ถึงเวลา “เติมปุ๋ยให้ชีวิต” ณ บ้านท้องนา สนามบินสุโขทัย
โดย : Blossom Hoya
ไดอารี่เที่ยงวัน by Blossom Hoya กับการบันทึกช่วงเวลาว่างๆ ยามขี้เกียจหลังมื้อกลางวันที่ขอแชร์เรื่องราวอยากเล่าตามใจคนเขียน ไม่มีธีม ไม่มีประเด็นหลัก เพราะเที่ยงวันจะทำอะไรก็ได้ และทุกยามว่างคือเวลาทองแห่งการพักผ่อน … มาเติมพลังชีวิตไปกับอ่านเอาและย่ากันนะคะ
ช่วงเวลาที่ฝนตกลงมาแบบเดาทางไม่ได้อย่างนี้ กลายเป็นสัญญาณบอกกับย่าว่า ถึงเวลาพัก จงเก็บกระเป๋าและออกเดินทาง สรรหาพลังจากธรรมชาติเข้าสู่ร่างกายเดี๋ยวนี้นะ!!
พลังธรรมชาติที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่ร่างกายของย่าในครั้งนี้ คือ พลังของสีเขียวในท้องทุ่ง พลังของกลิ่นดินปนกลิ่นขี้ควายอ่อนๆ ที่โชยมาอย่างยากจะปฏิเสธ และพลังของรอยยิ้มจากคนแปลกหน้าที่ทำให้อุ่นใจและหลับสนิทราวกับนอนอยู่ที่บ้านของตัวเอง…ศูนย์รวมพลังงานในครั้งนี้ “โครงการเกษตรอินทรีย์ สนามบินสุโขทัย” พื้นที่ที่มีพลังธรรมชาติให้สาวเมืองกรุงอย่างย่าได้รับพลังไปเกินร้อย
ยังไม่ทันที่เครื่องบินจะลงจอดดี ความตื่นตาตื่นใจก็เกิดขึ้นจากฝูงม้าลายตัวแน่นๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณสวนสัตว์ที่ติดกับสนามบินสุโขทัย พอรับกระเป๋าเสร็จ ลากๆๆ ไปไม่ถึง 10 เมตรก็มีหนุ่มล่ำน้ำใจงามเข้ามาช่วยลาก อร้ายยยย ไม่ใช่หนุ่มที่ไหน แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของ ‘บ้านท้องนา’ ซึ่งเป็นเรือนนอนของย่าในช่วงเวลา 2 คืน 3 วันนับจากนี้
‘บ้านท้องนา’ คือชื่อของที่พักซึ่งอยู่ในโครงการเกษตรอินทรีย์ เป็นบ้านไม้สองชั้นแบบท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวของทุ่งนาและต้นไม้สารพัดชนิด มีบึงกว้างใหญ่ให้ได้สัมผัสถึงไอน้ำและไอหมอกในตอนเช้า แค่ช่วงนั่งรถรางจากสนามบินมาที่นี่ ก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ลงไปเดินในทุ่งกว้าง ยิ่งได้เห็นน้องควายตัวขาวๆ ส่งสายตาแบบเว้าวอน ยิ่งมั่นใจได้เลยว่า เธอกับฉัน เราจะต้องได้เจอกันแบบแนบชิดในวันพรุ่งแน่นอนจ้ะ
บนเรือนไม้สองชั้นมีห้องให้เลือก 2 ขนาดคือเล็กและใหญ่ นอกจากนี้ยังมีบ้านพักแบบหลังๆ ให้เลือกอีก 2 แบบ คือ “บ้านกลางนา” ตั้งอยู่กลางน้ำ และ ‘บ้านชาวนา’ ตั้งอยู่ริมตลิ่ง ในห้องมีของให้ครบ ในตู้เย็นไม่ได้มีให้แค่น้ำเปล่า แต่จัดมาพร้อมทั้งน้ำสมุนไพรที่เป็นผลิตภัณฑ์ของโครงการเกษตรอินทรีย์และมินิบาร์ที่กินได้แบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม พร้อมกันนี้ในราคาที่จ่ายยังรวมอาหารเช้าเข้าไปด้วย คุ้มมากมายอ่ะขอบอกกกกก
ที่บ้านท้องนา มีกิจกรรมให้ทำเพียบ ใครที่คิดว่าตัวเองไม่ใช่สายกิจกรรม จะติดหนังสือไปสักเล่ม นั่งๆ นอนๆ อ่านกลางทุ่งนาก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใครที่อยากสัมผัสวิถีธรรมชาติที่ไม่เพียงสอนให้รู้ว่าข้าวปลูกยังไง ผักสวนครัวดูแลแบบไหน หรือแม้แต่อยากเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ที่นี่มีให้ครบ อยากจะทำกิจกรรมอะไรบอกได้ แต่ที่ย่าขอแนะนำและอยากให้ลองก็คือ ถอนกล้าและดำนาแบบชาวนาไทยของจริง!
เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ไม่ต้องเตรียมมาเองให้หนักกระเป๋า เพราะในห้องจะมีชุดมอฮ่อมเตรียมพร้อมไว้ให้เรียบร้อย แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ลงมาตะลุยท้องนาพร้อมกับเจ้าหน้าที่คนเก่งที่ทำหน้าที่สอนวิธีการถอนกล้าดำนาให้แบบไม่มีกั๊ก เดินๆ ไปเจอเจ้าควายเผือกหนึ่งตัวนอนบ่นอะไรงึมงำตลอดเวลา พอคุยด้วยมันก็บ่นๆๆ ออกมา ย่าเลยขอสืบสักหน่อย สรุปคือน้องชื่อ “ขาวผ่อง” เป็นควายเผือกตัวสีขาวอมชมพูชอบนอนบ่นเป็นกิจวัตร ใครที่ไปตะลุยท้องนาหรือแค่เดินเล่นก็จะได้เจอตัวจริงของขาวผ่องแน่นอนค่ะ
กิจกรรมถอนกล้าดำนาที่ว่านี้ ไม่ได้ให้ทำแค่พอรู้หรือทำการแสดงเพื่อถ่ายภาพกลางทุ่งนะคะ เพราะเป็นการดำนาจริงๆ และถ้าข้าวที่คุณปลูกไว้โตพร้อมเกี่ยว ทางโครงการก็จะเกี่ยวให้ แล้วจัดส่งให้คุณได้กินข้าวซึ่งเป็นผลผลิตจากสองมือของคุณอีกด้วย
ส่วนใครที่ไม่อยากดำนา อาจเดินชมโรงสีข้าวและลองคัดข้าวด้วยมือของคุณเองก็ได้ เสร็จแล้วถ้าอยากชมแปลงผักเกษตรอินทรีย์ก็ขอให้บอก คุณเจ้าหน้าที่จะพาไปชมพร้อมแนะนำการทำปุ๋ยจากมูลไส้เดือนให้ได้เรียนรู้แบบรวบรัด
ความเจ๋งของโครงการเกษตรอินทรีย์และบ้านท้องนาที่ย่าจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ เรื่องของอาหารและพิพิธภัณฑ์ค่ะ
ตลอด 2 คืน 3 วันของย่า กินอิ่มนอนหลับแบบไม่ต้องไปไหนให้เสียเวลาคือสิ่งที่เลิฟสุดๆ พอตื่นเช้ามาก็มีอาหารเช้าที่ไม่เหมือนใครให้เลือกกิน ขอบอกก่อนว่าไม่ใช่เมนูอาหารหรูหรา แต่เจ๋งตรงที่จัดมาเป็นกึ่งๆ บุฟเฟ่ต์ภายใต้บรรยากาศเป็นกันเองที่ให้ความรู้สึกคืนสู่วิถีชีวิตเรียบง่ายที่ยังได้กินของดีหน้าตาสวยงาม เพราะจัดวางอาหารคำเล็กคำน้อยในกระทงใบตอง ทำให้หยิบกินง่าย ได้ลองชิมหลายอย่าง แถมวัตถุดิบยังปลอดภัยเพราะมาจากโครงการเกษตรอินทรีย์ล้วนๆ
พอถึงมื้อกลางวันก็ไม่ต้องไปไหนไกล แค่เดินจากห้องพักนิดเดียวก็ถึง “ครัวสุโข” เลือกสารพัดเมนูให้อิ่มท้องสุขใจไปอีกมื้อและจะดีมากมายถ้ากินมื้อกลางวันพร้อมๆ กับจิบไวน์มะยงชิด ซึ่งเป็นผลผลิตจากโครงการฯ เช่นกัน และถ้าไปที่นี่ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีตลาดนัดย่อมๆ ให้ได้ซื้อสินค้าพื้นถิ่นและสินค้าเกษตร ส่วนถ้าใครบอกว่ายังช้อปไม่จุใจ ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงสินค้าเกษตรแปรรูปดู ขอบอกว่ามีเยอะมาก ทั้งข้าวสารอินทรีย์ มะม่วงกวน มะยงชิดกวน น้ำสมุนไพรต่างๆ อ้อ..ไม่ต้องกังวลนะคะว่าจะเอาขึ้นเครื่องลำบากหรือต้องแพ็กเอง เพราะที่นี่จัดการแพ็กให้อย่างมืออาชีพ
ในบริเวณบ้านท้องนา โครงการเกษตรอินทรีย์ สนามบินสุโขทัยแห่งนี้ ยังมีจุดไฮไลท์อีกหนึ่งจุดใหญ่ๆ นั่นคือ โซนพิพิธภัณฑ์สนามบินสุโขทัยที่ไม่ได้มีแค่อาคารเดียว เพียงแต่อาคารไหนเปิดบ้าง ขอแนะนำให้โทรมาแจ้งล่วงหน้าก่อนนะคะ
ส่วนจะมีพิพิธภัณฑ์อะไรบ้าง ขอหยอดไว้นิดๆ ว่า มีทั้ง “พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์” สุดยิ่งใหญ่อลังการ โดยเฉพาะซากดึกดําบรรพ์ที่หลากหลายในสภาพสมบูรณ์จากทั่วทุกมุมโลก “พิพิธภัณฑ์ช้าง” ที่พาย่าเข้าสู่อาณาจักรช้าง ซึ่งที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์แห่งเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คิดดูนะคะ ที่เคยรู้ว่าช้างตัวใหญ่ยักษ์ ได้มารู้ความจริงว่าช้างตัวแรกมีขนาดเท่าตัวกระต่ายเท่านั้นก็เพราะมาเที่ยวที่นี่ล่ะค่ะ
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ห้ามพลาดคือ “พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน” ซึ่งรวบรวมเองซากดึกดำบรรพ์ของต้นไม้ที่กลายสภาพเป็นหินมาไว้ด้วยกัน และไม่ได้มีแค่ชิ้นสองชิ้น เพราะมีเพียบ โดยมาจากนานาชาติ ทั้งพม่า ชวา ตุรกี หรือรัฐต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา
เป็นอย่างไรบ้างคะ อ่านถึงตรงนี้แล้วอยากตีตั๋วขึ้นเครื่องไปสุโขทัยกันเลยไหม ถ้าอยากพักกาย กินอาหารอร่อยที่ดีต่อสุขภาพ หลีกหนีความวุ่นวาย และอยากเพิ่มพลังชีวิตละก็ ลองแวะมาดูที่บ้านท้องนา โครงการเกษตรอินทรีย์ สนามบินสุโขทัยนะคะ แล้วคุณจะเลิฟสุโขทัยอย่างที่ย่าเลิฟฟฟฟฟ
*อยากเข้าพัก บ้านท้องนา สนามบินสุโขทัย ติดต่อได้ที่ โทร. 055-647-196 หรือเข้าไปดูที่ FB : บ้านท้องนา สนามบินสุโขทัย – Banthongna ได้เลยค่ะ
- READ ดูไม๊ ดู๊...ว่าด้วยเรื่อง “ขนมดู”
- READ ถึงเวลา “เติมปุ๋ยให้ชีวิต” ณ บ้านท้องนา สนามบินสุโขทัย
- READ 1 day trip กรุงรัตนโกสินทร์ : เที่ยววัด ไหว้พระ ยลวัง ชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน
- READ โกทูสุราษฎร์ฯ กับภารกิจมู 3 วัดดัง
- READ ทำไมต้องเรียกว่า??
- READ หมากพลู ปูนแดง ยาเส้นและคุณยาย
- READ ลงตัวที่ชามเดียว ‘เตี๋ยวไก่’ จกสูตร
- READ ครั้งแรกของย่ากับขนมไข่ฝรั่งเศส “Madeleine”