เฟื้อ หริพิทักษ์ ท่านทำให้เราตัณหากลับ กับเดินร้องไห้ได้

เฟื้อ หริพิทักษ์ ท่านทำให้เราตัณหากลับ กับเดินร้องไห้ได้

โดย : ตัวแน่น

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘หลงรูป’ บทความแสดงมุมมอง เล่าเรื่อง บอกต่อ สารพัดความรู้และเรื่องราวใน แวดวงศิลปะ โดย ตัวแน่น ที่อยากแนะนำให้คุณได้ อ่านออนไลน์

เดือนตุลาคม พ.ศ. 2497 ขณะตุปัดตุเป๋ข้ามน้ำข้ามทะเลจากเมืองไทยไปอิตาลี ในมือของ เฟื้อ หริพิทักษ์ ศิลปินวัย 44 มีเพียงจดหมายฉบับเดียวที่เขียนขึ้นโดย อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการเข้าศึกษาต่อ ณ ราชบัณฑิตสถานที่กรุงโรม ข้อความในจดหมายสั้น ๆ นี้ไม่ได้มีอะไรวิลิศมาหรา เพียงระบุไว้ตอนหนึ่งว่า “เฟื้อเป็นหนึ่งในศิลปินที่เก่งที่สุดในสยาม” แค่นี้ก็พอที่จะทำให้สถาบันศิลปะอันเก่าแก่และมีชื่อเสียงระดับโลกแห่งนี้ยอมรับ เฟื้อ ชายไทยผู้ซึ่งไม่มีวุฒิ ไม่มีปริญญาอะไรซักกะอย่างติดตัวมาเลย เข้าเรียนได้

ในบรรยากาศอันแปลกตาที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะ ผนวกกับความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมา เฟื้อระบายความประทับใจในเมืองมักกะโรนีลงบนผืนผ้าใบตามแบบฉบับของท่าน ด้วยฝีแปรงที่รวดเร็วฉับฉับในสไตล์อิมเพรสชันนิสม์ เฟื้อใช้สีสด ๆ ที่บีบออกจากหลอด ปาดขวับลงไปเป็นปื้น ๆ ให้สีต่าง ๆ ผสมกันเองในภาพ ท่านเลือกใช้สีอย่างอิสระ ไม่ยึดติดกับหลักธรรมชาติ แต่ใช้ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านออกมาจากภายในล้วน ๆ เราเลยได้เห็นภาพตึกสีแสด ทุ่งหญ้าสีชมพู ผู้หญิงสีฟ้า มะเลืองมะลัง อร่ามตาไม่เหมือนที่ตาเห็น นอกจากภาพวาดแนวอิมเพรสชันนิสม์แล้ว เฟื้อยังริเริ่มสร้างผลงานในสไตล์คิวบิสม์ที่เป็นเหลี่ยมเป็นสัน นับว่าท่านเป็นศิลปินไทยคนแรก ๆ ที่นำเทคนิคศิลปะตะวันตกเหล่านี้มาใช้จนเก่งกาจช่ำชอง

แรกเริ่มเดิมที เฟื้อได้ทุนจากรัฐบาลอิตาลีให้มาเรียนต่อแค่ปีเดียว แต่พอครูบาอาจารย์ที่โรมเห็นฝีมือของท่าน เลยมีมติมอบทุนให้อยู่ต่ออีกปี ช่วงเวลาที่กินนอนอยู่ที่นั่น เฟื้อขยันสรรค์สร้างผลงานศิลปะที่ท่านรักอย่างมีความสุขโดยไม่เหน็ดไม่เหนื่อย เงินทองที่มีอยู่ไม่มากก็ใช้ลงทุนไปกับอุปกรณ์วาดภาพที่ดีที่สุดก่อน ส่วนตัวก็ประทังชีวิตอยู่ด้วยการต้มแป้งแล้วคลุกเกลือกินให้พออิ่มไปวัน ๆ ไม่เคยแวะเวียนไปทานอาหารตามคาเฟ่ให้เปลืองค่าสีค่าผ้าใบ อยู่อย่างนี้เฟื้อก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะจิตวิญญาณของท่านคืองานศิลปะ ไม่เหมือนพวกเราที่ไปอิตาลีแล้วถ้าไม่ได้กินพิซซ่า พาสต้า เจลาโต้ คงลงแดงชักดิ้นชักงอ

‘นางแบบ’  พ.ศ. 2497  เทคนิคสีน้ำมันบนผ้าใบ ขนาด 60 x 50 เซนติเมตร

เมื่อเฟื้อหอบผลงานที่สร้างสรรค์ไว้ในต่างแดนกลับมาแสดงที่เมืองไทย ท่านสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการศิลปะสมัยใหม่ของไทยเป็นอย่างมาก เมื่อส่งภาพที่นำกลับมาจากอิตาลีเข้าประกวดในงานแสดงศิลปกรรมแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2500 เฟื้อก็ได้รับเหรียญทองมาประดับหิ้งแบบไม่ต้องลุ้น ด้วยฝีมือที่แก่กล้าล้ำหน้า ถ้าเฟื้อยังคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในแบบสากลอย่างนี้ต่อไป โอกาสที่ท่านจะกลายเป็นศิลปินโด่งดังระดับโลก อู้ฟู่ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่จู่ ๆ เฟื้อก็กลับตัดสินใจหันหลังให้กับงานสมัยใหม่ แล้วมามุ่งมั่นรักษาผลงานจิตรกรรมพระฝีมือช่างไทยโบราณ โดยระเห็ดระเหินไปทั่วประเทศ นอนกลางดินกินกลางทราย ปีนป่ายผนังวัดวาอารามที่ผุพัง เพื่อคัดลอกลายจิตรกรรมโบราณที่ดูเผิน ๆ ก็แสนจะเยิน ไม่มีใครใส่ใจดูแล

พอเฟื้อตัดสินใจเอาดีทางด้านอนุรักษ์ อาจารย์ศิลป์ถึงกับปวดขมับ ตำหนิเฟื้อต่าง ๆ นานา เพราะเสียดายฝีมือและโอกาส แต่พออาจารย์ศิลป์ได้ไปเห็นสิ่งที่เฟื้อทำเพื่อรักษามรดกทางศิลปะของชาติให้อยู่ยงคงกระพันต่อไปถึงลูกหลาน อาจารย์ศิลป์เลยยอมใจ เปลี่ยนมาสนับสนุนให้เฟื้อตะกายกำแพงโบสถ์ต่อไป

ตลอดชีวิตที่เหลือ เฟื้อทั้งคัดลอก ทั้งอนุรักษ์ ผลงานจิตรกรรมฝาผนังไปนับหมื่น ๆ แสน ๆ ภาพจากทุกที่ทั่วไทยตั้งแต่เหนือจรดใต้ และที่มหาวิทยาลัยศิลปากร เฟื้อยังเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกแก่ลูกศิษย์ลูกหานับไม่ถ้วน ให้ตระหนักถึงผลงานจิตรกรรมชั้นครูที่สุดแสนวิจิตรพิสดาร แต่มักถูกมองข้ามเพราะมัวแต่เห่อของใหม่

เฟื้อ หริพิทักษ์ ขณะไปศึกษาศิลปะในประเทศอิตาลี (ภาพจากหนังสือ ชีวิตและงานของอาจารย์ เฟื้อ หริพิทักษ์)

มีนักสะสมศิลปะรุ่นเดอะหลายคนเคยบอกเราว่า ถ้าริจะสร้างคอลเล็กชั่นศิลปะสมัยใหม่ของไทยให้ครบถ้วน เพชรยอดมงกุฎที่ขาดไม่ได้คือภาพวาดสีน้ำมันของเฟื้อ ผลงานศิลปะที่สร้างด้วยฝีมือเฉียบขาด และมีหลงเหลืออยู่ไม่มาก เพราะท่านวาดอยู่ช่วงเดียวแล้วก็เลิก ทุกครั้งที่ได้ยินก็พูดกับตัวเองอยู่เสมอว่า “แล้วเราจะไปมีปัญญาหาได้ที่ไหน?” เพราะเท่าที่รู้มา มีนักสะสมทั่วสารทิศพยายามพลิกแผ่นดินหา ถ้าแข่งกับเขาเราคงไม่ไหว ชิ้นที่รู้ว่าอยู่กับใคร เจ้าของก็หวงยิ่งกว่าไข่ในหิน ถ้าจะขายก็ตั้งราคาบ้าเลือดเอาเป็นเอาตายกันไป แถมในตลาดยังมีของปลอมระบาดอีกต่างหาก รู้อย่างนี้แล้วเราเลยไม่ดิ้นรนไขว่คว้าให้เดือดเนื้อร้อนใจ คิดแค่ว่า “ของอะไรดวงจะเป็นของเรา เดี๋ยวก็เป็นของเรา” ปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรม

ความปรารถนาเริ่มเห็นเค้าลางเมื่อวันดีคืนดี เกิดคิดยังไงไม่รู้ไปพูดถึงเฟื้อเข้าหูญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งขณะทานข้าว ท่านเลยเฉลยว่ามีเก็บไว้หลายชิ้น น่าแปลกที่เราไม่เคยรู้มาก่อนทั้ง ๆ ที่มาบ้านท่านทุกสัปดาห์ ระหว่างเคี้ยวข้าวกันหนุบหนับ ญาติเลยสั่งให้คนยกภาพวาดจากหลืบลึกลับออกมาให้ชม วันนั้นเราได้ยลภาพวิวอิตาลีที่ฟุ้งด้วยไอหมอกในหน้าหนาว วาดด้วยสีน้ำมันแบบรวดเร็วฉับพลัน เห็นปั๊บก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือเฟื้อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นภาพดัง ภาษาพระเครื่องเรียกว่า “องค์ดารา” เพราะตีพิมพ์อยู่ในสูจิบัตรเก่า ๆ ของเฟื้อหลายเล่ม ภาพจริงงามกว่าที่เคยเห็นจากภาพถ่ายมืด ๆ เป็นไหน ๆ พาหลุดไปในดินแดนมักกะโรนีที่เย็นยะเยือกจับใจในเหมันตฤดูอยู่พักใหญ่

เฟื้อ หริพิทักษ์ กับลีลาการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสมัยใหม่ (ภาพจากหนังสือ เฟื้อ หริพิทักษ์ จิตรกรเอกของไทย)

พอตั้งสติได้ เลยไปจ้องดูใกล้ ๆ จนแทบเอาจมูกแนบ เพื่อเห็นรายละเอียดทั้งด้านหน้า–ด้านหลัง เอาไว้เป็นความรู้ สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือป้ายราคา 3,000 บาท ที่แปะอยู่ด้านหลังกรอบ แวบแรกคิดว่าเป็นราคาค่ากรอบ เพราะราคาภาพปัจจุบันนั้นแพงกว่าหลายพันเท่า เราจึงถามญาติด้วยความสงสัย ท่านเลยเล่าเรื่องเมื่อ 50 ปีก่อน ตอนเปิด “หอขวัญ” บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ครั้งหนึ่ง อวบ สาณะเสน แนะให้อาจารย์เฟื้อมาจัดงานแสดงผลงาน ในวันสุดท้ายของนิทรรศการ มีภาพสีน้ำมันหลายภาพที่ยังขายไม่ได้ ญาติเราจึงเหมาซื้อตามราคาเฉลี่ยภาพละไม่กี่พันบาท เลข 3,000 ที่เห็นจึงเป็นราคาทั้งภาพทั้งกรอบ เบ็ดเสร็จ หลังจากนั้นญาติก็ทยอยแจกให้คนสนิท มิตรสหาย เหลือเก็บไว้แขวนบ้านตัวเองไม่กี่ชิ้น โดยไม่เคยนึกว่าภาพเหล่านี้จะกลายเป็นของล้ำค่าในปัจจุบัน

ญาติผู้ใจดีเห็นว่าเราสนใจเฟื้ออยู่ แต่ถ้าจะแจกฟรีก็เกรงใจ สู้แจกบ้านแจกยังกะรถยังจะคุ้มกว่า ท่านเลยแนะให้ไปบุกบ้านเพื่อนท่านที่เป็นนักสะสมรุ่นใหญ่ เผื่อเจอเฟื้อซุกไว้สักแห่ง ไม่นานเราก็นัดเข้าไปหาที่บ้านย่านสุขุมวิท เจ้าของบ้านใจดี เล่าเรื่องราวมากมายให้ฟังจนได้ความรู้เพิ่มเพียบ ที่บ้านมีแขวนไว้แต่ภาพระดับมหาประลัย เช่น พระบรมสาทิสลักษณ์ ร.9 ของจำรัส เกียรติก้อง, ภาพบึงบัวของทวี นันทขว้าง, ภาพนกอินทรีตีกันของถวัลย์ ดัชนี สมัยยังหนุ่ม รวมถึงภาพวิวอินเดียของเฟื้อที่ละเลงด้วยดินสอสีบนกระดาษ

จนได้จังหวะจึงถามว่า “มีภาพสีน้ำมันฝีมือเฟื้อไหมครับ” ท่านพยักหน้าแล้วพาไปดูในห้องเก็บของ เป็นภาพผู้หญิงฝรั่งแก้ผ้า ตัวสีฟ้า หัวนมสีแดง วาดด้วยสีน้ำมันสองภาพ เห็นแล้วใจหายไปถึงตาตุ่ม เพราะภาพนู้ดสีน้ำมันของเฟื้อหายากยิ่งกว่าภาพทิวทัศน์หลายเท่า ด้วยความงง เลยถามว่าทำไมไม่แขวนโชว์ ท่านตอบว่ากลัวแขกเข้าใจผิดว่าเป็นเฒ่าตัณหากลับ เราจึงอธิบายไปตรง ๆ ว่า “ถ้าคุณอาไม่หวง ผมยอมเป็นตัณหากลับแขวนไว้เองก็ได้ครับ” ท่านก็ยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเอ็นดู

สูจิบัตรงานแสดงภาพวาดของ เฟื้อ หริพิทักษ์ ที่หอขวัญ เมื่อวันที่ 20 เมษายน-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2510
หลังจากได้ภาพชุดนั้นมา เราก็ส่งไปทำความสะอาด เคลือบสี และดูแลอย่างดี มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เฟื้อท่านคงเห็นความตั้งใจของเราจากฟากฟ้า เลยดลบันดาลให้เจอผลงานที่ไม่เคยนึกฝันอีกหลายชิ้น พอนานวันเข้า ด้วยความระแวงบวกขี้สงสัย จึงเริ่มค้นคว้าหาที่มาของแต่ละชิ้นเก็บไว้เป็นหลักฐาน ป้องกันการโดนต้ม ดั้นด้นไปสอบถามผู้รู้ในวงการศิลปะ และลูกหลานญาติของเฟื้อเอง จนได้ข้อมูล เอกสาร และภาพเก่า ๆ มาเป็นกุรุส แทบจะรู้หมดว่าแต่ละภาพวาดใคร วาดอะไร วาดที่ไหน วาดเมื่อไหร่ เคยอยู่กับใครมาก่อน

พอยิ่งศึกษาก็ยิ่งสนุก อีกทั้งยังได้รู้จักผู้คนมากมายที่มีอุดมการณ์เดียวกัน คือยกย่องเชิดชูเฟื้ออย่างสุดใจ แถมช่วงนั้นหอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ก็กำลังลุยซื้อผลงานของเฟื้อไปจัดแสดงพอดี ไหน ๆ กระแสก็มาพอดี เลยปรึกษาทายาทของเฟื้อและนักสะสมที่สนิทว่า น่าจะช่วยกันทำหนังสือรวมผลงานเฟื้อที่มีภาพสวย ๆ ข้อมูลแน่น ๆ ทั้งไทยและอังกฤษ หลังจากประชุมกันหลายครั้ง ตอนนี้หนังสือก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และเมื่อพิมพ์เสร็จ โครงการถัดไปคือผลักดันให้มีนิทรรศการใหญ่ของเฟื้ออีกครั้ง ให้คนไทย–ต่างชาติได้ดื่มด่ำฝีมือทั้งงานสมัยใหม่และจิตรกรรมไทย และรำลึกถึงปูชนียบุคคลผู้มุ่งมั่นทำงานศิลปะเพื่อศิลปะโดยไม่หวังลาภยศจนถึงวาระสุดท้าย

ดังอุดมการณ์ที่เฟื้อเคยกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าทำศิลปะด้วยใจรัก เลื่อมใสและจริงใจ มิได้ทำไปเพราะใยแห่งอามิส ข้าพเจ้าทำศิลปะเพื่อศึกษาความจริงในความงามอันเร้นลับอยู่ใต้สภาวะธรรม”

บอกตามตรง ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหล วันนั้นก่อนออกจากบ้าน เดินผ่านภาพหญิงสาวตัวสีฟ้านอนแก้ผ้า เลยแวะกราบงาม ๆ พร้อมคราบน้ำตาและกระดาษทิชชู่เต็มมือ

Don`t copy text!