1 day trip กรุงรัตนโกสินทร์ : เที่ยววัด ไหว้พระ ยลวัง ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน

1 day trip กรุงรัตนโกสินทร์ : เที่ยววัด ไหว้พระ ยลวัง ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน

โดย : Blossom Hoya

Loading

ไดอารี่เที่ยงวัน by Blossom Hoya กับการบันทึกช่วงเวลาว่างๆ ยามขี้เกียจหลังมื้อกลางวันที่ขอแชร์เรื่องราวอยากเล่าตามใจคนเขียน ไม่มีธีม ไม่มีประเด็นหลัก เพราะเที่ยงวันจะทำอะไรก็ได้ และทุกยามว่างคือเวลาทองแห่งการพักผ่อน … มาเติมพลังชีวิตไปกับอ่านเอาและย่ากันนะคะ

ก่อนหน้านี้เพื่อนสาวชวนย่าไปไหว้พระรอบเกาะรัตนโกสินทร์ แต่บังเอิญติดภารกิจเลยมีอันต้องเท!! แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น เมื่อหนึ่งในสมาชิกที่ครั้งก่อนก็เทเหมือนกันจัดทริปขึ้นมาอีกครั้ง 1 day trip ง่ายๆ เลยเกิดขึ้นในชั่วพริบตา พร้อม 3 สมาชิกเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ไฮไลท์เด็ดอยู่ที่ว่า บังเอิ๊ญญญ มีงาน “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” (หรือถ้าใน English Version ก็คือ “The 240th Anniversary of the Foundation of Rattanakosin”) เราก็เลยขอรวบตึงทันที

สาวๆ นัดกันตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพื่อนั่งรถรางชมเมืองในยามใกล้ๆ สายเพราะหวังใจว่าอากาศจะไม่ร้อนมาก พวกเราไปรอขึ้นรถรางที่ประตูวิมานเทเวศน์ ซึ่งเป็นประตูชั้นนอกพระบรมมหาราชวังด้านทิศเหนือ สังเกตง่ายๆ คือ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศิลปากร … รอไม่นานรถรางก็มาเทียบ ซึ่งจะทยอยๆ มา จากทั้งหมด 4 ขบวน ออกทุกๆ 20 นาที รอบนึงใช้เวลาวิ่งประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางมีจุดให้แวะขึ้น-ลงราวๆ 6-7 จุด เผื่อว่าใครอยากลงไปชมสถานที่สำคัญหรือแวะถ่ายรูปตรงจุดไหนก็ลงไปได้ จากนั้นรอสักพักก็จะมีรถรางคันต่อไปผ่านมา เราก็แค่โดดขึ้นไป สบ๊ายยยยสบายอ่ะ

ศาลหลักเมือง

ทุกคันจะมีเจ้าหน้าที่เป็นไกด์เล่านั่นนี่ให้ฟัง และไม่เพียงเท่านั้น ยังแนะนำสถานที่น่าแวะเป็นพิเศษให้ด้วย อย่างครั้งนี้ น้องเจ้าหน้าที่แนะนำให้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมเพราะปกติจะไม่เปิดให้เข้าชมทั่วไปต้องจองมาเป็นหมู่คณะเท่านั้น

รถรางเคลื่อนตัวจากท่าช้าง ท่าเตียน ถนนราชดำเนิน พอถึงศาลหลักเมือง ย่าและอีกสองสาวก็ขอลงตรงนี้เพื่อกราบสักการะ และตั้งใจว่าไหว้เสร็จจะได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมที่อยู่ติดกันต่อทันที แต่ปรากฎว่าต้องจองออนไลน์มาล่วงหน้าจ้า เลยขอลงชื่อและเบอร์โทรไว้สำรองคิว เผื่อว่ารอบเข้าชมตอน 11 โมงจะมีคิวว่างให้เสียบ ช่วงที่รอเลยตกลงกันว่า เข้าไปกราบพระแก้วมรกตกันดีกว่า แต่ปรากฏว่า จุดทางเข้าที่ต้องลงทะเบียนอยู่ใกล้ๆ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งหนึ่งในสามสาวยังไม่เคยมาเยือนเลยสักครั้งก็เลยเอาซะหน่อย แล้วค่อยเข้าไปกราบสักการะพระแก้วมรกต

พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พัดสิ่งล้ำค่ามากๆ ในทริปนี้

นับตั้งจุดทางเข้า สามสาวก็ได้ของที่ระลึกสุดแสนจะดีงามติดไม้ติดมือกันมาทั้งสิ้น 3 สิ่ง เริ่มจากตอนลงทะเบียน เราได้รับพิมเสนและเจลแอลกอฮอล์พระราชทาน พอเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ก็ได้ของที่ระลึกอีกสิ่ง นั่นก็คือ พัด!! ที่เรียกได้ว่า เป็นสิ่งล้ำค่ามากๆ ในทริปนี้ ก็อากาศเดือนนี้ และในยามนี้ช่างร้อนระอุสุดจะทน!!

ส่วนที่กำลังลุ้นว่า คิวสำรองที่ลงไว้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมจะได้ไหม ปรากฏว่าหลังจากที่กราบสักการะพระแก้วมรกตเสร็จ ระหว่างกำลังเดินชมจิตรกรรมฝาผนังอยู่นั้น พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เจ้าหน้าที่โทรฯ มาแจ้งว่าสามสาวได้คิวอย่างใจหวัง ทีนี้ทำไงล่ะ!! วิ่งสิคะ วิ่งงงงง แต่ด้วยอายุอานามที่ไม่ใช่สาวรุ่นเหมือนเมื่อตอน 20 ปีก่อน แม้จะตั้งใจออกวิ่งด้วยความเร็วชนิด 4×100 ก็คงไม่นำพา ไม่ใช่แค่เรื่องแข้งขาหรือเรี่ยวแรง แต่เพราะถนนหน้าวัดก็ห้ามเดินผ่าน   ถ้าจะไปให้ถึงอย่างไวคงเรียกบริการเสริม ว่าแล้วก็โบกแท็กซี่ให้ไวเลยจ้า

ตอนที่เราไปถึงวีดิทัศน์ที่ฉายให้ชมในช่วงแรกจบไปแล้ว แต่ก็ถือว่ายังโอเค เพราะทันเข้าชมห้องแรกพอดี เราใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างเยอะ แถมคุณพี่ทหารที่นำชมก็อธิบายเล่าเรื่องต่างๆ ได้ละเอียดมากกกก นอกจากจะได้ความรู้กลับมาแน่นๆ ยังได้เห็นความสวยงามของลวดลายประดับก้นหอยและลายไทยประดับมากมาย

เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหมก็ปรึกษากันว่าไปไหนต่อดี สุดท้ายลงตัวที่ไปพักเติมพลังกันก่อน เลยโผล่ไปชะโงกหน้าถามคิวที่ร้านอาหารเวียดนามอันเลื่องชื่อ Tonkin – Annam ตรงท่าเตียน ประมาณว่าเผื่อฟลุคมีที่นั่ง เพราะร้านนี้ส่วนใหญ่ต้องจองมาก่อน แล้วชีวิตก็ไม่ฟลุคเหมือนตอนได้คิวชมพิพิธภัณฑ์ เพราะ ไม่มีที่นั่งสำหรับสาวๆ ที่ walk-in ก็เลยไปจบที่ร้านโรงรสแทน

จุดเด่นของร้านนี้คือ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เรากินไปชมความงามพระปรางค์วัดอรุณไปได้พร้อมๆ กัน ซึ่งถ้าจะให้ฟินเต็มขั้นต้องนั่งโต๊ะติดริมแม่น้ำ จะได้มองวิวอีกฟากฝั่งแบบไม่มีหัวคนบัง แล้วก็โชคดีเป็นของเราที่ตอนนั้นยังไม่มีลูกค้านั่งโต๊ะริมหน้าต่าง ก็เลยเสร็จสาวๆ อิอิ

 

อิ่มท้องแล้วไปต่อที่วัดโพธิ์ กราบพระนอนขอพรความรักสักหน่อย!! อ่ะๆๆ อันนี้ย่าพูดจริงๆ เพราะมีความเชื่อกันว่า นอกจากการกราบสักการะที่ปลายเท้าอธิษฐานขอพรให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข มีโชคลาภและขอพรให้การงานสำเร็จแล้ว ถ้าขอพรเรื่องความรักก็ว่ากันว่าจะสมหวัง โดยเฉพาะสาวโสดที่อายุเกินวัยมีคู่แต่ยังไม่มีคู่ จะได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ที่ย่ารู้คือขอพรไปแล้ว แต่ไม่ใช่คนรักแบบชีวิตคู่หรอกนะคะ ขอให้มีคนรักคนเมตตาในชีวิตก็พอ (แหม…เรื่องคู่อ่ะเนอะ จะมาก็มาชะมะ ฮือออออ)

ตะลุยรอบเกาะฯ มาตั้งแต่เช้า แต่ทริปนี้ยังไม่จบ ก็อย่างที่บอกแต่แรกว่า ไฮไลท์อยู่ที่งานใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ ที่วางแผนไว้ว่าจะไปในช่วงเย็นย่ำ งั้นพักเอาแรงสักนิดละกัน ไหนๆ ก็อยู่กันที่วัดโพธิ์แล้ว จะไม่นวดได้ไง จัดไปค่ะ นวดเท้า 1 ชั่วโมงที่โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดเชตุพน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า นวดวัดโพธิ์ เรื่องว่านวดดีไหม สะอาดหรือเปล่าไม่ต้องห่วง เพราะหมอทุกคนผ่านการอบรมมาแล้ว และมีระเบียบในการปฏิบัติตัวเพื่อความปลอดภัยในสถานการณ์โควิด-19 อย่างดี

ผลที่ได้คือ สาวๆ หลับสนิทตั้งแต่ 5 นาทีแรก คือเรียกว่า เติมพลังกันไปเต็มๆ

ตื่นจากหลับใหลอารมณ์ผ่อนคลาย ยังมีเวลาเหลือพอที่จะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดอรุณฯ ก็เลยไม่รอช้า จ่ายเงินคนละ 4 บาท นั่งเรือข้ามฟากไปไหว้ทันที เสร็จแล้วไม่อ้อยสร้อยเพราะ 16.30 น. สาวๆ ต้องไปลงทะเบียนร่วมกิจกรรม “เปิดพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืน” หรือให้เข้าใจง่ายๆ คือ เราจะได้เดินชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืนโดยมีวิทยากรนำชมแบบฟรีๆ พวกเราเลือกรอบ 18.30 น. เพื่อว่าระหว่างรอจะได้จัดมื้อเย็นกันก่อน เดินชมยามค่ำจะได้ไม่มีเสียงท้องร้องให้อายเพื่อนร่วมกรุ๊ปเข้าชม

พระปรางค์วัดอรุณฯ

และที่ย่าบอกว่า ไฮไลท์อยู่ที่งานนี้ ก็เพราะเป็นกิจกรรมพิเศษเฉพาะช่วงการจัดงานนี้ คือแค่วันที่ 20-24 เม.ย. 65 และไม่รู้ว่าปีหน้าจะจัดอีกไหม แต่ละวันนำชมแค่ 3 รอบ ซึ่งแม้จะเป็นเวลาเพียง 1 ชั่วโมงโดยประมาณ สำหรับคนที่มีเวลาน้อยมากๆ ถือว่าคุ้ม!! เพราะได้ชมโบราณวัตถุที่เป็นมรดกสำคัญๆ ของชาติถึง 10 ชิ้น นั่นก็คือ พระพุทธสิหิงค์ จัดแสดง ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์, พระคเณศ และ พระปัทมปาณีโพธิสัตว์  จัดแสดงห้องศรีวิชัย อาคารมหาสุรสิงหนาท, ตะเกียงโรมัน จัดแสดงห้องเอเชีย อาคารมหาสุรสิงหนาท, พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา จัดแสดงอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์, พระหายโศก จัดแสดงห้องล้านนา อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์, ศิลาจารึกหลักที่ 1 และ พระอิศวร จัดแสดงห้องสุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์, พระมหาพิชัยราชรถ จัดแสดงที่โรงราชรถ และ พระที่นั่งบุษบกเกริน จัดแสดง ณ พระที่นั่งอิสราวินิจฉัย

นอกเหนือจากโบราณวัตถุที่แสนจะมีค่า อย่างหนึ่งที่ย่าสัมผัสได้คือ รูปโฉมใหม่ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ที่ต่างไปจากเมื่อก่อนตอนที่ย่าเคยเข้าชมเมื่อตอนเป็นนักศึกษา เพราะมีการปรับปรุงห้องต่างๆ ให้มีความเป็นสากลมากกว่าเดิม การจัดแสดงโบราณวัตถุตามยุคต่างๆ ระบบแสงสีและบรรยากาศที่ชวนให้เดินดูไปเรื่อยๆ แบบไม่มีหลงทาง ใครที่ยังไม่เคยมาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครที่ปรับโฉมแล้ว ขอแนะนำให้มา แต่ต้องเคลียร์เวลาว่างทั้งวันนะคะ จะได้เดินดูแบบครบๆ

ในการมาเยือนของเราสามสาว ย่าสังเกตว่า คนที่มางานนี้มากมายล้นหลามจริงๆ และเรียกได้ว่ามีทุกเพศวัย บางคนก็ใส่ชุดไทยจัดเต็ม บางคนก็ไทยเบาๆ เพียงซิ่นสวยๆ ผืนเดียวก็เอาอยู่ ในงานนี้ยังมีขนมไทยอร่อยๆ ให้ไปลิ้มลอง แต่ที่ย่าเห็นว่าคนต่อคิวยาวมากมายคือ ร้านขนมบ้าบิ่นจากน้ำตาลมะพร้าวที่คิวยาวเฟื้อยยยยยย และแน่นอนค่ะว่า เห็นคนอื่นต่อคิวขนาดนี้ ต่อมอยากรู้ว่ารสชาติจะคุ้มค่ากับเวลาและลำแข้งที่ต้องทนยืนในแถวยาวไหมก็ทำงานทันที หนึ่งในสามสาวจึงอาสารอต่อคิว และความพยายามอยากลิ้มรสของเธอคนนี้ก็เป็นผล ขนมบ้าบิ่น 12 ชิ้นพอดีคำ ในราคา 60 บาทไทยก็มาอยู่ในครอบครองของเธอจนได้!

บ้าบิ่นในความทรงจำ!

แต่เพราะรอนอนกว่าจะได้ขนมมา งานใกล้เลิกเลยสรุปว่า มานั่งเล่นนั่งกินขนมรับลมยามค่ำคืนพร้อมๆ กับชมวิววัดพระแก้วที่ท้ายรถกันดีกว่า ซึ่งเฉพาะงานนี้ได้จอดฟรีๆ ที่ท้องสนามหลวง แต่คุณพระ…ไม่รู้ว่าชื่นชมในโบราณวัตถุนานไปหรือยังไง มือเพื่อนสาวถึงได้สั่นซะจนขนมที่สู้อุตส่าห์ต่อคิวมายาวนานครึ่งค่อนชั่วโมงก็ร่วงหล่นหกลงพื้นที่ท้ายรถทั้งถุง!!

สามสาวมองตากันปริบๆ แล้วนาทีวัดใจก็เกิดขึ้น!!

กินหรือไม่กินดีล่ะ !!  😋

 

หมายเหตุ : พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เปิดให้เข้าชมในวันพุธ-อาทิตย์  และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ยกเว้นเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์) เวลา 09.00-16.00 น.

ค่าเข้าชม : คนไทย 30 บาท ,  ชาวต่างประเทศ 200 บาท

ยกเว้นค่าเข้าชม : เด็ก / นักเรียน / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป / พระสงฆ์ / สมาชิก ICOM ICOMOS (แสดงบัตร)

 

Don`t copy text!