หลวงพระบางรำลึก ตอน “เงามืดปริศนา”

หลวงพระบางรำลึก ตอน “เงามืดปริศนา”

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

สืบเนื่องมาจากเห็นยูทูบเบอร์ในดวงใจไปเที่ยวเมืองลาวกัน ก็เลยนึกขึ้นมาได้ ว่าเคยไปประสบเหตุขนลุกขนพองที่เมืองหลวงพระบาง เลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟัง

สมัยนั้นมันก็นานมากละ น่าจะประมาณ 14-15 ปี ฉันกับเพื่อนและรุ่นพี่อีกสองคนที่เป็นสามีภรรยากัน ก็มีดำริจะไปเที่ยวหลวงพระบางกัน โดยขึ้นรถโดยสารจากแถวข้าวสารที่เป็นทัวร์กระป๊อกกระแป๊กแบบราคาแบ็คแพ็คเกอร์ ราคาประหยัดแถมตีรถยาวไปให้จนถึงเวียงจันทน์ พวกเราต่อรถไปค้างที่วังเวียงหนึ่งคืน และอีกวันก็ออกเดินทางไปหลวงพระบางด้วยรถตู้โดยสารบนเส้นทางถนนสองโค้งตามที่คนขับรถบอกพวกเรา คือโค้งขวากับโค้งซ้าย ไร้ซึ่งทางตรง..ชวนเวียนหัวสุดๆ จนต้องควักยาแก้เมารถมากินแล้วพยายามหลับไปตลอดทาง

จนไปถึงหลวงพระบาง รุ่นพี่ผู้หญิงก็บอกว่า จองห้องพักไว้ละนะสองคืน เป็นเกสต์เฮ้าส์ราคาดี นอนรวมกันเลยสี่คน ซึ่งฉันก็สบายๆ เพราะเพื่อนอีกคนที่ไปด้วยก็เป็นเพื่อนสาว เราเลยเข้าพักที่นั่นแบบนอนเรียงกันหมดเลยสี่คน การนอนรวมคือความปลอดภัยสำหรับฉันอยู่แล้ว จะให้มานอนห้องเดี่ยวนี่คือ ไม่เอาเด็ดขาด

เกสต์เฮ้าส์ที่ว่าก็เป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน แบบห้องน้ำรวม มีฝรั่งพักอยู่บ้างสองสามคน แต่ห้องที่ฉันนอน เป็นห้องชั้นล่าง ปูที่นอนยาวสำหรับสี่คนนอนเรียง ฉันกับพี่ผู้หญิงก็เลยนอนเป็นไข่แดงตรงกลาง โดยมีเพื่อนฉันอยู่ทางซ้าย ฉัน พี่ผู้หญิง และพี่ผู้ชาย เป็นตำแหน่งที่ลงตัว และ I feel safe คือนอนตรงกลางอบอุ่นใจ ว่าจะไม่โดนอะไรกระโดดมาหลอก

แต่ แต่ แต่..บรรยากาศที่บ้านนั้นมันแปลก มันชื้นๆ อับๆ มีกลิ่นไอประหลาดๆ บอกไม่ถูก ก่อนนอนฉันก็สวดมนต์ไปตามประสา และพยายามจะหลับ เพราะเดินทางมาแบบสาหัสสากรรจ์มาก กำลังจะเคลิ้มๆ ก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ไม่ใช่อาการโดนกดทับหรืออะไร แต่มันเหมือนอากาศไม่พอ แล้วชื้นๆ สาบๆ ได้แต่บอกตัวเองทั้งๆ ที่หลับตาว่า มันเป็นเพราะความชื้นในห้องนี้แน่ๆ ฉันได้แต่นอนพลิกไปมา และแอบเรียกรุ่นพี่เบาๆ ว่าหลับหรือยัง ปรากฎว่า พี่เค้ายังไม่หลับ ก็เลย อ่ะ มีเพื่อน ก็ลุกมานั่งหายใจซักแป๊บ มองซ้ายมองขวา พี่เค้านอนหันหลังให้เรา แต่ก็โอเค สบายใจละ นอนต่อ แต่กว่าหลับได้เต็มที่ เกือบเช้า..มันง่วงจนผล็อยหลับไปเองนั่นแหละ

เช้ามา..พี่ผู้หญิงบอกว่า คืนนี้เราจะย้ายที่พักนะ ไอ้ฉันก็อ้าว เราจองไว้สองคืนไม่ใช่เหรอ พี่เค้าก็บอกว่า อืม แต่ไม่อยากพักต่อละ อยากลองไปพักอีกที่นึง อ่ะ ได้ๆ ฉันก็ว่าดี อากาศที่นั่นมันไม่โอเคสำหรับฉันเลย

พวกเราก็เลยเก็บของออกไปกัน และปรากฎว่า พี่ๆ ก็ยังไม่ได้จองที่ใหม่กันนะ เราก็ไปเดินหา จนได้เกสต์เฮ้าส์อีกที เป็นบ้านปูนหลังใหญ่ แต่รูปทรงอาคารคือแบบยุคฝรั่งเศสเลย ทรงแบบเก่า แต่สภาพมันก็ดูโอเค น่าจะรีโนเวทใหม่ และมีฝรั่งเดินเข้าออกเพียบ ฉันว่าที่นี่ก็ดูโอเค ใหญ่โตโอ่โถงดี อากาศก็น่าจะโฟลว์กว่า เพราะหลังคาสูง ด้วยว่าเป็นบ้านแบบตึกมีสองชั้น  ทุกคนก็เห็นชอบ พักที่นี่ละกัน เอาของไปเก็บก่อน แล้วไปหาข้าวกิน แล้วพวกเราก็ไปนั่งกันที่ร้านพิซซ่าเล็กๆ ที่ห่างออกไปไม่มาก

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ” พี่เปิดฉากสนทนา ฉันก็เลยตอบไปว่า มันหายใจไม่ค่อยออกอ่ะ มันชื้นๆ สาบๆ นอนไม่สบายเลย ขอโทษนะพี่เลยต้องเรียกพี่ดึกๆ เพราะเราพลิกตัวบ่อย

พี่ผู้หญิงก็หันมาตอบว่า “รู้ป่ะทำไมพี่ย้ายที่ ไม่ใช่ว่าอยากเปลี่ยนที่พักอะไรหรอก ที่นี่มันถูกจะตาย แต่เมื่อคืนอ่ะ พี่หันไปทางน้อง พี่เห็นเงาดำๆ นอนทับอยู่บนตัวเรา คือตกใจมาก แต่ร้องไม่ออก แล้วเห็นเรานอนพลิกไปมา อึดอัดๆ ดูหายใจไม่ออก เลยต้องย้ายที่ จริงๆ เกือบย้ายตั้งแต่ตอนหันไปเห็นแล้ว แต่มันดึกแล้วอ่ะ พี่เลยหันหลังไปก่อนเลย ไม่ไหวจริงๆ โคตรน่ากลัว”

“เอ้า ละพี่ไม่บอกเราอ่ะ เรียกเราเลย เราตื่นตลอดนะนั่น แทบไมได้หลับ”

“เอาน่า ย้ายที่แล้ว สบายใจแล้ว คืนนี้น่าจะได้นอนสบายๆ ซักที เดินทางอย่างเหนื่อย”

แล้วพวกเราก็พากันไปเดินช้อปที่กาดซุ่มมืดกันอย่างสบายใจ ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักในเวลาเกือบสี่ทุ่ม

จนเกือบเที่ยงคืนแล้ว พวกเราก็ยังไม่ได้หลับ เพราะฝรั่งที่ทยอยกลับกันเข้ามา บางคนก็เมา บางคนก็ส่งเสียงกับเพื่อนค่อนข้างดัง คือเอาจริงๆ เสียงดังๆ นี่ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันนะ เพราะมันช่วยให้บรรยากาศไม่วังเวงจนเกินไป ฉันก็เลยพยายามจะนอน แต่คืนนี้ เราสลับตำแหน่งกันนอน นังเพื่อนสาวฉัน กลัวเรื่องเมื่อคืนมากเลยขอนอนตรงกลาง ทำให้พี่ผู้ชายก็ต้องย้ายมานอนตรงกลางคู่กัน กลายเป็นสองสาวต้องนอนริม

บรรยากาศที่พักเมื่อกลางวันที่ดูครึกครื้น เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดหลังจากหมู่ฝรั่งพากันไปนอนหมดแล้ว

ในใจฉันคืนนั้น มีความรู้สึกหนึ่งที่บอกกับตัวเองว่า คืนนี้ ไม่รอดแน่ๆ ตู มันมีอะไรไม่รู้บอกอยู่ในหัวว่า ที่นี่ไม่ปลอดภัย แต่คือมันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะดึกมากแล้ว และสมัยนั้นหลวงพระบางยังไม่ได้มีที่พักมากมายเต็มเมืองเหมือนตอนนี้

น่าจะประมาณเกือบตีสาม ฉันที่นอนตะแคงไปทางซ้ายและหันหลังให้เพื่อนอยู่ ก็มีความรู้สึกอึดอัด เริ่มหายใจไม่ออก เริ่มรู้สึกถึงมวลอากาศแน่นๆ รอบตัว จนต้องลืมตาขึ้นมา

สิ่งที่พบคือ เงาสีดำเป็นลักษณะของตัวคน แต่มีช่องลูกตาสีขาว นอนอยู่ข้างหน้า หันหน้ามาประจันกัน

ฉันช็อคจนตัวแข็ง จะเรียกใครก็ขยับตัวแทบไม่ได้ แต่ตอนนั้นบอกได้เลยว่า กลัวมากๆ พยายามสวดมนต์ออกเสียงแต่เหมือนไม่มีเสียงลอดออกมาจากปากเลย ลองสวดในใจก็แล้ว แต่มันผิดๆ ถูกๆ ไปหมด และเงาดำนั้นก็ยังอยู่ข้างหน้า   ก็แทบดูเหมือนจะพยายามแสยะยิ้มให้อีก เลยตัดสินใจฝืนตัวเองขึ้นมาฮึบนึง เอามือควานไปด้านหลังจนแตะตัวเพื่อน ทำให้คลายอาการเกร็งลงไปได้ และผุดนั่งขึ้นมาบนเตียงแล้วหันไปทางขวา เรียกพี่ผู้หญิงที่นอนทางริมโน้นแล้วบอกเค้าว่า

“พี่ๆ เปิดพัดลมให้หน่อย เราร้อน” ยังพูดไม่ทันจบประโยค พี่เค้าก็ลุกขึ้นแล้วกระโดดไปเปิดพัดลมพร้อมเปิดไฟให้เลยทันที

..ไม่ต้องบอกก็รู้ ฉันเห็นแล้วว่าพี่เค้าหน้าซีดมาก คือ สายตาเค้าบอกชัดเจนเลยว่า ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่โดนหรอกนะ พี่เค้าก็น่าจะเจออะไรด้วยเหมือนกัน…

เช้ามา ก็สรุปได้ว่า พี่เค้านอนแล้วหันมาทางฉัน เห็นฉันดิ้นอึกอักๆ ก็เลยลุกขึ้นมาดู แล้วเค้าก็เห็นเหมือนที่ฉันเห็นน่ะแหละ เลยรีบลงไปนอนหันหลังให้ด้วยความกลัว พอฉันเรียก ก็เลยได้สติ เปิดไฟไว้ก่อน และก็ต้องนอนเปิดไฟกันไปทั้งคืนแบบนั้นจนถึงรุ่งเช้า

สรุปว่าสองคืนในหลวงพระบาง บันเทิงมาก ไม่ได้หลับได้นอนกันเลย ..พวกเราเลยตัดสินใจทิ้งตั๋วรถทัวร์ขากลับแล้วยอมควักกระเป๋าซื้อตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ แบบให้ใช้เวลาน้อยที่สุด เพราะเหนื่อยจนเดินทางยาวๆ ไม่ไหวกันแล้ว ไม่ได้หลับได้นอนเลย เจ้าถิ่นต้อนรับกันได้บันเทิงมาก

ตอนนี้ที่พักที่เคยไป น่าจะเปลี่ยนสภาพไปหมดแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าพวกเค้าคงได้ไปอยู่ในที่ดีๆ กันหมดแล้ว ไม่ต้องอยู่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองกันแบบนี้แล้วนะ…

 

Don`t copy text!