รักในรอยน้ำตา บทที่ 17 : โรงพยาบาล

รักในรอยน้ำตา บทที่ 17 : โรงพยาบาล

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

รินรดาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปสอนพิเศษที่สถาบัน ขณะที่น้ำฟ้ายังคงหลับสนิทอยู่บนที่นอนเหมือนเดิม ทันทีที่รินรดาเดินลงมาชั้นล่าง กลิ่นหอมของข้าวต้มก็โชยมาแตะจมูกทำให้เธอเดินตามกลิ่นด้วยความหิว

“ข้าวต้มทรงเครื่องเหรอคะน้าอ้อย”

“ใช่แล้วจ้ะ ข้าวต้มทรงเครื่องโบราณน่ะ”

“เห็นข้าวต้มแบบนี้แล้วนึกถึงแม่เลยนะคะ เมื่อก่อนแม่ทำข้าวต้มแบบนี้ขายทุกวัน หนูก็จะได้กินข้าวต้มนี้ก่อนไปโรงเรียนทุกเช้า ระรินโชคดีจังเลยค่ะที่น้าอ้อยมาอยู่ด้วย ขืนน้าอ้อยทำให้กินแบบนี้ทุกวัน หนูได้น้ำหนักขึ้นแน่เลยค่ะ”

“จ้าทำเป็นปากหวาน นี่สูตรของแม่เรานั่นแหละ เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” พรพรรณถามขึ้นเมื่อเห็นรินรดาตักข้าวต้มเข้าปาก

“โอ๊ย ร้อนค่ะน้าอ้อย”

“ตายแล้วระริน ข้าวต้มกำลังร้อนๆ ทำไมไม่เป่าก่อนล่ะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้” คราวนี้รินรดาเป่าข้าวต้มก่อนจะเข้าปากอีกครั้ง

“แต่ข้าวต้มของน้าอ้อยอร่อยจริงๆ นะคะ”

“อร่อยก็กินเยอะๆ วันนี้น้าทำเป็นหม้อเลย เผื่อน้ำฟ้า และเผื่อเจตต์ด้วย”

“เผื่อพี่เจตต์ด้วยเหรอคะ”

“ก็ใช่น่ะสิ เมื่อวานเขายังอุ้มลูกเรามาส่งถึงบ้าน อีกอย่างบ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้มีอะไรจะได้ช่วยดูแลกันได้ ดีออกจะตาย”

“ค่ะน้าอ้อย ถ้าอย่างงั้นหนูเอาข้าวต้มไปกินที่ทำงานได้ไหมคะ”

“ได้สิ เดี๋ยวน้าตักไปเผื่อหนูอรด้วย จะได้กินด้วยกัน”

“ขอบคุณค่ะ”

ขณะที่รินรดากำลังนั่งกินข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย พรพรรณอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย

“นี่ระรินรู้ไหม เมื่อคืนนี้สามีเราไม่ได้กลับมาบ้าน รู้หรือเปล่าว่าหายไปไหน” หญิงสาวชะงักไปนิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นน้าและพยายามตอบเลี่ยง

“คงงานยุ่งมั้งคะ”

“ยุ่งเหรอ งานอะไรถึงยุ่งได้ทั้งวันทั้งคืน จนบ้านช่องไม่กลับ นี่น้าถามจริงๆ เราสองคนมีเรื่องทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า เมื่อคืนน้าเห็นนะ เราน่ะตาแดงๆ ตอนกลับมาถึงบ้าน แล้วตอนดึกๆ น้าก็แอบเห็นเรากอดยัยหนูร้องไห้อีก ตกลงเรากับต้นมีเรื่องทะเลาะกันใช่ไหม”

สิ่งที่เธอพยายามเก็บงำจากน้าสาว หากถูกอีกฝ่ายเห็นเข้าจนได้ ทำให้รินรดาจำต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง และทันทีที่เล่าจบ พรพรรณก็ตบเข่าฉาดใหญ่

“น้าว่าแล้วมันดูแปลกๆ ไม่แปลกใจเลย ที่ได้ยินว่าไอ้ต้นมีผู้หญิงอีกคน”

“น้าอ้อยพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ น้าไปรู้อะไรมาเหรอคะ”

“นี่ระริน หนูก็มัวแต่ทำงานกับเลี้ยงลูก เลยไม่ได้สังเกตเลยสินะ ว่าผัวเราน่ะมันดูแปลกๆ มาสักพักแล้ว ขนาดน้าเพิ่งมาอยู่ได้แค่สามเดือน น้ายังสังเกตเลย” รินรดานิ่งไป ในใจสั่นหวิว

“จะบอกอะไรให้ วันดีคืนดีน้าก็ได้ยินไอ้ต้นแอบโทรศัพท์คุยกับใครก็ไม่รู้ตั้งนานสองนาน คำพูดคำจาหวานหยาดเยิ้ม ที่รักคะ ที่รักขา ตอนแรกน้าก็นึกว่าเขาคุยกับหนู แต่บางวันตอนที่หนูกำลังเลี้ยงลูกอยู่ในบ้าน ไอ้ต้นก็แอบมาคุยโทรศัพท์หลังบ้าน น้าอยู่ในครัวเลยได้ยินเข้า น้าก็เลยรู้ว่าคนที่ไอ้ต้นคุยด้วย ไม่ใช่ระรินแน่นอน มันต้องมีผู้หญิงอีกคน”

“น้าอ้อย แล้วทำไมน้าถึงไม่บอกหนูล่ะคะ”

“บอกให้มันได้อะไรขึ้นมา น้าแค่สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ แต่น้าไม่มีหลักฐาน ขืนน้าบอกไป ดีไม่ดี นอกจากหนูจะไม่เชื่อน้าแล้ว อาจคิดว่าน้าใส่ความผัวเราก็ได้ น้าไม่อยากยุ่งเรื่องผัวเมียหรอก พอเขาดีกันเราได้กินอาหารหมากันพอดี แต่ไม่เป็นไรนะระริน ดีแล้วละที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ระรินจะได้ตาสว่าง นี่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปแอบคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ผู้ชายเลวๆ แบบนี้ปล่อยมันไปเถอะ เพราะถึงยังไงหนูไม่ได้โดดเดี่ยวคนเดียวเสียหน่อย หนูยังมีน้า ยังมีน้ำฟ้า ยังมีเพื่อนที่รักและหวังดีกับหนู หนูไม่ได้สู้คนเดียวนะระริน”

“ขอบคุณค่ะน้าอ้อย”

พรพรรณโอบกอดหลานสาว แม้เธอจะเคืองแค้นที่สรวิชญ์บังอาจทำให้รินรดาต้องร้องไห้เสียใจ แต่เธอจะคอยอยู่เคียงข้างไม่ทิ้งไปไหนแน่นอน

“แล้วนี่จะทำยังไงกันต่อล่ะ”

“ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะน้าอ้อย หนูก็พยายามโทรหาพี่ต้นแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้เลย โทรไปก็ไม่รับสาย แถมตอนนี้ยังปิดเครื่องอีก ขนาดเฟซบุ๊กก็ปิดบัญชีไปแล้ว แม้แต่ไลน์ก็ยังบล็อก หนูเลยไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าจะติดต่อได้ทางไหน”

“ที่ทำงานไงล่ะ น้าว่ายังไงไอ้หมอนี่มันก็ต้องไปทำงาน”

“สงสัยหนูต้องลองไปที่ทำงานดูสักครั้ง”

“นั่นสิ จะไปเมื่อไหร่บอกน้านะ น้าจะไปเป็นเพื่อน แล้วนี่ก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวไม่สวยเอานะ เรื่องวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ค่อยคิดอ่านแก้ไขกันไป เอาแค่ว่าตอนนี้หนูจะต้องทำตัวให้สวย จะร้องไห้ตาปูดบวมไปสอนเด็กไม่ได้นะลูก”

“ค่ะน้าอ้อย”

พรพรรณยื่นกระดาษทิชชูให้หญิงสาว ก่อนที่เธอจะไปตักข้าวต้มใส่ถุง สำหรับให้หลานสาวไปกินตอนกลางวันและเผื่อกนกอร

พรพรรณยืนมองตามรถรินรดาขับออกจากบ้านไปจนลับตา เธอได้แต่ถอนใจ สงสารหลานสาวจับใจ เธอรู้ดีว่าสรวิชญ์คือผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่รินรดารัก ในเมื่อเขามาทรยศหักหลังกันแบบนี้ ภายในใจของรินรดาคงจะเจ็บปวดร้าวรานเกินกว่าจะรับได้ เหมือนครั้งหนึ่งที่พี่สาวของตนเธอเคยเจอมา จนถึงเดี๋ยวนี้พรพรรณยังเกลียดอดีตพี่เขยยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน และสรวิชญ์ก็จะเป็นรายต่อไป

 

พรพรรณเดินไปตักข้าวต้มถ้วยหนึ่ง ก่อนจะเดินไปกดออดที่บ้านข้างๆ และทันทีที่เจตต์เดินมาเปิดประตู เธอก็ยื่นชามข้าวต้มในมือให้

“เมื่อเช้าน้าทำข้าวต้มทรงเครื่องไว้เยอะ เลยตักแบ่งมาให้น่ะ ว่าแต่พ่อเจตต์อยู่บ้านคนเดียวเหรอ แล้วแฟนล่ะ” พรพรรณถามพลางชะเง้อมองหาคนในบ้าน

“ผมอยู่คนเดียวครับ ภรรยาผมเสียชีวิตไปแล้วครับ”

“ตายแล้ว น้าขอโทษนะ น้าไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วง”

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาปีกว่าแล้วละครับ เธอป่วยตาย ตอนนี้ผมเลยอยู่คนเดียว บ้านเลยมีสภาพอย่างที่เห็นน่ะครับ”

เขายิ้มเก้อ เมื่อมองสภาพสวนในยามนี้มีแต่สีน้ำตาลของต้นไม้และใบไม้ที่แห้งตายคาต้น ขณะที่หญ้าเริ่มยาวขึ้นรก

“ชีวิตคนมันก็อย่างนี้แหละ ไม่จากเป็นก็จากตายเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เอาเถอะๆ กินข้าวต้มให้อร่อยนะ เดี๋ยวน้าไปดูยัยหนูก่อน”

“ขอบคุณครับน้าอ้อย”

พรพรรณเดินจากไปแล้ว ขณะที่เจตต์เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชีวิตของคนเราไม่แน่นอน คนตายก็ตายไป แต่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป แล้วจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขให้ได้

หลังจากเจตต์กินข้าวต้มหมดถ้วย เขานำอุปกรณ์ทำสวน มาจัดการถางหญ้าและรื้อต้นไม้ที่แห้งตายออกให้หมด ชายหนุ่มเลือกจะลงมือทำด้วยตัวเอง เพราะต้นไม้พวกนี้ ภรรยาของเขาเป็นคนเลือกและลงมือปลูกด้วยตัวเองทั้งหมด

 

ระหว่างที่เจตต์กำลังทำสวนเพลินๆ จู่ๆ เสียงร้องเรียกเขาก็ดังมาจากบ้านข้างๆ ก่อนที่ร่างของพรพรรณจะปรากฏอยู่หน้ารั้วบ้านด้วยสีหน้าแตกตื่นวิตกกังวล

“เจตต์ช่วยด้วย ช่วยน้าด้วย”

“มีอะไรเหรอครับน้าอ้อย”

“ช่วยพายัยหนูไปโรงพยาบาลที ไม่รู้น้ำฟ้าเป็นอะไร น้าปลุกยังไงก็ไม่ตื่น แถมยังมีไข้ขึ้นสูงอีก น้าไม่รู้จะทำยังไง โทรหาระรินก็ไม่รับสายสงสัยกำลังสอนหนังสืออยู่”

“น้าอ้อยไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมพาน้ำฟ้าไปโรงพยาบาลเองครับ”

เขารีบวางอุปกรณ์ในมือ ก่อนจะรีบขับรถไปจอดหน้าบ้านของรินรดา แล้ววิ่งตื๋อไปยังห้องนอนของน้ำฟ้า ทันทีที่ถึงตัว เจตต์ก็รีบอุ้มร่างเล็กมาขึ้นรถโดย มีพรพรรณขึ้นมาประคองด้วยความร้อนใจ ก่อนที่เขาจะรีบขับรถพาน้ำฟ้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที

 

หลังจากรินรดาสอนช่วงเช้าเสร็จ ทันทีที่เธอเปิดมือถือดู เธอเห็นหลายสายไม่ได้รับและข้อความจากน้าสาวขณะที่เธอกำลังสอนอยู่ และทันทีที่เธออ่านข้อความจึงได้รู้ว่าลูกป่วยเข้าโรงพยาบาล หญิงสาวก็รีบออกไปหาน้ำฟ้าด้วยความเป็นห่วง

“อร เดี๋ยวฉันไปโรงพยาบาลก่อนนะ”

“อะไรแก ใครเป็นอะไร”

“น้ำฟ้า น้าอรบอกว่าลูกเป็นไข้ไม่สบาย ตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล”

“อ้าวเหรอ งั้นแกไม่ต้องห่วง แกเหลือสอนช่วงบ่ายใช่ไหม เดี๋ยวฉันหาคนมาสอนแทนให้แกเอง และถ้าเรียบร้อย เดี๋ยวฉันตามไปหาหลาน ว่าแต่…ต้องสอนตรงไหนบ้างนะ”

รินรดาบอกกนกอรคร่าวๆ ก่อนที่เธอจะรีบผลุนผลันออกไปจากสถาบันมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล

 

ทันทีที่เธอเดินทางมาถึงโรงพยาบาล รินรดาก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยตามที่พรพรรณบอก ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยอาการเหนื่อยหอบ

“น้าอ้อย น้ำฟ้าเป็นยังไงบ้างคะ”

รินรดารีบตรงไปยังเตียงคนไข้ซึ่งตอนนี้มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง ขณะที่ร่างเล็กกำลังนอนหลับสนิทบนเตียง โดยมีพรพรรณคอยเช็ดตัวอยู่ใกล้ๆ

“เป็นไข้หวัดใหญ่น่ะสิ โชคดีนะได้เจตต์ช่วยพามาโรงพยาบาลได้ทัน ไม่งั้นหนูน้ำฟ้าจะอาการเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก นอนให้น้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลสักสองสามวัน ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

“โธ่…น้ำฟ้าลูกแม่” รินรดาหอมแก้มลูกสาวแผ่วเบา ก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาขึ้น ขณะที่มือน้อยก็ไขว่คว้าหาแม่

“แม่ แม่จ๋า”

“แม่อยู่นี่จ้ะ ไม่เป็นไรแล้วนะลูก เดี๋ยวก็หายแล้วละ” รินรดากอดลูกสาวไว้แนบอกก่อนที่น้ำฟ้าจะค่อยๆ ผล็อยหลับไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยา

“แล้วพี่เจตต์ไปไหนล่ะคะ”

“เห็นว่าลงไปโรงอาหารน่ะ เดี๋ยวก็คงมา”

 

รินรดานั่งเฝ้าไข้น้ำฟ้าอยู่ไม่นานนัก เจตต์ก็เดินกลับเข้ามาในห้องโดยหิ้วของกินพะรุงพะรัง พร้อมกับกนกอรที่เดินตามเข้ามาติดๆ

“สวัสดีค่ะน้าอ้อย”

“สวัสดีจ้าหนูอร”

“ใครสอนแทนล่ะ”

“น้องก้อยน่ะ พอดีน้องก้อยสอนแค่ช่วงเช้า เลยให้น้องก้อยสอนช่วงบ่ายแทนแกน่ะสิ เรื่องสอนพิเศษไม่ต้องเป็นห่วงหรอก น้องก้อยก็สอนเก่งไม่แพ้แกเลยละ เรานี่รีบมาสุดๆ เลยนะ ห่วงหนูน้ำฟ้าเหมือนกัน” กนกอรพูดพลางเดินไปที่เตียง เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยกำลังหลับอยู่ เธอจึงเดินมานั่งที่โซฟารับแขกข้างๆ เจตต์

“แล้วพี่เจตต์ไปยังไงมายังไงคะเนี่ย ไม่ได้เจอกันนาน พี่เจตต์ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะคะ”

“ขอบคุณครับ พี่ก็ยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคืออายุมากขึ้น”

“แหม พวกเราก็อายุมากขึ้นกันทุกคนแหละจริงไหมคะ” กนกอรสัพยอก เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“นี่ระริน เรามีเรื่องอยากถาม”

“อะไรเหรอ ถามมาสิ”

“แกเห็นรูปหรือยัง”

“รูป…รูปอะไรเหรออร” รินรดาเลิกคิ้วมองเพื่อนรักด้วยความแปลกใจ

“แสดงว่า…แกยังไม่เห็นสินะ”

พูดจบ กนกอรก็เปิดภาพแอบถ่ายจาก Internet ส่งให้เธอดู ทันทีที่รินรดาเห็นรูปภาพในมือถือ เธอก็นิ่งไปก่อนจะทรุดตัวนั่งข้างกนกอร ทำให้พรพรรณที่เห็นอาการของหลานสาวถึงกับถามขึ้นด้วยความสงสัย

“มีอะไรเหรอหนูอร ไหนให้น้าดูหน่อยสิ”

ทันทีที่พรพรรณเห็นภาพถ่ายคู่รักคู่หนึ่งกำลังเดินจับมือส่งยิ้มหวานให้กันและกัน แต่ที่สะดุดตาคงเป็นผู้ชายในภาพดันมีใบหน้าเหมือนสรวิชญ์ราวกับเป็นคนเดียวกัน โดยพาดหัวข่าวได้ระบุว่า…

ลูกสาวนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย กำลังเตรียมเข้าวิวาห์กับแฟนหนุ่มรุ่นพี่

“ตายแล้ว อะไรกันเนี่ย นี่มันไอ้ต้นนี่นา ผู้หญิงคนนี้เหรอที่ระรินเจอเมื่อวาน” พรพรรณอุทานด้วยความตกใจ ก่อนที่เสียงแหบพร่าของหลานสาวจะตอบกลับมา

“ค่ะ น้าอ้อย”

“อะไรนะแก แกได้เจอกับผู้หญิงคนนี้แล้วเหรอ หมายความว่า…พี่ต้นมีเมียน้อยเหรอแก นี่แกรู้เรื่องพวกนี้แล้วน่ะสิ” รินรดาพยักหน้าลงเป็นการรยอมรับ ยิ่งทำให้กนกอรและเจตต์ที่นั่งฟังอยู่ต่างมีสีหน้าวิตกกังวล ก่อนที่พรพรรณจะเป็นคนเล่าเรื่องให้กนกอรและเจตต์ฟังแทนรินรดาที่นั่งหน้าเศร้าน้ำตาซึม

“ฉันไม่แปลกใจเลย ทำไมพี่ต้นเลือกเมียน้อยนี่”

“ทำไมเหรอหนูอร”

“ดูสิคะน้าอ้อย ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวนักธุรกิจดัง พ่อก็เป็นเจ้าของบริษัทที่พี่ต้นทำงานอยู่ พี่ต้นคงอยากเป็นเขยเจ้าของบริษัทจนตัวสั่น คงอยากเป็นหนูตกถังข้าวสารน่ะค่ะ เพราะอยู่กับระรินต้องช่วยกันทำงานหาเงิน คงสู้ลูกสาวเจ้าของบริษัทที่มีเงินทองรวยล้นฟ้าไม่ได้หรอก”

คำพูดพลั้งปากของกนกอร ทำให้เจตต์สะกิดเตือน ก่อนจะรีบพูดแก้เก้อ

“ระริน แกอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ชมอีเมียน้อย แต่ฉันคิดว่าพี่ต้นมันน่าจะอยากไปเกาะผู้หญิงรวยๆ มากกว่าที่จะยอมทำงานเหนื่อยยากแบบนี้ ขนาดเมื่อก่อนก็ยังเปลี่ยนงานอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่าเรื่องมีเมียน้อยนี่ เลวจริงๆ ระรินออกจะดีแสนดีขนาดนี้ ยังกล้ามีเมียน้อยได้ยังไง ดีนะที่คนที่เจอเป็นแก ถ้าหากฉันเจอนะ สองคนนี่ไม่ได้ยิ้มหน้าระรื่นแบบนี้หรอก แม่จะฟาดกลางห้างให้อายหัวซุกหัวซุนเลย แกนะแก น่าจะเล่าให้ฉันฟัง ปล่อยให้ฉันรู้จากข่าวได้ไงเนี่ย”

“ถ้าฉันบอกแก เรื่องก็คงจะไปกันใหญ่ อีกอย่างฉันก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อวานเหมือนกัน ถ้าเกิดไม่บังเอิญเจอกัน ฉันก็ยังคงถูกสวมเขาต่อไป ฉันนี่มันโง่จริงๆ เลยนะแก”

“ระริน แกไม่ได้โง่หรอก แกแค่แสนดีและไว้ใจคนอื่นมากเกินไป แล้วนี่แกจะเอายังไงกับพี่ต้น แกยังอยากคืนดีอีกไหม”

“ต่อให้ฉันอยากคืนดีเพื่อรักษาครอบครัวไว้ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วละ เพราะพี่ต้นไม่ได้เลือกฉัน เขาเลือกผู้หญิงคนใหม่” น้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่สายตายังคงมองไปที่รูปของทั้งสองในมือถือ

“โธ่…ระริน”

กนกอรดึงเพื่อนรักมากอดปลอบใจ เธอไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตรินรดาจะต้องมาเจอเรื่องร้ายในช่วงเวลาแบบนี้

“อย่าหาว่าฉันเผือกเลยนะ อย่าลืมสิ แกเคยเสียใจเพราะเรื่องของพี่ต้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ในเมื่อพี่ต้นทำผิดกับแกอีก ครั้งนี้แกไม่ควรให้อภัยแล้วนะ”

“ฉันก็คิดเหมือนกันอร แต่ฉันสงสารลูก น้ำฟ้าจะทำยังไงถ้าวันหนึ่งรู้ว่า พ่อของตัวเองเลือกไปอยู่กับเมียน้อยแทนที่จะเป็นแม่ของลูก”

“ระริน น้าว่า…หนูน้ำฟ้าจะต้องเข้าใจ ว่าสิ่งที่แม่เลือก คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว ถ้าน้ำฟ้าโตขึ้นก็จะเป็นเด็กที่เข้มแข็งเหมือนกับระรินของน้า หนูก็แค่อธิบายเหตุผลให้ลูกฟัง ลูกก็จะเข้าใจ เหมือนอย่างที่น้าเคยเลี้ยงระรินมา จนถึงวันนี้หนูเป็นเด็กที่เข้มแข็งมาก เป็นความภาคภูมิใจของน้า และน้าก็เชื่อว่าน้ำฟ้าจะเข้มแข็งเหมือนอย่างระรินเช่นกัน”

“ค่ะน้าอ้อย”

“แล้วนี่ตั้งแต่เกิดเรื่อง แกกับพี่ต้นได้คุยกันหรือยังว่าตกลงจะเอายังไง

รินรดาส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้น “จะให้คุยกันตอนไหน ตั้งแต่เกิดเรื่อง ฉันยังติดต่อพี่ต้นไม่ได้เลย”

“ขี้ขลาด เห็นแก่ตัว มีเมียน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมเคลียร์ให้จบกับเมียหลวง นี่ถ้าพี่แดนทำแบบพี่ต้นนะ ฉันไม่ปล่อยให้มันยิ้มหน้าระรื่นหรอก ฉันจะเฉือนไอ้นั่นขว้างทิ้งให้เป็ดมันกินเสียเลย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด” คำพูดของกนกอรทำให้รินรดาหลุดยิ้มมาได้เป็นครั้งแรก

“หนูอรก็พูดเกินไป คุณแดนเขาเป็นคนดี รักครอบครัว แค่ไอ้ต้นคนเดียวที่เลว ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายบนโลกนี้จะต้องเลวเหมือนกันไปหมด”

“ใช่…พี่เห็นด้วยกับน้าอ้อย อย่างน้อยก็เว้นพี่ไว้สักคน พี่เป็นคนรักเดียวใจเดียวนะ ต่อให้ไม่มีใครเห็น พี่ก็ยังรักไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ”

“แหม พี่เจตต์พูดอย่างกับว่ามีผู้หญิงในใจที่แอบรักอยู่ใช่ไหมคะ”

“มีครับ…แต่คงต้องรอเวลา”

“เวลาน่ะรอได้ค่ะ แต่อย่าปล่อยให้รอจนแก่นะคะ ถ้ามีโอกาสบอกก็ต้องรีบบอก ก่อนจะไม่มีเวลาให้บอก ส่วนแก…ฉันว่าแกต้องหาทางคุยกับพี่ต้นให้รู้เรื่อง จะมาคาราคาซังแบบนี้ไม่ได้”

“น้าว่าจะไปเป็นเพื่อนระรินที่ทำงานของต้น น้าคิดว่ายังไงต้นก็ต้องไปทำงานแน่ๆ”

“แต่อรกลับคิดต่างค่ะ แทนที่เราจะไปหาพี่ต้นที่ทำงาน ทำไมเราไม่บุกไปที่บ้านของผู้หญิงล่ะคะ”

“วิธีนี้ดีเลย น้าเห็นด้วยกับหนูอร”

“แต่วิธีนี้จะดีเหรอแก เราก็ไม่รู้ว่าบ้านเขาอยู่ไหน อีกอย่างคุยกับทางผู้หญิงมันจะได้เรื่องเหรอ ฉันควรคุยกับพี่ต้นโดยตรงมากกว่า”

“ฉันก็อยากให้แกคุยกับพี่ต้นโดยตรง แต่แกเชื่อฉันไหม ยิ่งเขามีภาพหลุดออกสื่อกันขนาดนี้ คงพาไปเปิดตัวกับครอบครัวถึงไหนต่อไหนแล้ว อาจจะโชคดีเจอพี่ต้นที่บ้านของอีเมียน้อยนี่แหละ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ดีกว่าปล่อยให้แกคุยกับพี่ต้นสองคน แล้วฟังคำแถหลอกลวงไปวันๆ หรือไม่ก็แกล้งมารยาบีบน้ำตาเล่าความเท็จสุดท้ายแกก็ใจอ่อน เลิกกันไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นคราวนี้ฉันจะไปด้วย”

“น้าไปด้วย” พรพรรณอาสาด้วยความแค้นใจ

“น้าอ้อยไม่ต้องค่ะ น้าอ้อยต้องดูแลน้ำฟ้านะคะ เรื่องนี้แค่อรช่วยได้สบายมาก” รินรดามองหน้าคนทั้งสามด้วยความรู้สึกบรรยายไม่ถูก แต่ลึกๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกันว่า การที่เธอไปคุยกับทางผู้หญิง น่าจะจบเรื่องต่างๆ ได้เร็วกว่า

“ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วย บอกได้นะครับ” เจตต์เสนอตัวอีกคน

“ขอบคุณค่ะพี่เจตต์ แต่เรื่องนี้ระรินจัดการได้ค่ะ”

“แน่ใจเหรอว่าจัดการได้น่ะ น้ากลัวเราจะใจอ่อนจริงๆ เลย” พรพรรณถามด้วยความเป็นห่วง

“แน่ใจค่ะน้าอ้อย ถึงหนูจะเสียใจมากแค่ไหน แต่หนูเจ็บแล้วจำ จะไม่ยอมโง่เป็นควายให้พี่ต้นหลอกอีกค่ะ ต่อให้หนูต้องร้องไห้ หนูก็จะเลิกกับพี่ต้น ให้มันรู้ไป หนูจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา หนูจะหย่าค่ะ” น้ำเสียงเข้มแข็งมุ่งมั่นของเธอ ทำให้กนกอรปรบมือด้วยความดีใจ

“ดีมาก ต้องเข้มแข็งแบบนี้แหละ ถึงสมกับเป็นระรินที่ฉันรู้จักหน่อย”

“ว่าแต่…แล้วจะไปที่นั่นยังไง”

“จะไปยากอะไรล่ะ รูปบนโซเชียลหราขนาดนี้ คงหาที่อยู่ได้ไม่ยากหรอก เดี๋ยวฉันให้เพื่อนสืบให้ แป๊บเดียวรู้เรื่อง” กนกอรมองภาพข่าวในโซเชียลอย่างหมายมั่นปั้นมือ

 



Don`t copy text!