เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “ค่ายเชลย”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “ค่ายเชลย”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ตำรวจเกือบสิบนายมาที่บ้านแล้วยั้งแค่หน้าตึก ผู้เป็นหัวหน้าพร้อมตำรวจติดตามหนึ่งนายเท่านั้นเดินเข้าไป วิลเลียมกำลังคลี่ผ้าเช็ดปากวางบนตักเพื่อเริ่มมื้อเช้า ครั้นเห็นผู้มาเยือนจึงลุกขึ้นต้อนรับ ทักทายอย่างแขกคุ้นเคยกันทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา

“มากันแล้วเหรอ” คำปรารภบอกให้รู้ว่าฝ่ายเจ้าบ้านรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนเองต่อไป จึง ‘คอย’ อย่างใจเย็น “ผมกำลังจะรับประทานมื้อเช้า ไม่ทราบว่าพอมีเวลาให้ผมสักหน่อยไหม”

ฝ่ายตำรวจอึ้งไปไม่คิดว่าจะเจออาการสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านหวาดหวั่นเช่นนี้ เพราะหลายครอบครัวที่เขาพาลูกน้องบุกเข้าไป คนทั้งหลายในบ้านจะกรีดร้องคร่ำครวญขอความเมตตา

“เชิญตามสบายครับ อันที่จริงแล้ว…ผมแค่มาเยี่ยมและบอกนายห้างว่า จากนี้ไปผมจะมาดู ๆ แล ๆ”

“มาดู ๆ แล ๆ นี่…ช่วยกันหลายคนใช่ไหม ผลัดเปลี่ยนเวรกันมาคอยดูแล” นายห้างวิลเลียมย้อน มุ่ยจัดจานวางบนโต๊ะอีกสองชุด ยิ้มจาง ๆ วิลเลียมเอ่ยชวน ‘แขกในเครื่องแบบ’

“เชิญรับมื้อเช้าด้วยกัน”

“ไม่เป็นไรมิได้ครับ เชิญนายห้างกับแม่เลี้ยงตามสบาย ผมจะออกไปคอยข้างนอก” เขาเดินออกไปได้สองก้าวก็ชะงัก หันกลับมาถามสิ่งที่คาใจ “นายห้างกินข้าวกับแม่เลี้ยงแค่สองคนหรือครับ คนอื่น ๆ ไม่ลงมากินด้วยกันหรือครับ”

“คุณก็เห็นว่าเราอยู่กันแค่สองคน” นายห้างวิลเลียมตอบนิ่ง แววตาที่ส่งไปอีกฝ่ายเล็งชั้นเชิงกันอยู่ในที “บ้านนี้เหลือแค่ฉันกับเมียอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น”

“แต่เท่าที่ผมทราบ นายห้างมีลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย…”

“คุณจะทราบมาอย่างไรผมไม่รู้ แต่เท่าที่ตาคุณเห็นก็มีอยู่เท่านี้ คุณจะค้นดูด้วยตนเองก็ได้ แต่ถ้าไม่พบใครนอกจากผมและภรรยา ผมคิดว่าคุณควรกลับไปพิจารณาผู้ทำหน้าที่ ‘ส่งข่าว’ ให้คุณ ก่อนที่คุณจะเสียเวลามานั่งเฝ้าผมทั้งวันโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะคุณก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้หนีไปไหน แต่ผม ‘คอย’ พวกคุณทีเดียว”

นายห้างวิลเลียมเห็นร่างตำรวจนายนั้นสั่นนิด ๆ เขาคงชินกับการที่มีคนวิงวอนร้องขอความเมตตา ครั้นมีผู้ที่ตอกกลับโดยไม่เห็นว่าเขาเหนือกว่า เขาจึงทำตัวไม่ถูก ข่มความโกรธอยู่ข้างใน

“คุณและลูกน้องคงทำงานหนักมาหลายชั่วโมง กินอะไรเสียหน่อย พอท้องอิ่ม อารมณ์เย็น สมองจะได้ปลอดโปร่งขึ้น”

นายตำรวจหมุนตัวเดินออกไป วิลเลียมหันกลับมาที่จานอาหารของตัวเอง เหลือบมองภรรยา ส่งสายตาแทนคำพูดว่า มุ่ยไม่ต้องกลัว ทำทุกอย่างไปตามปกติ วิลเลียมมือสั่นเมื่อบิขนมปัง พยายามระงับสติให้เย็นลงเช่นกัน

“โชคดีที่ทุกคนไปแล้ว พวกตำรวจไม่ทำอะไรเราหรอก ถ้าจะทำร้ายข่มเหง คงทำตั้งแต่บุกเข้ามาแล้ว”

แทนที่นายห้างวิลเลียมและแม่เลี้ยงมุ่ยจะอึดอัดกับการถูกกักบริเวณจากตำรวจที่ผลัดเปลี่ยนเวรยามมาเฝ้าตลอดเวลา กลับกลายเป็นว่าฝ่ายผู้คุมอึดอัดเสียเอง เพราะเจ้าบ้านทั้งสองคนใช้ชีวิตตามปกติ ซ้ำยังเอื้อเฟื้ออาหารการกินให้อย่างดี จนเวลาที่จะตะคอกเสียงแข็งใส่ก็ทำไม่ลง กลางเดือนธันวาคมไปแล้วอากาศยิ่งหนาวจัด นายห้างวิลเลียมติดเตาผิงและเชิญนายตำรวจทั้งหลายเข้ามาอยู่ข้างใน ชวนคุยให้ผ่อนคลายว่า

“พวกเธอรู้จักเกมควิซ-เอคโคไหม”

ตำรวจทุกนายส่ายหน้า วิลเลียมบอกกติกาแต่ไม่มีใครเล่นด้วยเพราะถือว่าทุกวินาทีที่อยู่คุมตัวนายห้างนี้คือการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในบ้านแล้ว ยังห้ามมิให้ติดต่อกับผู้ใดข้างนอก วิลเลียมจะเขียนบันทึกก็ไม่ได้เพราะตำรวจตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการแอบส่งสาร ต่อให้ตรวจสอบเนื้อหาว่าไม่มีอะไร แต่ก็อาจใช้รหัสบางอย่างในการอ่านทำให้เข้าใจเรื่องที่ต้องการสื่อสารอย่างแท้จริงได้ วิลเลียมจึงทำได้แค่อ่านหนังสือ เล่นไพ่บริดจ์กับภรรยา และออกมายืดแข้งยืดขาข้างนอกบ้าง

คริสต์มาสปีนี้เป็นอีกปีที่มิได้ฉลองอย่างมีความสุขบนโต๊ะกินเลี้ยง ทหารญี่ปุ่นมาถึงเชียงใหม่ในวันนั้น อันที่จริงน่าจะมีทหารญี่ปุ่น ‘แนวที่ห้า’ แฝงมาอยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีใครระแคะคายเพราะนายทหารเหล่านี้มิได้แสดงตัวว่าเป็นทหาร แต่เปิดร้านทำฟัน ร้านถ่ายรูป เป็นครูสอนภาษา และเปิดโรงพิมพ์

นายตำรวจที่มา ‘ดูแล’ แจ้งข่าวว่าแนวหน้าของญี่ปุ่นมาถึงลำปางแล้วเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม วิลเลียมก็นับวันคอยว่าอีกไม่นาน…ไม่เกินสัปดาห์น่าจะถึงเชียงใหม่ และตอนนั้นคือวันที่เขาจะถูกพิพากษา

เย็นวันที่ ๒๕ ธันวาคมนั้นเอง รถทหารปักธงพระอาทิตย์สีแดงแผ่รัศมีแดงขาวก็แล่นเข้าประตูบ้านมาจอดเรียงหน้ากระดานตลอดหน้าตึก นายทหารผู้นำประกาศเสียงดังมีความหมายว่าให้คนในบ้านอพยพออกไปเดี๋ยวนี้ มุ่ยฟังไม่รู้เรื่องแต่น้ำเสียงก้าวร้าวห้าวหาญอวดศักดานั้นก็พอจะรู้ว่าเป็นคำสั่งสักอย่างหนึ่ง ทว่าที่ทำให้เข่าอ่อนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น คือปืนกลสี่กระบอกบนรถทหารคันนั้นพุ่งตรงมาที่นายห้างสามี

ทหารญี่ปุ่นสี่นายตบเท้าเข้ามากุมตัวนายห้างวิลเลียมใส่กุญแจมือ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขา วิลเลียมกระซิบเบา ๆ บอกภรรยา

“ไม่นานหรอกหนา…ประเดี๋ยวก็วันใหม่ พระอาทิตย์มิได้เจิดจ้าอยู่บนฟ้าตลอดกาลหรอก”

มุ่ยเข้าใจนัยแห่งคำพูดนั้น ตอบนายห้างสามีด้วยเสียงสงบทว่าหนักแน่น

“เมื่อตะวันแจ้งอีกครั้ง จะเป็นวันของเฮา นายห้างบ่ต้องห่วงทางนี้ บ่ว่านายห้างจะต้องเจออะหยัง เฮาจะยะทุกอย่าง…ทำทุกทาง ให้นายห้างปิ๊กมาอยู่บ้านเฮาให้ได้”

นายห้างวิลเลียมกอดภรรยานิ่งนาน ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรเขาจะได้กอดมุ่ยเช่นนี้อีก

ทหารญี่ปุ่นพูดอะไรสักอย่างฟังไม่เข้าใจ…คงเร่งให้ออกเดินทาง เพราะในนาทีต่อมาทหารสองสามนายก็ใช้ด้ามปืนกระทุ้งให้วิลเลียมก้าวเดินทั้งที่เขามิได้ขัดขืน

รถเก๋งวอกซ์ฮอลของวิลเลียมจอดที่หน้าตึกแล้วเมื่อเขาเดินออกมา พวกญี่ปุ่นมันขับมารอรับ และแน่นอนว่ามันจะยึดเป็นของตัวเองด้วย รถขนเชลยขับตามออกไปเป็นขบวนมุ่งหน้าสู่โรงแรมรถไฟ วิลเลียมและฝรั่งคนอื่น ๆ ที่ถูกกุมตัวมาถูกผลักไสให้เข้าไปอยู่ด้วยกันในห้องพักแคบ ๆ

“ไอเดน ท่านกงสุล คุณ…” วิลเลียมไล่ดวงหน้าที่ถูกผลักเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกัน มาสะดุดที่คนสุดท้ายที่เขาไม่คุ้นหน้า

“ฮาร์ตลีย์ครับ”

“พวกเราจะนอนกันยังไงละนี่” ท่านกงสุลสูงวัยมองไปรอบห้องคับแคบ มีเตียงเดี่ยวแคบ ๆ อยู่สองเตียง แต่คนในห้องมีสี่คน

“ท่านกงสุลกับคุณลุงนอนบนเตียงเถอะครับ ผมกับฮาร์ตลีย์นอนบนพื้นเอง”

สำหรับคนทั่วไปอาจมองว่านี่เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วที่ผู้เยาว์จะยกเตียงนอนให้ผู้อาวุโส แต่วิลเลียมรู้นิสัยไอเดนดี ว่าลูกชายของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ผู้นี้เป็นคนอย่างไร แม้นิสัยใจคอจะกล้าได้กล้าเสียกล้าต่อรองอย่างบ้าบิ่น แต่วิถีปฏิบัติประจำวันนั้นสำรวยยิ่ง การที่ไอเดนยกเตียงนอนให้แล้วตัวเองนอนกับพื้นแข็ง ๆ นับเป็นความเสียสละอย่างมากของเขา

แต่ไม่ว่าจะนอนเตียงหรือนอนพื้นคนทั้งสี่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ในฤดูเหมันต์ที่ลมหนาวแผ่ฤทธิ์เข้ามาถึงในห้องนอน ผู้เป็นเชลยต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ ไม่มีฟูกหนานุ่มและหมอนหนุนสบาย ไม่มีแม้แต่ผ้าห่มกายให้คลายหนาว คงต้องกอดอกกอดตัวให้ความอุ่นจากร่างกายคืนไปสู่กายตัว

“อดทนเอาหน่อยเถอะ คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เช้าเราก็ไปจากที่นี่แล้ว” ท่านกงสุลปลอบตัวเองไปพร้อมกัน

“พวกเราจะต้องอยู่ค่ายไหนครับ ท่านพอจะทราบไหม” นายห้างวิลเลียมถาม

ทุกคนในที่นี้รู้สถานะของตนเองดีว่าตอนนี้ชาวอังกฤษและฝรั่งเศสในไทยคือเชลยสงคราม และกำลังถูกกวาดต้อนไปอยู่ในค่ายกักกันที่กรุงเทพฯ ค่ายเชลยมีหลายแห่ง แต่ที่รัฐบาลไทยออกหน้าจัดการให้มีสองแห่ง คือค่ายกักกันที่โรงเรียนวชิราวุธและที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองที่ท่าพระจันทร์

“พวกเราคงได้ไปอยู่ที่ธรรมศาสตร์” ท่านกงสุลตอบ

“ดี” ฮาร์ตลีย์ร้องออกมา “พอพวกมันเผลอ เราก็กระโดดน้ำหนีออกไปเลย”

นายห้างวิลเลียมคิดอย่างนั้นเหมือนกันในแวบแรก แต่ประสบการณ์ที่ผ่านสงครามมาแล้วทำให้รู้ว่าไม่ง่าย ถ้าไม่ถูกยิงตายแถวริมฝั่งก็คงถูกไล่ล่าจับตัวมาทรมานจนตายนั่นละ

ตรงข้ามกับโรงแรมรถไฟก็คือสถานีรถไฟเชียงใหม่ เชลยฝรั่งถูกกุมตัวมาเข้าแถวเดินเรียงกันไปขึ้นรถไฟชั้นสามเบียดกันแน่นโดยมีทหารญี่ปุ่นถือปืนคุมตลอดเวลายี่สิบสามชั่วโมงจากเชียงใหม่ถึงกรุงเทพฯ ลำพังเรื่องนี้ก็สร้างความลำบากทั้งกายและใจมากพออยู่แล้ว แต่เชลยฝรั่งทั้งหลายกลับต้องแค้นใจหนักขึ้นเมื่อได้พบกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่กระทำหยาบคายต่าง ๆ ต่อเชลยเพื่อเอาใจญี่ปุ่น

ฮาร์ตลีย์โวยวายไปตลอดทางแล้วก็ถูกกำราบด้วยด้ามปืนบ้าง ฝ่ามือหนา ๆ บ้าง จนร่างกายเขาช้ำน่วม

นายห้างวิลเลียมมองฮาร์ตลีย์แล้วอดนึกถึงโอลิเวอร์ไม่ได้ ย้อนไปเมื่อครั้งเป็นทหารร่วมกองทัพ โอลิเวอร์ก็ ‘ห่าม’ เช่นนี้ วิลเลียมหลับตานิ่งด้วยความเหนื่อยล้า เสียงรางเหล็กดังเสียดหูตลอดเวลา ปลอบใจและให้ความหวังแก่ตนเองว่า…บางทีโอลิเวอร์อาจไปถึงอินเดียแล้วก็ได้

 

ฝรั่งส่วนใหญ่ในค่ายกักกันเชลยเป็นชาวอังกฤษหลายวัย ก่อนหน้านี้อาจเคยเป็นอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาตำแหน่งใหญ่โตให้แก่รัฐบาลสยามจนเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย บางคนเป็นผู้จัดการบริษัทสัมปทานป่าไม้ทั้งที่เป็นของอังกฤษและที่เป็นของรัฐบาลไทย บางคนทำงานในสถานทูต และอีกหลายคนคือคณะมิชชันนารี

ทว่าบัดนี้ทุกคนมีสถานะเท่าเทียมกันคือเป็นเชลยสงคราม ท่านกงสุลปรารภขึ้นมาว่า

“ค่ายเชลยนี้เพิ่งสร้างไม่นาน ที่พวกเราถูกพาตัวมาพร้อมกันวันนี้ก็เพราะเพิ่งสร้างเสร็จนี่ละ ญี่ปุ่นเหยียบแผ่นดินไทยแล้วฮึกเหิมนัก บังคับเอาสถานที่ราชการต่าง ๆ เป็นที่พักกองทัพและค่ายเชลย พวกเชลยที่คุมตัวมาจากสิงคโปร์ก็ถูกพาไปที่ค่ายที่กาญจนบุรีโน่น”

ข่าวการทารุณเชลยของญี่ปุ่นแพร่สะพัดไปเนือง ๆ ราวเรื่องเล่าสยองขวัญในตอนนี้

ท่านกงสุลคงประเมินรัฐบาลไทยต่อไป

“ท่าทีรัฐบาลก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รัฐบาลไทยพึ่งพาพวกเรามาตั้งเท่าไหร่ ยังไม่นับกับที่รีดเอาผลประโยชน์นอกข้อตกลงหรือสัมปทานนะ ถ้าจู่ ๆ จะจับมือร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่นเต็มที่ก็คงผิดไปหน่อยละ แต่จะไม่เอาใจญี่ปุ่นตอนนี้ก็ไม่ได้ ค่ายเชลยนี้รัฐบาลไทยจึงอาสาจัดการเอง”

“สำนวนไทยว่าอย่างไรนะ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวใช่ไหม” วิลเลียมเอ่ยเป็นคำถาม แต่ก็แจกแจงต่อเองว่า “ก็คงจะอย่างนั้น นกตัวที่หนึ่ง…ญี่ปุ่นเห็นว่ารัฐบาลเอาใจอยู่ นกตัวที่สอง…ก็ยังรักษาสัมพันธ์กับพวกเราชาวอังกฤษไว้ได้”

“ผมก็หวังว่าชีวิตในค่ายนี้จะไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก” ไอเดนแค่นหัวเราะ มองสภาพที่พักดุจปลอบใจตัวเองว่าถึงคราวต้องปลงกับชีวิต ละทิ้งความสุขสบายไปชั่วคราว

“รัฐบาลไทยว่าอย่างไรรู้ไหม” ท่านกงสุลทำเสียงเยาะฝ่ายที่กำลังเอ่ยถึง “ท่านว่าให้เชลยฝรั่งมาอยู่รวมกันที่ธรรมศาสตร์นี่เป็นการช่วยให้ปลอดภัยจากลูกระเบิด”

เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นประสานกัน

“กลัวพวกเราถูกระเบิด จึงพามาอยู่ค่ายที่ใกล้กับสถานีรถไฟบางกอกน้อยซึ่งเป็นยุทธศาสตร์นี่นะ ถ้าผมเป็นผู้บัญชาการของฝ่ายสัมพันธมิตร จุดแรกที่จะโจมตีก็ไอ้สถานีรถไฟนี่แหละ พวกท่านเห็นหรือยังละ ว่ารัฐบาลไทยเป็นพวกปลิ้นปล้อนแค่ไหน ถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดลงมาที่ค่ายนี้ รัฐบาลไทยก็จะบอกว่าที่พวกเราตายเพราะโดนลูกระเบิดของฝ่ายตัวเอง”

ชาวอังกฤษสูงวัยผู้เกษียณอายุราชการแล้วหลายปีตัดพ้อ

“ผมทำงานให้กรมป่าไม้สยาม ทำงานให้รัฐบาลไทยมาชั่วชีวิต ก็ไม่ได้รับการยกเว้น”

“ผมชื่อเบนจามิน” หนุ่มอังกฤษคนหนึ่งแนะนำตัวแล้วเล่าเรื่องของตน “พอทราบข่าวผมก็รีบไปที่สุโขทัย ไปอาศัยที่ฟาร์มของเพื่อนที่วังพระธาตุ เตรียมหนีไปพม่า แต่ถูกจับได้เสียก่อน วันนั้น ‘พวกเขา’” ผู้พูดจงใจเน้นคำ “มากันหลายคนเพื่อจับผมคนเดียว ทั้งหัวหน้าตำรวจ ทั้งนายอำเภอ และเจ้าหน้าที่อีกหลายคน ป่านนี้คงได้ความดีความชอบกันไปทั่วหน้า พวกเขาคุมตัวผมลงเรือไปปากน้ำโพแล้วก็พามาที่ค่ายนี่”

“พวกผมสิ ถูกจู่จับที่ออฟฟิศเลย ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ มารู้ว่าตัวเองกลายเป็นเชลยไปแล้วก็ตอนถูกใส่กุญแจมือแล้วกักบริเวณนั่นละ” นายห้างป่าไม้อีกคนหนึ่งเล่า อีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกันก็พยักหน้ารับรองว่าเรื่องราวเป็นอย่างนั้น เพราะถูกจับมาพร้อมกัน

กว่าจะเข้านอนกันคืนนั้น เชลยอังกฤษทั้งหลายก็ถ่ายทอดเรื่องราวการหนีและถูกจับกุมมาอยู่ค่ายเชลยสู่กันฟัง มีความเห็นตรงกันว่าแม้จะถูกกักกันในค่ายนี้ แต่หากมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่ถูกญี่ปุ่นจับตัวไปทารุณกรรมและเกณฑ์ให้ไปสร้างทางรถไฟไปยังพม่าได้ พวกเขาก็พร้อมจะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

อาหารมื้อแรกสำหรับเชลยคือขนมปังหนึ่งคู่และกาแฟหนึ่งถ้วยที่เพียงมองด้วยตาก็รู้ว่าคุณภาพต่ำ วิลเลียมนั้นไม่สู้กระไรนัก ด้วยคุ้นเคยกับนอนกลางดินกินกลางทรายมาจนชิน ยิ่งช่วงเดินป่าแล้วอาหารที่กินเข้าไปเรียกได้ว่าเพื่อให้มีแรงทำงานต่อเท่านั้น ขนมปังเนื้อหยาบที่ส่งเข้าปากไปจึงไม่ทำให้วิลเลียมถึงขนาดต้องกลืนลงคออย่างเสียมิได้

ผิดกับไอเดนที่มองอาหารในถาดราวเห็นของแปลกหน้า เขาจ้องขนมปังราวกับจะพิจารณาว่าที่คุณภาพอาหารเช้าต่ำทรามขนาดนี้เป็นเพราะแป้งสาลีขาดแคลนในช่วงสงคราม หรือเป็นเพราะค่าอาหารเชลยมันปลิวไปเข้ากระเป๋าใครกันแน่ จึงเหลือเงินมาซื้ออาหารให้ได้แค่นี้

ผู้คุมเดินไปมาระหว่างที่เชลยนั่งเรียงแถวกินอาหารเช้า เห็นท่าทางพะอืดพะอมของไอเดนที่จ้องอาหารแล้วสะใจ หมั่นไส้ไอ้พวกฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชอบกดขี่ข่มเหงพวกคนไทยนัก แกล้งเดินชนขอบโต๊ะเพื่อให้อาหารในถาดร่วงลงพื้น กาแฟในถ้วยกระฉอก

ไอเดนคว้าถ้วยกาแฟขึ้นได้ทันเช่นเดียวกับที่วิลเลียมคว้าขนมปังของไอเดนไว้ได้ ส่งสายตาให้เขาอดทนอดกลั้นไว้ก่อน ไอเดนจึงรับขนมปังมาใส่ปากเคี้ยว จ้องหน้าผู้คุมที่ยกมุมปากสมเพชท่าทาง ‘ยัด’ อาหารลงกระเพาะ ยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวไปครึ่งแก้ว สัมผัสได้เพียงรสขมและกลิ่นไหม้ของเม็ดมะขามคั่วมากกว่าเม็ดกาแฟจริง ๆ

อาหารเช้าเลวลงเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งขนมปังและกาแฟหายไป คราวนี้เพราะแป้งเริ่มขาดตลาดแล้วจริง ๆ สิ่งที่มาทดแทนจึงเป็นไข่ต้มกลิ่นตุ ๆ หนึ่งฟอง ผู้ที่โชคดีจะได้ไข่ต้มขาวสวย แต่ที่โชคร้ายจะได้ไข่เน่าหรือไข่ที่เป็นตัว ร้องขอให้เปลี่ยนใหม่ก็ไม่ได้ มีทางเลือกเพียงสองอย่างคือ หากไม่กล้ำกลืนลงไปก็ไม่ต้องกิน ส่วนมื้อกลางวันและเย็นเป็นข้าวกับแกงที่เน้นการทำปริมาณเยอะมากกว่าจะทำให้มีรสชาติดี

“เหมือนตอนเดินป่า หุงข้าวผสมมันกินให้ได้ปริมาณมาก ๆ” วิลเลียมเอ่ยทำนองรำลึกความหลังเพื่อให้ไอเดนรู้สึกดี แต่ชายหนุ่มไม่คล้อยตาม

“ข้าวหุงข้าวต้มใส่เผือกใส่มันยังพอทำเนา แต่แกงกะทิใส่เศษเนื้ออย่างนี้ผมกระเดือกไม่ลง” ไอเดนว่า เพราะแกงกะทิเป็นมันย่องนั้นกินเข้าไปสองสามคำก็เลี่ยน เนื้อสัตว์ถ้าจะมีอยู่บ้างก็เป็นไก่หรือเนื้อควายที่หั่นชิ้นเล็ก ๆ ชนิดที่ว่า สับผสมน้ำแกงน่าจะถูกต้องกว่าเรียกว่าหั่นเป็นชิ้น ๆ

ขนมหวานหรือผลไม้ล้างปากนั้นอย่านึกถึง เพราะไม่เคยอยู่ในรายการอาหารสำหรับเชลยด้วยว่าเป็นรายการสิ้นเปลือง ใครอยากกินผลหมากรากไม้ก็ต้องจ่ายเงินฝากผู้คุมไปซื้อมาให้ กล้วยหอมและส้มโอหายาก เพราะญี่ปุ่นเหมาเอาไปหมดไว้เป็นเสบียงกรัง จนเกิดเป็นเสียงเล่าลือกันว่า พวกญี่ปุ่นนั้นชอบกินกล้วยหอมยิ่งกว่าสิ่งใด ชาวสวนกล้วยหอมหลายรายเกิดมีรายได้เพราะค้าขายกล้วยยกสวนกับญี่ปุ่นนี่เอง

วิลเลียมคิดว่าตนเองกระเพาะทนทานกับอาหารชั้นเลวได้ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ท้องเสีย ทั้งถ่ายและอาเจียนจนร่างกายอ่อนเพลียแทบลุกยืนไม่ไหว เชลยหลายคนมีอาการแบบเดียวกัน ไอเดนมั่นใจว่าเป็นเพราะความไม่สะอาดของอาหาร เขาจึงเดินไปที่โรงครัวเพื่อดูว่าการเตรียมอาหารนั้นทำอย่างไร

อาหารในค่ายจะว่าไปแล้วมิใช่ทำตามมีตามเกิด แต่จ้างโรงแรมแห่งหนึ่งมาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมกับมีเด็กเสิร์ฟชาวจีนมาคอยบริการ ขณะนั้นเป็นตอนบ่ายที่โรงครัวต้องล้างจานชามของมื้อเที่ยง เด็กลูกจ้างจีนเขี่ยเศษอาหารลงใต้ถุนอาคารแล้วก็ช่วยกันยกเข่งใส่จานไปที่ริมฝั่งน้ำ เอนหลังงีบหลับรับลมอยู่ตรงนั้น ไอเดนคอยดูอย่างใจเย็นพลางนึกว่าคนจีนที่ว่าขยันขันแข็งเอาการเอางานนั้น ต้องยกเว้นไอ้เด็กกลุ่มนี้

กว่าชั่วโมงที่งีบไปทำให้เมื่อตื่นก็ลุกลนว่าต้องรีบล้างจานให้เสร็จ ลูกจ้างจีนทั้งหลายก็ช่วยกันยกเข่งไปชิดริมน้ำ หยิบจานขึ้นมาแกว่งให้กระแสน้ำพัดพาเศษต่าง ๆ ที่ติดจานไป แต่ละใบแกว่งไปมาสองสามทีก็เป็นอันเสร็จ มิพักต้องเสียเวลาใช้สบู่ล้างจานให้เปลือง

ระหว่างนั้นเองมีลูกจ้างคนหนึ่งอยากถ่ายหนัก เจ้าตัวก็ถลกกางเกงแล้วก็หย่อนก้นลงแม่น้ำ ทิ้งทุ่นระเบิดลงไป ในขณะที่เพื่อน ๆ ก็แกว่งจานไปมาอยู่ตรงนั้น ไอเดนอ้าปากค้าง รู้สึกมวนท้องอยากอาเจียนขึ้นมา แล้วก็ยิ่งตะลึงเมื่อเพิ่งสังเกตว่าเด็กแต่ละคนเหน็บผ้าขี้ริ้วไว้ที่เอว

ผ้าขี้ริ้ว…ไอเดนเห็นไม่ผิดจริง ๆ ผ้าผืนเล็กสกปรกกระดำกระด่างนั้นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากผ้าขี้ริ้ว แต่สำหรับเด็กลูกจ้างพวกนั้นมันเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ ทั้งผ้าปูนอน ผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดก้น และผ้าเช็ดจาน!

ไอเดนไม่ยอมกินอาหารที่ส่งมาจากโรงครัวอีก และเมื่อเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ไม่มีใครกล้ากินอาหารที่กุ๊กโรงแรมจัดเตรียมให้ แค่เห็นเด็กลูกจ้างเหน็บผ้าสารพัดประโยชน์ไว้ที่เอวก็ให้รู้สึกพะอืดพะอมจนกลืนอะไรไม่ลงเลยทีเดียว

ไอเดนบ่นเรื่องนี้กับวิลเลียม ลำพังอดข้าวมื้อสองมื้อก็ยังพอไหว แต่ถ้าต้องอดเรื่อยไปคงไม่ดีแน่ แต่จะให้กินอาหารจากโรงครัวก็กระเดือกไม่ลงเสียแล้ว เมื่อไอเดนบ่นออกมาว่าขอยอมล้างจานเองดีกว่าให้ลูกจ้างขี้เกียจพวกนี้ทำ วิลเลียมก็จุดประกายขึ้นมา

“เราควรจัดเวรเพื่อล้างจานโดยเฉพาะ จะได้มั่นใจว่าจานชามที่เราใช้สะอาดจริง”

เรื่องนี้จริงจังถึงขั้นตั้งกันเป็นคณะกรรมการ ไอเดนสนับสนุนเต็มที่ ชวนเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันเอาถังน้ำมันเก่ามาดัดแปลงทำหม้อต้มน้ำสำหรับใช้ล้างจาน แม้จะเป็นกิจวัตรประจำวันที่หนักหนาสาหัสเพราะต้องล้างจานชามของคนเกือบสี่ร้อยคนทุกมื้ออาหาร แต่เมื่อแลกกับความสบายใจเรื่องความสะอาด พวกเขาก็ยินดีทำ

หนักเข้า เหล่าเชลยไม่เพียงแต่จัดเวรล้างจานกันเอง แต่ยกเตาอั้งโล่มาตั้งกลางสนาม ปรุงอาหารกินเองประชดรัฐบาลไทยเอาเสียเลย

 

แต่ละวันในค่ายเชลยผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพราะไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านั่ง ๆ นอน ๆ และพูดคุยถึงเรื่องสัพเพเหระอันหนีไม่พ้นเรื่องการทำสงครามและเรื่องการทำงานก่อนถูกจับมาอยู่ในค่ายกักกัน วันใดมีเสียง ‘หวอ’ ก็ต้องมุดใต้เตียงหรือวิ่งหาที่หลบระเบิด เพราะในค่ายแห่งนี้ไม่มีหลุมหลบภัย ครั้นหวอปลอดภัยดังขึ้น ก็รอฟังข่าวว่าระเบิดทิ้งลงตรงไหน ความเสียหายเป็นอย่างไรบ้าง

เชลยในค่ายกักกันถูกแบ่งเป็นสองประเภทเพื่อจัดสรรที่พัก คือผู้ที่มีครอบครัวและไม่มีครอบครัว จริงอยู่ที่ชาวอังกฤษจำนวนมากแต่งงานอยู่กินกับคนไทย แต่ก็มีประเภทที่เป็น ‘ฝรั่งทั้งบ้าน’ ไม่น้อย ซึ่งกลุ่มนี้เมื่อถูกจับเป็นเชลยก็ถูกรวบมายกครัว ต่างจากฝรั่งที่มีสามีหรือภรรยาเป็นคนไทยก็จะถูกจับกุมเฉพาะตัวเอง ส่วนคนไทยไม่เกี่ยว เชลยที่มีครอบครัวจะได้ห้องส่วนตัวขนาดสามคูณสี่เมตรครอบครัวละห้องหรือสองห้อง ขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิก ห้องเหล่านี้เดิมเป็นห้องเรียน เมื่อต้องมาจัดสรรเป็นห้องพักก็เพียงกั้นหยาบ ๆ ไว้พอให้รู้ขอบเขตเท่านั้น ส่วนเชลยอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกไม่มีครอบครัวก็ถูกเกณฑ์ให้ไปอยู่ในห้องรวม นอนเรียงกันเป็นตับเหมือนโรงทหาร

ความทรมานในค่ายเชลยเกิดจากสุขภาพจิตเสื่อมถอยจนกระทบไปสู่สุขภาพกาย ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ใช้ชีวิตสุขสบายเหนือกว่าคนที่นี่มาแต่ไหนแต่ไร ทว่าในวันหนึ่งโลกพลิกกลับด้าน ญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาติเล็ก ๆ ที่ต่ำต้อย มาบัดนี้เป็นผู้มีอำนาจอยู่เหนือใคร ยิ่งใหญ่กว่าเจ้าของประเทศเสียด้วยซ้ำ ทำให้ชาวตะวันตกทั้งหลายรู้สึกคล้ายถูกลบหลู่เกียรติยศศักดิ์ศรี การถูกกักกันไว้ในค่ายเชลย ก็ไม่ผิดอะไรกับการถูกถอดเสื้อผ้าแห่งความภาคภูมิใจในอารยะของตนสู่สามัญชนที่มีค่าต่ำเตี้ยยิ่งกว่าฝ่าเท้าของกองทัพศัตรู ความหดหู่เศร้าหมองนี้ทำให้หลายคนล้มป่วย หมดอาลัยกับชีวิตจนกระทั่งอยากฆ่าตัวตาย บางคนป่วยด้วยโรคสามัญ แต่เพราะกำลังใจอ่อนล้า ก็กลายเป็นว่าอาการป่วยหนักขึ้นกว่าที่ควรเป็น

วิลเลียมเห็นความเป็นไปในค่ายแล้วให้หดหู่ไม่แพ้กัน แต่เขาสัญญากับมุ่ยแล้วว่าจะกลับไปหาให้ได้ เขาจึงยังต้องรักษาชีวิตไว้ให้รอดจนกว่าสถานการณ์เลวร้ายนี้จะสิ้นสุด ไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปด้วยความเศร้าหมอง ในค่ายกักกันแห่งนี้มีคนมีความรู้มากมายหลายแขนง ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น วิลเลียมจึงหารือกับท่านกงสุลแล้ววงสนทนาก็ขยายออกไปจนกลายเป็นคณะกรรมการที่จะดูแลด้านต่าง ๆ ของเชลยเพื่อนร่วมชาติในค่ายแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ ศาสนา สุขาภิบาล กีฬาและนันทนาการ

“การศึกษาก็สำคัญ” วิลเลียมเอ่ยขึ้นมา “มีเด็ก ๆ อยู่ในค่ายนี้หลายคน ไม่ว่าสงครามจะดำเนินไปอย่างไร พวกเราที่อายุมากแล้วอาจจะจากไปก่อนสงครามสิ้น แต่เด็ก ๆ เหล่านี้ต้องเติบโต เราต้องปลูกฝังความรู้และความคิดที่ดีให้แก่พวกเขา”

การจัดระเบียบสังคมในค่ายกักกันจึงเกิดขึ้น เสมือนเป็นเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ผู้คนในชุมชนใช้ชีวิตตามปกติ คือเด็ก ๆ เรียนหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรี ในวันอาทิตย์ก็มีการชุมนุมกันทางศาสนา

เด็ก ๆ ในค่ายได้รับการศึกษาอย่างดี ทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ ไม่เพียงเด็ก ๆ เท่านั้นที่มาเรียนหนังสือ ผู้ใหญ่หลายคนก็มานั่งเรียนเอาความรู้ไปด้วย ผู้ที่สนใจเย็บปักถักร้อยก็มีให้เรียน เด็กโตหน่อยก็สนใจเรียนวิชาเดินเรือ

วิลเลียมเป็นที่รักของเด็ก ๆ เมื่อถึงชั่วโมงสันทนาการ เขาสอนการเล่นคริกเก็ตและโปโลให้กับเด็ก ๆ แต่ที่ทำให้เด็ก ๆ ล้อมหน้าล้อมหลังคือเมื่อลุงวิลเลียมเล่าเรื่องการทำไม้ให้ฟัง ตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าช้างตัวใหญ่ทำอะไรได้บ้าง เพราะเด็ก ๆ รู้จักช้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าทำอะไรได้อีกนอกจากให้คนนั่งบนหลัง เรื่องเล่าในปางไม้คือนิทานปรัมปราสำหรับเด็ก ๆ ที่รักการผจญภัย ในยามว่างวิลเลียมจึงสลักเสลาไม้เป็นช้างตัวเล็ก ๆ ไว้แจกเด็ก ผู้โชคดีในแต่ละวัน

บรรยากาศในค่ายกักกันจึงค่อยดีขึ้นกว่าช่วงแรกที่มาอยู่ ผู้คุมก็มิได้เข้มงวดขึงขังเช่นตอนแรกที่ยังดูจะเอาใจญี่ปุ่นอยู่มาก ระเบียบต่าง ๆ ยามนี้จึงหย่อนและมีอิสระหลายเรื่อง เรื่องการออกไปนอกค่ายบ้าง หรือฝากซื้อสิ่งของต่าง ๆ นอกค่าย จนกระทั่งส่งจดหมายไปถึงครอบครัว ก็เป็นเรื่องที่ทำกันได้ทั่วไป

ในบางครั้งก็มีคนจากนอกค่ายมาเยี่ยมเยียน เป็นคนในครอบครัวบ้าง เป็นตัวแทนมาส่งข่าวบ้าง ก็ไม่ถูกจับตามองว่าเป็นสายลับหรือจารชน ด้วยสภาวะสงครามยามนี้ดูจะไม่มีความคืบหน้า เรือบินทิ้งระเบิดห่างไป ประชาชนใช้ชีวิตเป็นปกติจนกระทั่งเผลอคิดไปว่าสงครามจบแล้ว เพียงแค่ทหารญี่ปุ่นยังไม่ไปไหนเท่านั้นเอง

วิลเลียมนั่งเกลาไม้เป็นช้างตัวเล็กอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่เขามักใช้เป็นที่เล่านิทานล้อมวงให้เด็ก ๆ ฟัง ท่านกงสุลเดินเข้ามายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ เห็นชัดว่าถูกเปิดอ่านเพื่อตรวจสอบเนื้อหาแล้วเห็นว่า ‘ไม่มีอะไร’ จึงยอมให้ส่งถึงมือเจ้าของได้

วิลเลียมรับมาอ่านอย่างรวดเร็ว ทวนซ้ำไปมาหลายรอบก่อนจะสรุปสั้น ๆ กับท่านกงสุลว่า

“บ้านของผมกลายเป็นค่ายของทัพญี่ปุ่น ลีรอย…เพื่อนสนิทของผมถูกจับไปอยู่ค่ายเชลยที่หนองปลาดุก” ความหมายนั้นคือลีรอยถูกเกณฑ์ไปสร้างทางรถไฟไปพม่า

ไอเดนวิ่งหน้าเริดเข้ามา เห็นหน้าของท่านกงสุลและวิลเลียมก็รู้ทันทีว่าข่าวของเขามาถึงช้าเกินไป

“ฉันรู้แล้วละ ไอเดน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง” วิลเลียมบอก

“แล้วคุณลุงทราบหรือยังครับว่า ลุงเมืองสึกจากพระแล้ว รอยเมืองบอกผมมา”

สีหน้าวิลเลียมเปลี่ยนไป เมืองบวชพระมานานตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ใคร ๆ ก็ว่าเมืองคงบวชไม่สึกแล้วในชาตินี้ คำตอบตามมาทันที

“รอยเมืองบอกว่า ลุงเมืองจะไปตามลุงลีรอยที่หนองปลาดุก”

“ไปยังไง ไปคนเดียวนะหรือ” วิลเลียมถาม

ไอเดนส่ายหน้า

“ไปกับนายแม่มุ่ยครับ ตอนนี้เตรียมตัวกันอยู่ ใครทัดทานไว้ก็ไม่ฟัง ลุงเมืองจะไปตามลุงลีรอยให้ได้”

ท่านกงสุลอดไม่ไหวจึงถามว่า

“ลีรอยคนนี้คือใคร ทำไมนายเมืองจึงมุ่งมั่นที่จะไปตามเขานัก ทั้งที่รู้อยู่ว่าที่ตรงนั้นมันอันตรายแค่ไหน”

“เมืองกับลีรอย…เขาเป็นคนรักกันครับ” วิลเลียมตอบ

สีหน้าท่านกงสุลแปรไป วิลเลียมเข้าใจความคิดของฝ่ายนั้นแต่มิได้ใส่ใจมากไปกว่าจะหาทางยับยั้งสองพี่น้อง…เมืองและมุ่ยไม่ให้เดินทางไปค่ายเชลยที่กาญจนบุรีได้อย่างไร

“ไอเดน ทำอย่างไรก็ได้ ให้นายแม่มุ่ยมาพบลุงก่อน ก่อนที่จะไปเมืองกาญจน์”

วิลเลียมเพิ่งรู้ตัวว่าฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ ทั้งเคืองทั้งห่วงมุ่ย เคืองที่ผลีผลามทำอะไรไม่หารือกันก่อน ห่วงว่าภรรยาจะได้รับอันตราย ร้ายแรงจนถึงชาตินี้ไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันอีก

เสียงไอเดนแว่วมาเข้าหูฟังอื้ออึงเหมือนลอยมาจากที่ไกล ๆ

“รอยเมืองบอกว่า ลุงลีรอยถูกจับไปตอนที่จะมาหาลุงวิลเลียม”

 



Don`t copy text!