งานที่มีความสุข

งานที่มีความสุข

โดย : Writer from Mars

Loading

นิยายออนไลน์ หลากหลายสไตล์ที่มอบความสนุกๆ ให้กับผู้อ่าน ‘อ่านเอา’ ยังมีคอลัมน์ ‘Opinion เขียนขำๆ’ โดย Writer from Mars นักคิด นักเดินทาง ผู้ที่อยากจะร่วมแชร์ประสบการณ์และมุมมองของเรื่องราวต่างๆ สารพัดสารพัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ยันเรื่องใหญ่ๆ ให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………………………………………

สมัครบัตร Citi Ready Credit

ทุกยอดการสมัครจะมีส่วนแบ่งกลับมาสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา 🙂

ย้อนกลับไปไกลสมัยก่อนผมเรียนจบ ผมคิดอยู่ตลอดว่านี่เราจะต้องไปทำงานแล้วนะ จะเลือกงานอย่างไรดี สิ่งที่ผมไม่อยากจะเป็นเลยคือ การตื่นมาตอนเช้าวันจันทร์แล้วโอดโอย ไม่อยากไปทำงาน อยากนอนต่อ แล้วไปแฮปปี้อีกทีตอนคืนวันศุกร์ สนุกสุดเหวี่ยงแล้วมาหงอยๆ ต่อในคืนวันอาทิตย์ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเป็นมาตลอดในช่วงวัยเรียนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย (เรียนมหาวิทยาลัยถึงแม้งานจะเยอะกว่า แต่มันก็ไม่ได้มีเรียนทุกวัน เลยมีเวลาทำอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง สามารถจัดการกับเวลาได้เองเยอะอยู่)

ผมไม่อยากจะกลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีก

แต่ว่า… หรือการโอดโอยตอนเช้าวันจันทร์ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนก็เป็นกัน ผมต้องยอมรับมันแล้วก็เดินตามแบบนั้นรึเปล่า มันต้องไม่ใช่สิ มีคนมากมายที่เขาบอกว่ารักในงานที่ตัวเองทำ และพร้อมจะตื่นไปทำงานทุกวันเลย เออ ผมอยากเป็นคนแบบนั้น อยากมีความรู้สึกแบบนั้น ผมเลยตั้งเป้าที่จะหางานที่ตัวเองอยากทำและมีความสุขที่จะทำมันจริงๆ โดยยังไม่คำนึงถึงเรื่องเงิน เอาเป็นว่าขอให้ได้ทำก่อน ทำแล้วมันคงจะฟินสุดๆ ไปเลย

ซึ่งการที่ตั้งเป้าแบบนั้น ความรู้สึกก็เหมือนออกตามหาตัวเยติ ได้ยินมาจากคนที่เห็นว่ามีแต่ตัวเองก็ยังไม่เคยเจอ ก็เลยไม่รู้ว่ามีจริงไหม คุยกับหลายคน เขาบอกว่าผมเลือกงาน คนเราจะทำอะไรที่ชอบอย่างเดียวไม่ได้ อะไรที่ไม่ชอบบางทีก็ต้องทำ ก็จริงที่เขาว่าแหละ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมล้มเลิกความตั้งใจที่จะตามหามันนะ กลับยิ่งเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีกว่า ถ้าต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบไปเรื่อยๆ มันจะโอเคได้อย่างไร

ด้วยความที่ผมตามหามันมาตั้งแต่แรกนั่นแหละ ทำให้ผมเจองานที่ทำแล้วมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยจนได้ในช่วงฝึกงานนั่นเอง ผมเดินเข้าไปขอฝึกงานกับที่ที่หนึ่งที่ผมคิดว่าผมอยากจะทำ ความสามารถของผมน่าจะช่วยอะไรเขาได้ และผมน่าจะมีความสุข และก็เป็นไปตามหวัง นับว่าเป็นช่วงเวลาฝึกงานที่ผมมีความสุขมากจริงๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบไม่เหนื่อยเลยนะ อยากรีบนอน รีบตื่นมาทำ วันหยุดก็มาทำ ชีวิตไหลลื่นมากในช่วงไม่กี่เดือนนั้น มันทำให้ผมรู้เลยว่าผมได้เจอละ สิ่งที่ตามหา

พอหมดช่วงฝึกงาน ผมก็กลับไปเรียนต่อจนจบและรู้แล้วว่าเราอยากทำอะไร พอเรียนจบผมเลยหางานแบบเดียวกันนี่แหละ ก็เข้าไปทำ มันก็เป็นเหมือนเดิม ผมแฮปปี้มาก ทำงานไหลลื่น ซึ่งตอนนั้นผมก็ทำได้ดี เงินเดือนก็ถือว่าสูงเลยล่ะถ้าเทียบกับเพื่อนๆ ชีวิตเหมือนจะไปได้สวย ถ้าเปรียบเป็นฟุตบอลตอนนั้นผมก็อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มสุดๆ แต่หนังชีวิต มันต้องมีหักมุม ผมทำงานนั้นไปเรื่อยๆ สักพักหนึ่ง ความกระตือรือร้นอยู่ๆ มันเริ่มหายไป ศักยภาพผมเริ่มน้อยลงเอาดื้อๆ เคยโดนเจ้านายเรียกไปคุยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น จากงานที่ผมรัก ผมเริ่มเซ็งกับมัน เคยนั่งกำเมาส์แล้วก็ถามตัวเองว่าสรุปต้องการอะไรกันแน่ นี่คืองานที่ชอบ ถ้าไม่ทำมันแล้วแกจะไปทำอะไร ก็เมื่อก่อนชอบ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ไม่ได้เหรอไง คนเป็นแฟนกันยังเลิกกันได้เลย

ช่วงนั้นผมใช้เวลาหลังเลิกงานช่วงสี่ทุ่มถึงห้าทุ่ม ไปนั่งหาอะไรกินเงียบๆ ข้างถนนคนเดียวประจำ เหมือนคุยกับตัวเองว่าจะเดินต่อยังไง แล้วเราเป็นอะไรอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ได้คำตอบที่พอใจ

จนมาวันหนึ่ง เจ้านายส่งผมไปทำงานที่ต่างจังหวัด เรียกว่าอยู่ยาวเลยล่ะ หลายวัน เป็นงานที่พูดตรงๆ ว่า ผมไม่อยากทำเลย เพราะมันเหนื่อยเรื่องเดินทาง แล้วต้องไปอบรมชาวบ้านให้ใช้ผลิตภัณฑ์อีก โอ๊ย… ไม่เคยทำ แล้วเราจะไปสื่อสารยังไงให้เขาเข้าใจดีเนี่ย แล้วทำไมต้องเป็นเราด้วย แต่ก็นั่นแหละ คนเราเลือกจะทำในสิ่งที่อยากทำอย่างเดียวไม่ได้ใช่ไหม โอเค งั้นไปก็ได้ เราจะไปทำในสิ่งที่ไม่อยากทำกันเถอะ หรือจะเรียกให้ถูกคือสิ่งที่กลัวที่จะทำก็ได้

 

ซื้อหนังสือที่ www.naiin.com ไม่ว่าเล่มใดก็ตาม

ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา

ชุมชนแห่งการอ่านของพวกเรา : )

 

ก่อนวันที่ต้องอบรมชาวบ้าน ผมพยายามทำใจให้สงบไม่คิดเยอะ เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ผมคิดว่ารีบทำหน้าที่ของตัวเองให้จบแล้วรีบกลับดีกว่า คุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่สนใจ ช่างมัน แต่พอถึงวันอบรมจริงๆ ผมแปลกใจมาก ทุกอย่างตรงกันข้ามกับที่ผมคิดไว้ ชาวบ้านทุกคนน่ารัก ตั้งใจฟัง มีการเรียนรู้มาก่อน จดทุกคำที่ผมพูด ถาม และทดลองใช้งานตามที่ผมบอกอย่างเป็นระเบียบ หลังจากการอบรม มีหลายคนที่เข้ามาขอบคุณผม ยกมือไหว้ ทั้งๆ ที่เขาอายุมากกว่าผมด้วยซ้ำไป เอาจริงๆ ผมไปทำตามหน้าที่ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเกินนั้น ผมไปด้วยความรู้สึก negative แต่กลับมาด้วยความรู้สึก positive ที่สุด

ช่วงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง มันเอาความรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงานกลับมาหมดเลย ผมรู้แล้วว่าอะไรที่มันหายไป นั่นคือความรู้สึกที่ได้รู้ว่างานที่เราทำมันมีความหมายกับคนอื่นมากแค่ไหน ทุกวันผมนั่งทำงานอยู่แต่ในห้อง เจอคนไม่กี่คน ไม่รู้เลยว่างานที่ออกไปนั้นมันส่งผลอะไรบ้าง โดนให้แก้ก็แก้ตามนั้น แต่มันมีผลดีอย่างไรผมไม่รู้เลย หลายวันเข้ามันก็สะสมไปเรื่อยๆ นั่นเอง

หลังจากวันนั้นผมปรับทัศนคติในการทำงานใหม่หมด นับว่าเป็นการก้าวออกไปทำอะไรที่ไม่ชอบที่คุ้มจริงๆ ที่ผ่านมาผมเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำงานเอาแต่ที่ตัวเองชอบและคิดว่ามันจะทำได้ดี สำหรับผมตอนนี้ความคิดนั้นมันถูกแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคือส่วนของผู้รับ เขาจะต้องมีความสุขและพอใจกับสิ่งที่เราทำให้ พอคิดได้แบบนี้ งานอะไรที่ไม่อยากทำแค่ไหน ผมทำได้หมดเลย

แค่นึกถึงว่าเราทำงานชิ้นนี้ไปแล้วผู้รับจะได้ประโยชน์จากมันอย่างไรบ้าง เขาจะมีความสุขแค่ไหน มันเหมือนเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญ อย่างงานเขียนนี่ก็เช่นกันนะครับ ผมไม่ได้เขียนเก่งอะไร ยังเป็นมือใหม่มากๆ ด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นงานเขียนของผมมีคนกดไลก์ มีคนอ่าน มีคนแชร์ มีคนคอมเมนต์อะไรก็ตาม หรือชื่นชอบที่ผมได้นำเสนอมุมมองอะไรใหม่ๆ ผมดีใจทุกครั้ง เพราะมันเสมือนเป็นแหล่งพลังงานหลักของการทำงานของผมเลยทีเดียวครับ

 

Don`t copy text!