โกทูสุราษฎร์ฯ กับภารกิจมู 3 วัดดัง

โดย : Blossom Hoya

Loading

ไดอารี่เที่ยงวัน by Blossom Hoya กับการบันทึกช่วงเวลาว่างๆ ยามขี้เกียจหลังมื้อกลางวันที่ขอแชร์เรื่องราวอยากเล่าตามใจคนเขียน ไม่มีธีม ไม่มีประเด็นหลัก เพราะเที่ยงวันจะทำอะไรก็ได้ และทุกยามว่างคือเวลาทองแห่งการพักผ่อน … มาเติมพลังชีวิตไปกับอ่านเอาและย่ากันนะคะ

เครียดอยู่กับงานกันมาทั้งปี ถึงเวลาได้พักบ้าง ครั้งนี้จึงจอผ่อนคลายสักนิด กับเทริปเที่ยวสุราษฎร์ฯ พร้อมเป้าหมายภารกิจมู 3 วัดดัง

“วัดเจดีย์” มาแน่นอน เพราะดังสุดๆ กับความศักดิ์สิทธิ์ของไอ้ไข่ ย่าคงไม่ต้องบอกว่า ไปไหว้ต้องทำยังไง แต่เก็บเกี่ยวเคล็ดลับมาบอกกันดีกว่า คือ การจะไปไหว้ไอ้ไข่ให้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เดินดุ่มๆ เข้าไปไหว้ไอ้ไข่ทันที แต่ให้เดินเข้าอุโบสถที่อยู่ทางซ้ายมือก่อนเดินไปตรงจุดวางของไหว้ ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปอยู่ 2 องค์ คือ พระพุทธรูปองค์สีขาวและองค์สีดำที่มีป้ายบอกว่าว่า ห้ามปิดทอง!!

แล้วจังหวะพอดีช่วงที่ย่าไป มีให้ปิดทองลูกนิมิตพอดี โดยนิมิตลูกเอก ซึ่งเป็นลูกที่มีความสำคัญมากเพราะถือเป็นประธานของลูกนิมิตทั้งหมด ตั้งอยู่ใจกลางอุโบสถพอดี เนื่องจากเวลาฝังลูกเอกนี้ก็จะฝังที่ตรงตำแหน่งที่ว่าเลย ขอให้ความรู้เบาๆ อีกนิด คือบางคนเรียกตำแหน่งนี้ว่า “สะดือโบสถ์” ส่วนอีก 8 ลูกที่เหลืออยู่รอบนอกอุโบสถ บางคนไม่รู้ว่ามีลูกเอกอยู่ตรงนี้ ก็ปิดแต่ด้านนอก วนไปรอบนับเท่าไหร่ก็ไม่ครบ 9 ลูกเพราะแบบนี้แหละ อ้อ…เรื่องความของลูกนิมิตทั้ง 9 มีมาให้อ่านในคอลัมน์ Lifestyle ด้วยนะคะ

หลังจากไหว้พระในอุโบสถแล้วถึงได้ออกไปไหว้ไอ้ไข่ บริเวณนี้ก็เริ่ดนะคะ เพราะมีทีมงานคอยแนะนำว่า “แก้บน” หรือ “ขอพร” ต้องทำยังไง เนื่องจากว่าเขาแบ่งให้ไหว้คนละจุดเลยค่ะ จากการสังเกตของย่านะ โต๊ะวางของไหว้จะเป็นโต๊ะที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่คนมาแก้บนจะมีการจุดธูปปักของไหว้ด้วย ส่วนคนที่มาของพรไม่ต้องปักธูป พอวางเสร็จก็เดินไปไหว้ ไหว้เสร็จถ้ามีประทัดก็เดินไปลาแล้วเอาไปส่งให้ตรงจุดรับประทัด ก็จะมีเจ้าหน้าที่จัดการให้ สำหรับเลขหางประทัดที่นักเสี่ยงโชครอคอย เขาจะให้เรามาตั้งแต่ตอนแกะกล่องประทัดเตรียมไปจุดเลยค่ะ เนื่องจากน่าจะจุดพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ทีละกล่องอะไรแบบนั้น แหม…คนถวายประทัดเพียบบบบ ถ้าจะจุดทีละกล่องคาดว่าไม่น่าทัน

แต่สิ่งที่ย่าสงสัยจนถึงกับเอ่ยปากถามคนแถวนั้นว่า เอิ่ม…มีรูปปั้นไอ้ไข่หลายจุด แล้วรูปปั้นไหนเป็นองค์แรก ทุกคนต่างชี้ว่าอยู่ตรงศาลาที่เดินผ่านมาตรงทางเข้า พอจะออกก็ต้องผ่านอีกครั้ง แล้วความตาวาวก็ทำงานทันที เพราะตรงจุดนั้น มีมอเตอร์ไซค์สีแดงคันโตและของอื่นๆ ที่คนนำมาถวาย!!

ออกจากวัดเจดีย์ ก็ไปมูต่อที่ “วัดยางใหญ่” ซึ่งใครต่อใครบอกว่าที่นี่เด่นมากเรื่องเสริมดวง เมตตามหานิยม ค้าขายดี มีโชคลาภ แต่ถ้าใครจะมาขอพรตาพรานบุญให้สมหวัง เขาว่ากันว่า ต้องมีสัจจะ ละเว้นความชั่ว ถ้ามองอีกมุมคือกุศโลบายในการดำเนินชีวิตนั่นล่ะ เพราะถ้ามีสองอย่างนี้กับทุุกอย่างในชีวิต เครื่องรางหน้ากากพรานบุญที่หลายคนบอกต้องมีกลับไปคงไม่จำเป็น ฉะนั้น เคล็ดลับสายมูสำหรับการไปไหว้ที่วัดยางใหญ่ก็คงเป็นเรื่องที่บอกไปนี่ล่ะค่ะ

วัดสุดท้าย อยู่ในอำเภอสิชล อำเภอที่เรามีจุดหมายการมาเยือน 2 อย่างคือ เจ๊ใหญ่ในทริปอยากไปเห็นหาดสิชลกับตา เพราะสมัยสาวๆ เมื่อราว 60 กว่าปีก่อนเกือบจะได้มาแล้ว แต่อาเตี่ยไม่ยอม เลยฝังใจว่า ชีวิตนี้ต้องมาให้ได้!!

ส่วนอีกจุดหมายยังคงคอนเซ็ปตอบสนองสายมู กับการเดินทางไปไหว้ท้าวเวสสุวรรณที่ “วัดสุชน” ของไหว้ก็เหมือนวัดอื่นๆ คือมีจำหน่ายภายในวัด แต่ที่เป็นเคล็ดลับแบบไม่ค่อยมีคนรู้เท่าไหร่ก็คือ เวลาที่จะขอพร ไม่ใช่แค่ยกมือพนมเท่านั้น แต่ต้องจับที่กระบองที่ท่านถือตรงหน้าแล้วอธิษฐาน และคาถาที่ถือว่าเป็นหัวใจในบทสวดที่มีคนเคยบอก คือ ตรงคำว่า “เวสสะ พุสะ” ต้องออกเสียงให้ชัดด้วยนะจ้ะ

อ้อ..ที่นี่จะมีพิธีจุดเทียนแดงและเขียนเทียบแดงสักการะ ขอพรท้าวชัมภลธนบดีศรีธรรมราชด้วยนะคะ ใครได้ไปที่วัดสุชนลองสอบถามดูได้ แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะไปที่วัดไหน ย่าขอบอกว่า ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ อย่างย่าไปเนี่ย เน้นว่าคนร่วมทริปอยากไปไหนก็ไปด้วย ไหว้พระสักการะได้ทุกที ไม่มีลบหลู่

มูกันสั้นๆ แค่ 3 วัดพอเป็นพิธี ขอทิ้งท้ายรวบตึงร้านอาหารที่ย่าไปกินมาแล้วประทับใจมากกกก ประทับใจสุดๆ ให้ได้รู้ เผื่อใครเคยได้ยินชื่อเสียงแล้วยังลังเล ขอบอกเลยว่า ไปเถอะ อร่อย ไม่ผิดหวัง แต่อาจต้องรออาหารสักหน่อย คริๆๆ

ร้านแรกและมื้อแรกที่ไปฝากท้องคือ “ภัตตาคารฉ่ายฮวย” ร้านอาหารจีนแบบที่เรียกว่าอาหารเหลา เป็นร้านนอกแผนเพราะร้านอื่นที่เป็นมือวางอันดับหนึ่งและสองไม่เปิดซะงั้น มาเจอร้านนี้ก็เข้าละกัน ปรากฏว่า ว้ายยยย อร่อยคร่ะ!!

แต่อย่างที่บอกว่าใจเย็นหน่อย เพราะร้านออกตัวไว้แต่แรกว่าอาหารไม่เร็ว ถ้าอยากกินของอร่อยต้องใจเย็นๆ เอาจริงๆ ย่าคิดนะว่า ถ้าให้รอแล้วไม่เริ่ดมีวีน! แต่ทุกจานที่ทยอยออกมาเริ่ดมากกกกกก แล้วก็ไม่ได้ออกอาหารช้าเกินกว่าจะรอได้ เพราะด้วยปริมาณลูกค้าทำให้เข้าใจไม่ยาก อีกประเด็นคือ เมนูที่สั่งไปก็มีส่วน เพราะอย่าง “ปลาจาระเม็ดขาวนึ่งเกี้ยมบ๊วย” ตัวโตมาก เนื้อสด ถ้านึ่งไม่สุกทั่ว เขาก็ไม่เสิร์ฟ เมนูแรกที่ออเดอร์ไปเลยกลายมาเป็นเมนูสุดท้ายที่กินแบบเหลือแต่ก้างจริงๆ

ร้านเด็ดอีกร้านที่มีความพิเศษและแสนจะประทับในเป็นร้านน้ำชาค่ะ ชื่อร้าน “เลี่ยนไถ่” ไม่มีป้ายร้านให้เห็น แต่คนยืนรอกับพรึบ! ความที่เป็นคนต่างถิ่น ย่าก็ไม่รู้ว่า เจ้าของร้านเขาให้คำจำกัดความร้านว่า ร้านน้ำชา ไม่ใช่ร้านขายปาท่องโก๋ เพราะแม้จะมีเตาถ่านเล็กๆ ตั้งเด่นๆ ที่หน้าร้าน จริงๆ ก็แค่ความสะดวกในการทำเมนูนี้เท่านั้น ถ้าสั่งแค่ปาท่องโก๋เลยจะได้ช้า ต้องสั่งน้ำคู่ไปด้วยจะได้เร็วกว่า เทคนิคการสั่งที่ว่านี้ พี่คนทอดปาท่องโก่กระซิบบอก สงสัยเห็นยืนรอเป็นครึ่งชั่วโมงเลยสงสาร พอได้รู้เทคนิคการสั่งก็ไม่รอช้า เดินเข้าไปด้านในร้านสั่งโอเลี้ยงมาสักแก้ว อีก 20 นาทีก็ได้ครบทุกเมนู แล้วถ้าอยากรู้ว่า คุ้มไหมที่ยืนรอ บอกเลยว่าคุ้ม!!

โชว์ความอร่อยในทริปอีกสักร้านละกัน กับมื้อเช้าที่เป็นก๋วยเตี๋ยวชื่อร้าน “เกี๋ยวปลา” เป็นอีกร้านเด็ดในเมืองสุราษฎร์ฯ ที่ต้องสั่งเกี๊ยวปลาม้วนที่สอดไส้คื่นช่ายสุดแสนจะเข้ากัน จังหวะที่รออาหารก็ออกไปด่อมๆ มองๆ ที่หน้าร้าน อาอี๊คนขายก็ใจดีมากๆ อุตส่าห์หันมาคุยด้วยจนรู้ว่าว่าร้านนี้เปิดมา 60 กว่าปีแล้ว รุ่นนี้เป็นรุ่นสอง เคยย้ายร้านมาครั้งหนึ่ง ลูกค้าก็ย้ายตามมากิน ทำให้ยังคงขายดิบขายดีแม้จะมีเพียงไม่กี่ที่นั่งเพราะเป็นร้านห้องแถวคูหาเดียว

อวดเรื่องไปเที่ยวหอมปากหอมคอ พอให้เพื่อนๆ นักอ่านที่อยากไปเยือนสุราษฎร์ฯ มีไอเดีย แต่อ่านถึงตรงนี้แล้ว สงสัยไหมคะว่า ทุกที่ที่ไปมูอยู่นครศรีธรรมราชทั้งนั้น แต่ย่ากลับบอกว่ามาเยือนสุราษฎร์ฯ เหตุผลก็เพราะระยะทางจากสุราษฎร์ฯ ไปตรงวัดที่มูใกล้กว่าการขับรถไปนอนที่นครฯ แล้วไปวัดยังไงละคะ

ขับชิลๆ ก็ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น เราก็เลยเลือกที่จะจองที่พักในสุราษฎร์ฯ ด้วยประการฉะนี้..เหตุผลไม่มากมาย ก็แค่ไม่อยากนั่งรถนาน ประมาณว่าอยากมูไวๆ นั่นละคร้า

Don`t copy text!