
ดอนปู่ตา
โดย : ทรรศิตา
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
“ดอนตาปู่ หรือ ดอนปู่ตา” ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของชาวบ้านตำบลเมืองเสือ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ลักษณะเป็นเนินดงไม้รกหนาทึบ ทั้งไม้ไผ่ ไม้สะแก ไม้ดู่ ป่าหนามเหนี่ยว เล็บแมวตลอดพืชพันธุ์ไม้ป่าอื่นๆ ขึ้นแวดล้อมต้นสำโฮงใหญ่ หรือสำโรงใหญ่ อันมีอายุเก่าแก่นับร้อยปี ทำให้บริเวณนั้นมืดครึ้มและเยือกเย็นอย่างแปลกประหลาด ทำให้ผู้คนที่กำลังเดินผ่านรู้สึกขนลุกขนชันจนต้องรีบเร่งเดินให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว ตรงโคนต้นสำโฮงใหญ่ทางด้านทิศตะวันออกมีศาลไม้หลังเล็กมุงด้วยสังกะสีเก่าตั้งอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านเรียกกันว่า “ศาลตาปู่”
ผู้เฒ่าคนแก่แต่ก่อนมักเล่าให้ฟังว่า “ตาปู่ หรือปู่ตา” ท่านเป็นเจ้าเมืองขอมเก่าแห่งนี้มานานนับพันปีแล้ว มีคำร่ำลือว่าท่านศักดิ์สิทธิ์และดุมาก ในสมัยก่อนเมื่อถึงคืนวันเพ็ญหรือคืนเดือนดับ พอตกยามดึกสงัดมักมีคนเห็นตาปู่ถือตะขอขี่ช้าง ตาแดงเชือกสูงใหญ่ เดินรอบๆ หมู่บ้านเสมอ เรื่องนี้ยายทวดพุ่ม คนเฒ่าที่อายุยืนอีกคนหนึ่งในหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่า
นานมาแล้วมีนายฮ้อยพ่อค้าควายสองคนได้ต้อนควายเพื่อจะนำไปขายในอำเภอแต่ค่ำลงเสียก่อน จึงเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อขอพักค้างคืน ซึ่งวันนั้นเป็นวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำพอดี หลังจากชาวบ้านผู้ให้พักอาศัยเลี้ยงข้าวปลาอาหารค่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันเข้าเรือนเพื่อพักผ่อน หากก่อนไปนั้นเจ้าของเรือนบอกว่า …
“คืนนี้…ถ้าได้ยินเสียงหมาเห่าหอนตอนกลางคืน ก็อย่าลุกขึ้นออกมาดูเด็ดขาดนะ พ่อ!” และก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้นอีก จึงสร้างความสงสัยให้แก่นายฮ้อยทั้งสองพอสมควร
ตกดึกคืนนั้นประมาณเที่ยงคืน นายฮ้อยทั้งสองก็ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อเสียงหมาเห่าหอนดังขึ้นทั่วหมู่บ้าน เริ่มแรกได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลก่อนแล้วค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนที่สุดมาถึงใกล้เรือนที่นายฮ้อยทั้งสองพักค้างคืนอยู่ ด้วยความสงสัยเป็นที่สุด นายฮ้อยคนหนึ่งลุกขึ้นเดินตรงไปที่ชานเรือนเมื่อผลักประตูออกไปก็ถึงกับล้มหงายตึงส่งเสียงอึกอักพูดไม่ออก จนนายฮ้อยอีกคนรีบลุกขึ้นวิ่งตามไปดูก็เกิดอาการเช่นกัน เพราะในท่านกลางแสงจันทร์อันเย็นยะเยือกนั้น ปรากฏร่างดำทะมึนของช้างเชือกหนึ่งสูงจนเกือบถึงปลายต้นมะพร้าวริมทางข้างเรือน บนหลังช้างมีร่างชายสูงใหญ่โพกผ้าบนศีรษะ ไม่สวมเสื้อนุ่งผ้าโจงกระเบนนั่งถือตะขอสับช้างจ้องมองลงมาอยู่ ดวงตาของชายร่างนั้นเปล่งแสงสีแดงเลือดเช่นเดียวกับดวงตาของช้าง นายฮ้อยทั้งสองตัวสั่นงกๆ รีบลนลานก้มลงกราบปรกๆ อยู่อย่างนั้นเป็นนานด้วยความกลัวสุดขีด จนกระทั่งเงยหน้าขึ้นอีกที ร่างที่เห็นเมื่อสักครู่นั้นก็อันตรธานหายไปแล้ว ได้ยินแต่เสียงหอนของฝูงหมาในหมู่บ้านค่อยๆ ทอดเสียงไกลออกไปจนเงียบหายไปในที่สุด ครั้นรุ่งเช้าจึงได้มาเล่าให้ชาวบ้านฟังก็ได้รับคำบอกเล่าให้หายสงสัยว่า…
“นั่นแหล่ะ! คือตาปู่ผู้รักษาบ้านเมืองนี้ ท่านคงจะแวะมาดูแขกแปลกหน้าที่เข้ามาอาศัยพักอยู่ภายในหมู่บ้าน” เมื่อรู้เหตุนายฮ้อยทั้งคู่ก็ถึงกับยกมือไหว้ท่วมหัว
ดังนั้น เมื่อถึงคืนวันเพ็ญเต็มดวงหรือคืนเดือนดับพอมืดค่ำลงชาวบ้านทุกคนจึงมักรีบขึ้นบ้านขึ้นเรือนดับฟืนดับไฟพากันนอนเงียบกริบ ฟังเสียงหมาเห่าหอนรับกันเป็นทอดๆรอบหมู่บ้าน
บางครั้ง หากมีชาวบ้านหรือใครในหมู่บ้านจะเดินทางไปไหนมาไหนในเวลาค่ำคืนหรือเวลากลางวันก็ดี หากบังเอิญจำเป็นต้องผ่านดอนปู่ตาก็มักจะต้องบอกกล่าวให้ท่านช่วยรักษาคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัย ไปดีมาดี หากไปกันเป็นกลุ่มมีหลายสิบคนต่างคนก็ต่างพูดเสียงประสานกันดังระเบ็งเซ็งแซ่ไปหมด ไม่รู้จะฟังเสียงใครทั้งเสียงผู้ใหญ่และเสียงเด็กๆ ที่ว่ากันไปตามผู้ใหญ่บ้าง ด้วยความกลัวว่า ถ้าไม่บอกจะโดนผีตาปู่มาตามหลอกบ้าง เพราะเรื่องนี้เคยมีคนเล่าให้ฟังอีกว่า
ในอดีตแต่ก่อน เคยมีชาวบ้านบางคนไม่บอกกล่าวท่านเวลาเดินทางผ่านออกจากหมู่บ้านไปทำธุระที่อื่น ตอนขากลับเข้าหมู่บ้านก็เป็นเวลาดึกแล้ว จึงเจอดีโดนผีตาปู่ห้อยหัวลงมาจากกิ่งต้นสำโฮงใหญ่ ตาแดงเท่าไข่ห่านขวางทางไว้ ชาวบ้านคนนั้นถึงกับวิ่งเสียสติจับไข้หัวโกร๋นไปหลายวัน
แม้แต่ตัวผู้เล่าเองในวัยเด็กยังกลัวมาก เวลาต้อนฝูงวัวไปเลี้ยงทางฟากทุ่งตะวันตกของหมู่บ้าน หากผ่านดอนปู่ตาทีไรเป็นต้องกลั้นใจหลับหูหลับตารีบไล่วัวให้ผ่านไปเร็วๆ ทุกทีทั้งเวลาไปและกลับ อาจเป็นเพราะนอกจากเสียงเล่าขานของคนเฒ่าเก่าแก่ในหมู่บ้านแล้ว บรรยากาศของดงไม้รกมืดครึ้มจนเย็นยะเยือกอีกทั้งต้นสำโฮงใหญ่หนาพาดกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปกว้างขวางทั่วทุกทิศทุกทางนั้นด้วย
เมื่อถึงเดือนหกเข้าหน้าฝน ชาวบ้านย่านตำบลก็จะมีประเพณีทำบุญเบิกบ้าน จุดบั้งไฟและเลี้ยงเซ่นไหว้ตาปู่เป็นประจำทุกปี ถือกันว่าเป็นประเพณีสำคัญของหมู่บ้านที่จะขาดไม่ได้เลยก่อนลงมือทำนา เท่าที่ผู้เล่าสังเกต แต่ก่อนนั้นอาหารคาวหวานที่ใช้เลี้ยงตาปู่ มักจะเป็นไข่ต้ม ปลาย่าง ข้าวต้มกล้วย ขนมหมกและข้าวต้มใบมะพร้าวเป็นหลัก โดยเฉพาะไข่ต้มนั้นสำคัญมาก เนื่องจากจะมีการปอกเปลือกเสี่ยงทายฝน และทำนายความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารในปีนั้นด้วย
ในประเพณีบุญเบิกบ้านสิ่งที่จะขาดไม่ได้อีกอย่างคือ“ส่วง”ผู้เล่าจำได้แม่นว่า ครั้งถึงเวลารุ่งเช้าที่ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระตรงศาลากลางบ้านก่อนจะพากันมาเลี้ยงตาปู่ที่ศาลปู่ตานั้น นอกจากทุกคนจะมีข้าวปลาอาหารแล้ว ก็จะต้องมีส่วงที่ว่านี้ไปด้วย ผู้เล่าเคยนั่งดูแม่ทำส่วงโดยใช้กาบกล้วยมาหักมุมเป็นกรอบสี่เหลี่ยมใช้ไม้ไผ่เสียบเป็นฐาน รองด้วยกาบกล้วยอีกที และแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมสี่ช่อง แต่ละช่องใส่หมากพลู ยาสูบยาเส้น ขนมข้าวต้ม ข้าวดำข้าวแดง เทียนธูปดอกไม้ และใช้กาบกล้วยตัดสลักทำเป็นรูปคนผู้หญิงผู้ชายหนึ่งคู่ มีหัว มีแขน ขา แล้วนำเศษผ้ามาห่มให้ก่อนจะนำไปวางไว้บนส่วง
เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ฉันเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็จะมารดน้ำพระพุทธมนต์ให้ ทุกคนก็จะนำส่วงไปว่างไว้ตามทางแพร่งทางแยกต่างๆ ภายในหมู่บ้าน ก่อนที่จะแห่กันไปเลี้ยงตาปู่ ที่ศาลกลางดอนปู่ตาแล้วจึงทำการจุดบั้งไฟต่อไป
ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นตัวแทนทำหน้าที่บนศาลปู่ตา มักเป็นคนเฒ่าประจำหมู่บ้านที่ชาวบ้านเคารพนับถือ เรียกกันว่า “เฒ่าจ้ำ” ในสมัยที่ยังเป็นเด็กนั้น “ตานาด” ตาทวดของผู้เล่า ซึ่งมีอายุเกินร้อยปีทำหน้าที่เป็นเฒ่าจ้ำ และตาทวดท่านสามารถสัมผัสติดต่อกับตาปู่ได้! เพราะสมัยต่อมาตอนที่ต้นสำโฮงใหญ่ได้หมดอายุขัยหักโค่นล้มลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งตำบลนั้น ตาทวดได้บอกกับผู้เล่าซึ่งตอนนั้นยังบวชเป็นสามเณรอยู่ว่า
“ตาปู่ไม่อยู่แล้ว เหลือแต่เมียและลูกที่เฝ้าเมืองบ้านไว้ อีกหลายปีกว่าจะกลับมาคืน” ถัดจากนั้นอีกไม่นานกี่ปี ตาทวดก็นอนหลับตานิ่งสนิททิ้งลมหายใจจากไป!
เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ หลังจากผู้เล่าได้ออกจากหมู่บ้านมาหลายสิบปีเมื่อได้กลับไปอีกครั้งก็พบว่า ดอนปู่ตา ถูกปรับพื้นที่เสียจนเตียนโล่ง มีการสร้างศาลาเอนกประสงค์และสร้างศาลปู่ตาขึ้นมาใหม่ ให้มีความกว้างขวางและงดงามสมกับเป็นที่สถิตของรูปปั้นตาปู่หรือปู่ตาอันถูกขนานนามอย่างไพเราะว่า “หลวงอุดมศักดิ์” ซึ่งจนบัดนี้ ผู้เล่าเองก็ยังงงอยู่ว่าใครเป็นคนตั้งชื่อให้ และได้ชื่อนี้มาจากที่ใด!
- READ ดอนปู่ตา
- READ ผีไล่ควาย
- READ ผีต้นบากใหญ่
- READ วิญญาณออนไลน์
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #3
- READ โรงเรียนวิญญาณหลอน
- READ ผีสางนางน้ำบ่อ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ