน้า แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าอุปราชแกมเมืองเสด็จมากับเด็กสาวคนหนึ่ง ทุกคนก็เข้าใจว่าคงจะเป็นการเสด็จส่วนพระองค์ ก็จึงไม่เข้าไปรบกวนท่านและออกไปคอยกันผู้คนไม่ให้เข้ามาในบริเวณที่เจ้านายกำลังประทับเป็นการชั่วคราว

เจ้าชายหนุ่มและหญิงสาวลงจากรถ ก่อนจะพากันเดินทอดน่องไปตามแปลงปลูกพืชไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ

ภายในพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่จัดสรรเป็นส่วนๆ เสียงในสวนยามเย็นล้วนเป็นเสียงทิพย์ที่เชื่อว่าสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจได้ ซึ่งเมื่อได้ปล่อยวางความอลหม่านวุ่นวายในใจลงไป ก็จะได้ยินซึ่งเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล และเสียงธรรมชาติอันเงียบสงบกำลังเริงระบำอยู่ในระดับความดังของตัวเอง

ไร้บทสนทนาจากคนทั้งคู่นอกจากการหันมามองหน้ากันเป็นครั้งคราว คนเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่กี่วันยิ้มออกเพียงนิด ราวกับได้ยลยวงแก้มขาวนวลดวงนั้นเป็นอาหารทิพย์ทางตาและทางใจ

“อยากได้ดอกไม้ไปใส่แจกันที่ตำหนักไหม” เขาเอ่ยถามนางในที่สุด

“อยากได้บาทเจ้า” หญิงสาวตอบรับ ไม่ขัดเลยแม้แต่นิด รู้สึกแปลกหน่อยๆ แต่ก็เออออตามไป

จันทร์หล้าชื่นชอบดอกไม้แต่ละชนิดที่ปลูกที่นี่ ชอบสีสันและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมัน คราวก่อนที่ม่อนหอมพามาที่นี่นั้น นางเองก็รู้สึกชื่นชอบสถานที่แห่งนี้เหลือเกิน

“ว่าแต่…พวกเขายอมปล่อยให้เจ้าท่านออกมาข้างนอกตำหนักแบบนี้ได้แล้วหรือบาทเจ้า”

“พวกเขาที่สูหมายถึงคือผู้ใดกันล่ะ”

แหม่มหลุยซ์…จันทร์หล้าคิดในใจ แต่ไม่ได้ตอบแบบนั้น “ก็…ท่านหมอ มินตูหรือพวกทหารมหาดเล็ก”

“ก็แค่หัวแตกนิดหน่อยเอง ใช่เจ็บไข้จนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ไยถึงจะออกจากตำหนักบ่ได้”

“อ้อ”

นิดหน่อยของคนพูดนั้นทำท่าว่าไม่จริง เพราะข่าวลือเกี่ยวกับอาการป่วยของเขานั่นหนักเอาการวันแรกหลังจากฟื้นจากการตกม้าและการถูกไม้โปโลฟาดเข้าที่หัวอย่างจัง ก็ได้ยินว่าเขาเอาแต่อาเจียนและมีเลือดไหลออกจากจมูกจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ผ้าก๊อซซับแผลยังมีคราบเลือดเกรอะกรังอยู่ที่ศีรษะเป็นสิ่งยืนยันว่า บาดแผลแตกที่เย็บเสียหลายเข็มนี้ยังคงไม่หายดี

“ข้าเห็นเหตุการณ์ในวันนั้นเต็มสองตา” รีบเดินไปใกล้ๆ เขา จันทร์หล้าเหมือนเด็กที่เดินตามผู้ใหญ่ไม่ทัน “พวกเขาตั้งใจทำร้ายเจ้าท่าน พวกเขาร่วมมือกัน ฉวยโอกาส หมู่เฮาที่นั่งข้างสนามเห็นกันทุกคน”

คนด้านหน้าค่อยๆ หันมาถาม “แล้วนางกลัวพวกเขาไหม”

“บ่กลัว” หญิงสาวส่ายหน้า ตอบตามความรู้สึกจริงๆ “พวกเขาขี้ขลาดตาขาว คิดว่าหากเป็นตัวต่อตัว พวกเขาก็คงจะเอาแต่หดหัว”

ชายผู้สูงศักดิ์พยักหน้าขึ้นลงเป็นการชื่นชมเล็กๆ รอยยิ้มที่เจือบนใบหน้าออกเหลืองซีด ยิ้มส่งให้

“สมแล้วที่ก็จะมาเป็นเสมียนของข้า…รอบข้างข้ามีแต่อันตราย มีแต่คนปองร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก สูก็เห็น หากสูกลัว สูจะอยู่กับข้าบ่ทน เผลอๆ ก็อาจจะถูกลูกหลง”

“ข้าบ่กลัวหรอก ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนั้นมาก่อน”

“สูนี่ใจหาญกล้าเกินหญิงเสียจริง”

เจ้ารัชทายาทกล่าวเรียบๆ แต่สายตากลับพูดอะไรออกมามากกว่านั้น จันทร์หล้าไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดจะไม่รับรู้ความหมายของสารนั้น แต่นางประหม่า ไม่มั่นใจทั้งความรู้สึก ความเหมาะสม และที่สำคัญ…ฐานันดรศักดิ์ นางจึงทำทีหันไปกล่าวชื่นชมกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่ออกดอกบานสะพรั่ง ที่ปักชำเป็นพุ่มเป็นกออยู่ในแปลงสาธิตหลายร้อยแปลงแทน

“เจ้าอามชอบดอกกุหลาบ เคยคุยกันว่าบั้นปลายชีวิตของท่านอยากจะมีสวนเล็กๆ เอาไว้ปลูกดอกและจิบชาอังกฤษระหว่างนั่งรอบุตรหลานของท่านกลับมาเยี่ยมในแต่ละปี ท่านจะให้ข้าเป็นผู้ปลูกดอกไม้และเป็นผู้ดูแลหมั่นรดน้ำพรวนดิน ทุกๆ วันข้าจะต้องเก็บดอกไม้ไปเสียบแจกัน ตกแต่งเรือนให้หอมฟุ้ง”

“เจ้าอามท่านใจเย็น ชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้จนเต็มตำหนัก”

“ข้าเคยเล่าให้เจ้านางท่านฟัง ว่าแต่ก่อนครอบครัวของข้ารับจ้างปลูกดอกคำปู้จู้ หมู่เฮามีสวนริมร่องเหมืองเล็กๆ ที่เป็นมรดกของตา ทุกวัน อี่แม่ของข้าจะตื่นแต่เช้าไปตัดดอกคำปู้จู้ใส่กระสอบ แล้วจะเอาไปส่งแม่ค้าที่ตลาด ส่วนดอกไหนที่บ่งามก็จะคัดทิ้ง แล้วเอาไปขายให้เถ้าแก่ที่โฮงเลี้ยงหมู เจ้าท่านรู้ไหม หมูมันกินดอกไม้ได้ด้วยนะ”

“พวกเขาเอาไปผสมอาหารให้มันกินหรือ”

“ใช่ บาทเจ้า” จันทร์หล้ายิ้มพรายออกอย่างเหลือเชื่อเมื่อได้หวนนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น “แต่เสียดายที่ข้าบ่ชอบกลิ่นของมันเท่าไหร่นัก ก็เลยบ่เคยได้ไปช่วยอี่แม่เก็บดอกไม้เลยสักครั้ง หลังๆ รู้สึกผิด ก็เลยทดแทนโดยอาสาไปปลูกต้นกล้าดอกไม้ผู้เดียวที่สวนทั้งวัน ข้าเลยปลูกดอกไม้เป็น”

“ข้าบ่ได้ตั้งใจจะขัดเรื่องเล่าของสูหรอกนะ แต่ว่า…ดอกคำปู้จู้คือดอกแบบใด”

จันทร์หล้าลืมตัวแล้วรำพึงว่า อ้อ ใช่สินะ ว่าแล้วก็มองซ้ายมองขวา แล้วก็ชี้ไปที่ซุ้มดอกดาวเรือง

“นั่นไง ดอกคำปู้จู้”

ดอกหลาวเฮิง…เจ้าแกมเมืองถึงแก่บางอ้อ ก่อนจะไปหยิบเอากรรไกรมาตัดกิ่งก้านดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนที่กำลังบานชูช่อส่งกลิ่นหอมกรุ่นส่งให้

“งั้นก็เก็บเอาดอกกุหลาบไป อย่างน้อยมันก็หอมกว่าดอกคำปู้จู้ของสูใช่ไหม”

คนทั้งสองเดินซอกแซกช่วยกันชี้เลือกดอกกุหลาบดอกงามไปจนทั่วทั้งสวน ดอกไหนที่จันทร์หล้าชี้ว่างาม ดอกนั้นเจ้าชายหนุ่มก็จะตัดใส่ตะกร้าให้ หญิงสาวไม่ค่อยคุ้นตากับอิริยาบถที่ผ่อนคลายของเจ้าชายหนุ่มเท่าไร และใบหน้าโหดๆ ที่ก้มลงไปสูดดมกลิ่นดอกกุหลาบดอกนั้นดอกนี้ก็ช่างดูประหลาด แต่ทว่าช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พูดคุยกันโดยที่ไม่มีการขึ้นเสียง ซึ่งเมื่อเขาชี้ชวนนางให้ไปเดินตรงนั้นตรงนี้แล้ว หญิงสาวก็เดินถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบตามเขาไปต้อยๆ และก็คิดไปว่ายิ่งประหลาด

พระอาทิตย์ตกลงปลายแม่น้ำแม่ลาไม่ทันไร ไอหมอกก็ลงปกคลุมเหนือผิวน้ำก่อนจะค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาคลุมทั่วสวนดอกไม้

“นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว เจ้าท่านยังบ่หายดี ตากลมเย็นข้างนอกนานๆ เดี๋ยวแผลจะหายช้า” เมื่อได้ดอกไม้พอประมาณ จันทร์หล้าซึ่งยังห่วงบาดแผลที่ศีรษะของเขาจึงชวนเขากลับ “ข้าเองก็ต้องกลับไปดูแลหอเรือนให้เจ้านายท่าน วันนี้เจ้านายบ่อยู่เรือน”

“สูเป็นบุตรีบุญธรรมของเจ้าอามท่านแล้วบ่ใช่หรือ ไยถึงบ่เรียกท่านว่า เจ้าแม่ เหมือนคนอื่นๆ”

“เรียกเจ้าแม่บ่ได้ ข้ากลัวขี้กลากจะกินหัวเอา” หญิงสาวเผยยิ้ม “แต่ถึงจะบ่ได้เรียกท่านว่าแม่ ข้าก็รักท่านประหนึ่งแม่แท้ๆ ของข้า เจ้านางท่านใจดีมีเมตตากับข้ามาก ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับข้ามาจากโรงยาหลวง”

“ทำไมสูถึงได้ถูกพวกนั้นจับตัวไปไว้ที่เมืองหาง”

รอยยิ้มงามค่อยๆ เจือจางลง ความกระอักกระอ่วนเจือแฝงอยู่ในแววตา หากเป็นเมื่อก่อนจันทร์หล้าคงจะเปราะบางเกินกว่าจะกลับไปพูดถึงบทเศร้าบทนั้น แต่เพราะนางผ่านมันมาได้แล้วจากการเข้าบำบัดจิตกับท่านหมอ จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่นางจะโกหกเขา ที่สำคัญ เขาควรจะรู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกับนาง

“จริงๆ แล้ว ข้าหนีออกจากบ้าน” เสียงใจที่ไหวประหม่าดังจนอีกฝ่ายได้ยิน “…หมายใจจะเดินทางไปเมืองฝางเพื่อนั่งรถเข้าไปในตัวเมือง หวังไปตายเอาดาบหน้า”

“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

“พ่อข้าติดการพนัน ยามเงินทองร่อยหรอก็มักจะไปหยิบยืมคนอื่นมาเสมอ ที่หมู่บ้านข้ามีเศรษฐีเฒ่าเข้ามาทำปางไม้ให้ทางหลวง เงินทองเขามาก ร่ำรวยมหาศาล พ่อข้ามักเข้าไปหยิบยืมเงินออกมาเล่นการพนันแต่สุดท้ายก็หมดตัว เศรษฐีคนนั้นพอใจในตัวข้า เสนอให้พ่อแม่ยกข้าให้เขาเพื่อชดใช้หนี้สิน”

เจ้าแกมเมืองนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะฟังหญิงสาวเล่าปูมหลังชีวิต

“แล้วใครเป็นคนพาสูหนี”

“เขาเป็นคนจากเมืองบางกอกเข้ามาสอนหนังสือให้คนในหมู่บ้าน เขาเป็นคนดี ได้ยินเรื่องราวของข้าแล้วเขาก็อาสาพาข้าหนี”

“นายกอง…”

จันทร์หล้าสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเขาเอ่ยนามนั้น มาถึงบทนี้ เจ้าชายหนุ่มก็จึงพอเดาได้ว่าชายคนนั้นจะต้องเป็นคนรักของนาง “แล้วยังไงต่อ”

“พวกข้าเดินหลงเข้าไปในแนวตะเข็บชายแดน โชคร้ายที่เผอิญไปเจอพวกมันเข้า”

“ถ้างั้น บาดแผลที่ศีรษะของสูที่ข้าเห็นตอนนั้น พวกมันเป็นคนทำ”

จันทร์หล้าพยักหน้าสีเจื่อนเศร้า “ใช่ พวกมันเอาด้ามปืนฟาดหัวข้าจนเกือบเละ และสังหารชายผู้นั้นอย่างโหดเหี้ยม แล้วก็จับข้าไปขังไว้ที่ซ่อง”

เจ้าชายหนุ่มสลดนิ่งลงไป คล้ายว่าพอจะเดาเรื่องราวหลังจากนั้นออก ลำแขนแกร่งจึงดึงร่างบางเข้าไปกอดแนบอกอย่างเอื้ออาทร ดวงตาที่เคยมองนางอย่างก้าวร้าวหรี่แสงลงด้วยความรู้สึกผิดอย่างมหันต์ เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตอกย้ำความทุกข์ระทมของนาง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นต้นเรื่อง แต่เขาก็เป็นปลายเหตุ

ฝ่ามืออุ่นยกลูบหัวเพื่อปลอบประโลม กระชับวงกอดให้แนบแน่นและอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ในสำนึกแวบหนึ่งที่เขานึกคิดขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้ทอดทิ้งนางในคืนวันนั้น แม้นางจะทำร้ายเขาจนเลือดตกยางออก บางสิ่งบางอย่างบอกเขาในตอนนั้นว่านางกำลังใกล้ตายอยู่เต็มที

“ข้าโชคดีที่ป่วยเป็นไข้ป่าเสียก่อน พวกมันจึงยังบ่ทันได้รังแก แล้วก็มีใครคนหนึ่งที่ก็เผอิญต้องการคนป่วยอย่างข้า แม้จะบ่ได้ประทับใจกันเลยก็ตาม”

“จะซ้ำเติมกันหรือไง” เจ้าชายหนุ่มทำเป็นเสียงเข้มหากแต่ไม่คลายวงกอด “บอกแล้วไงว่าขออภัย”

“ขอบคุณเจ้าท่านที่ช่วยชีวิตข้า”

นางพูดเบาๆ พร้อมกับใจที่เต้นตึกตักระหว่างที่ตัวแข็งทื่ออยู่ในวงกอดเขา รู้สึกคล้ายๆ ว่าหัวใจของตนจะเผลอเต้นตรงจังหวะกับเขาเสียอย่างนั้น และเมื่อจะขยับตัวออกจากอ้อมอก หากแต่เจ้าแกมเมืองกลับออกแรงกอดนางไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

“เจ้าท่าน…”

“ช่วยอยู่นิ่งๆ แบบนี้อีกสักครู่เถิด”

พรหมลิขิตใดหนอขีดเส้นทางให้คนทั้งสองต้องพบเจอกันผิดที่ผิดเวลา ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยวาจา ก่อนจะกลับมาเห็นอกเห็นใจกันในท้ายที่สุด เส้นด้ายแดงเส้นใดแผลงฤทธิ์ ให้ใจที่ด้านชาของคนทั้งสอง ค่อยๆ หลอมละลายลง จนเห็นใจจริงของกันและกัน

ท้ายที่สุดเจ้าแกมเมืองก็ค่อยๆ คลายอ้อมกอดนั้นออกด้วยท่าทีประดักประเดิด เก้ๆ กังๆ

“พรุ่งนี้ สูมาหาข้าที่หอหน้าได้ไหม มาอยู่ดูแลตอนหมอมาล้างแผลข้าที”

“แล้วแหม่มหลุยซ์ล่ะบาทเจ้า…”

“หล่อนบ่ได้อยู่ที่นั่น” เขารีบอธิบาย “เจ้าอามเคยจะพาหล่อนให้มารับใช้ แต่ข้าปฏิเสธไป เพราะบ่ต้องการให้มีผู้หญิงนางใดอยู่ที่หอหน้า”

“แต่ข้าก็เป็นผู้หญิงนะ”

“แต่สูเป็นเสมียนของข้า อีกอย่าง ข้าบ่เคยมองสูว่าสูเป็นผู้หญิงเลยสักนิด”

คำพูดนั้นทำเอาจันทร์หล้าตาโตด้วยความแง่งอน นางหันมาทำหน้าพองด้วยความไม่พอใจ

“วันนั้นที่สโมสรสูวิ่งไวเหมือนเสือ แถมยังกระโดดสูงหยั่งกะวอก บ่มีผู้หญิงที่ไหนหรอกที่เขาจะกระโดดโลดเต้นเหมือนชายแบบนั้นได้”

“ท่านเห็นตอนข้าแข่งกระโดดไกลด้วยหรือ”

“สูอยู่ในสายตาของข้าตลอด” เขาเผยความจริง

 



Don`t copy text!