น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 3 : อาบูซิมเบล – อนุสรณ์แห่งรามเสสที่ 2

น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 3 : อาบูซิมเบล – อนุสรณ์แห่งรามเสสที่ 2

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

เมื่อคืนนี้เรานอนบนเรือกัน และเราจะนอนกัน 3 คืน เช็กอินตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย

ใช่ เรานอนบนเรือล่องแม่น้ำไนล์ เพียงแต่คืนแรกเรือยังไม่ออก เราจึงยังอยู่ในเขตน่านน้ำของเมืองอัสวาน คุณวิวบอกพวกเราว่าให้หลับพักผ่อนกันให้เพียงพอ เพราะวันรุ่งขึ้นรถจะออกตอนตีสี่ ซึ่งหมายความว่าต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสาม แต่ก็จำเป็น เพราะใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงเศษเพื่อไปถึงอาบูซิมเบล ที่นี่เขาเที่ยวกันช่วงเช้าเพราะแดดจะไม่ร้อนเกินไป และอีกเหตุผลสำคัญคือ เรือจะออกจากท่าประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง เราจึงจำเป็นต้องกลับมาให้ทันเรือออก

ฉันตั้งปลุกนาฬิกาตั้งแต่ 2.45 น. เพราะรู้ตัวว่าตื่นทันทีไม่ได้ ต้องขอนอนต่ออีกนิด ก็จะไปตื่นตีสามพอดี ลงมาที่ลอบบี้เรือตีสี่ได้ตามเวลานัด ทุกคนก็สะลึมสะลือเดินขึ้นรถกันไปอย่างว่าง่าย ฟ้ายังมืดสนิท มีแค่แสงไฟจากเรือและท่าเรือเล็กน้อย พอขึ้นรถก็หลับเลย เขาแจกถุงอาหารเช้าที่มีครัวซองต์ ขนมปัง กล้วย แอปเปิ้ล และน้ำผลไม้แบบกล่องก็ยังเก็บไว้เพราะยังไม่หิว มาตื่นตอนผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งเมื่อรถแวะพักให้พวกเราเข้าห้องน้ำกันก่อน

พอลงจากรถฉันถึงได้เห็นว่าฟ้าเริ่มสว่างแล้ว รอบด้านเป็นผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ทรายเป็นสีน้ำตาลอมส้ม ๆ แดง ๆ ต้องแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นประกายทองหน่อย ๆ สวยแปลกตาดี อากาศเย็นและมีลมกำลังสบาย ดังนั้นพอกลับขึ้นรถ คราวนี้ฉันจึงเปิดม่านแล้วชมวิวทะเลทรายระหว่างทาง แว่วเสียงมัคคุเทศก์อธิบายว่าที่เราต้องนั่งรถไกลขนาดนี้ เพราะสถานที่ตั้งของวิหารแห่งนี้อยู่แทบติดชายแดนประเทศซูดานเลยนั่นเอง ฟังไปสักครู่ฉันก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินว่าเรากำลังถึงที่ตั้งของวิหารอาบูซิมเบลแล้ว

รูปปั้นเหนือประตูวิหารอาบูซิมเบล

อาบูซิมเบล เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูมาบ้าง หรือหากไม่เคยได้ยิน ก็อาจจะเคยเห็นภาพมาบ้างเพียงแต่ไม่รู้ว่าคือวิหารอาบูซิมเบล (ฉันอยู่ในจำพวกแรก) เพราะเวลาพูดถึงอียิปต์ หนึ่งในภาพจำที่เป็นแลนด์มาร์กที่คนมักนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ นอกจากพีระมิด สฟิงซ์ หน้ากากฟาโรห์ตุตันคาเมนแล้ว ก็มีภาพของวิหารอาบูซิมเบลนี่ละ ดังนั้น มาอียิปต์แต่ไม่มาอาบูซิมเบลก็เหมือนยังมาไม่ถึง

ด้วยความที่อียิปต์มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมยาวนานกว่าห้าพันปี การจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ช่วงใดช่วงหนึ่งหรือฟาโรห์สักพระองค์เป็นเรื่องที่ชวนสับสนหรือจำได้ยาก เพราะแม้เขาจะแบ่งประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณคร่าวๆ เป็น 3 ช่วงตั้งแต่ Old Kingdom, Middle Kingdom, และ New Kingdom แต่ละช่วงก็ยังกินเวลายาวนานเป็นพันๆ ปีและเก่าแก่ระดับหลักสามพันปีขึ้นไปอยู่ดี ฉันเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญพอจะเล่าหรือไล่เรียงให้เข้าใจง่ายได้เสียด้วย แต่อยากให้จุดตั้งต้นง่ายๆ เมื่อพูดถึงวิหารอาบูซิมเบลว่าอยู่ในยุคของฟาโรห์รามเสสที่ 2 (Ramses II) ซึ่งเป็นกษัตริย์ในยุค New Kingdom อยู่ราวช่วง 1,300 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 3,300 ปีมาแล้ว (ขนาด New Kingdom ก็ยังสามพันกว่าปีขึ้นอยู่เลย คิดดูสิ) ฟาโรห์รามเสสที่ 2 นี้นับเป็นมหาราชองค์หนึ่งของอียิปต์โบราณ ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจรอบด้าน ทั้งการศึกสงคราม ทั้งการบริหารปกครองอาณาจักรและเศรษฐกิจ ในยุคของพระองค์แผ่ขยายอำนาจไปได้ไกลมาก และพวกเราอาจจะคุ้นชื่อรามเสสที่ 2 มาบ้างจากภาพยนตร์เรื่อง The Prince of Egypt

วิหารอาบูซิมเบลสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระองค์และเป็นวิหารของพระองค์นั่นเอง สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แสดงถึงอำนาจแสนยานุภาพของอียิปต์ที่มีเหนือชาวนูเบีย เนื่องจากสมัยนั้นอียิปต์ทำสงครามคาเดชรบพุ่งกับชาวนูเบียที่อยู่ทางใต้ (อยู่ในเขตประเทศซูดานในปัจจุบัน) เรื่อยมา ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่ในสมัยของพระองค์สามารถเอาชนะชาวนูเบียได้ จึงได้สร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นประกาศศักดาชัยชนะและข่มขวัญไม่ให้ชาวนูเบียกล้ามาต่อกรทำสงครามกับอียิปต์อีก ทั้งยังเป็นอนุสรณ์ความรักที่พระองค์มีต่อพระชายาเนเฟอร์ตารี (Nefertari) (ไม่ใช่เนเฟอร์ตีตินะคะ) อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ที่นี่จึงประกอบไปด้วย 2 วิหาร คือวิหารหลักอาบูซิมเบล และวิหารน้อยเนเฟอร์ตารีที่อยู่ข้าง ๆ กันค่ะ

Nefertari

แล้วนอกจากนี้ วิหารอาบูซิมเบลเองก็มีความ ‘รอดตายจากสายน้ำ’ เหมือนวิหารฟิเลที่เล่าไปครั้งก่อนด้วยนะคะ แต่ต่างกันตรงที่วิหารฟิเลนั้นเป็นการกู้ตัววิหารที่จมน้ำแล้วย้ายมาสร้างที่ใหม่ แต่วิหารอาบูซิมเบลนั้นย้ายก่อนที่น้ำจะท่วม เนื่องจากพวกเขามีบทเรียนจากครั้งสร้างเขื่อนอัสวานโลว์แดมมาแล้ว พอจะสร้างเขื่อนอัสวานฮายแดมขึ้น ก็คำนวณได้ว่าเจ้าวิหารอาบูซิมเบลจะต้องโดนน้ำท่วมแน่ๆ ก็เลยจัดการย้ายออกมาก่อน โดยปฏิบัติการย้ายวิหารโบราณของอียิปต์ซึ่งมีอายุกว่าสามพันปีนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศ โดยมีองค์การ UNESCO เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ

ดังนั้นตั้งแต่ปี 1964 อาบูซิมเบลก็ถูกเคลื่อนย้ายจากริมแม่น้ำไนล์ไปอยู่ริมทะเลสาบนัสเซอร์ ห่างจากเขื่อนอัสวาน 250 กิโลเมตร แล้วถูกตัดออกเป็นกว่าห้าพันชิ้น หินแต่ละชิ้นหนัก 22 ตัน และถูกเคลื่อนย้ายนำมาประกอบใหม่แบบไร้รอยต่อบนหน้าผาของภูเขาจำลองที่สร้างขึ้นมาใหม่ อยู่สูงกว่าระดับน้ำท่วมถึง 65 เมตร จนเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายนปี 1968

ฟังมาถึงตรงนี้ ฉันก็รู้สึกว่าแค่เริ่มต้นก็อลังการยิ่งใหญ่แล้วนะอาบูซิมเบล

กว่าคณะพวกเราจะมาถึงก็ราวแปดโมงเศษ ท้องฟ้าสว่างเป็นสีฟ้าสด มีริ้วเมฆขาวประปราย แดดเริ่มแผดแรงกล้าแต่ยังมีลมเย็น ทุกคนรีบควักแว่นกันแดดขึ้นมาสวม จัดอุปกรณ์กันแดดกันให้ครบถ้วน วันนี้ฉันเลือกใส่ชุดกระโปรงยาวลายพื้นเมืองที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อวันก่อน แขนขายาวป้องกันแดด และเนื้อผ้านิ่มสบาย ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับการมาเที่ยวกลางแจ้งแบบนี้ จากจุดจอดรถมาถึงหน้าวิหารต้องนั่งรถกอล์ฟลงเนินมาเกือบหนึ่งกิโลเมตร ถ้าต้องเดินลงมาเองคงสลบ ไอร้อนแผ่ทุกทิศทางทำให้เริ่มอึดอัด แต่พอมีลมสลับมาเป็นระยะจึงพอบรรเทาลงบ้าง

ครั้นพอรถเริ่มจอดนั่นละ ฉันแทบจะลืมเรื่องอากาศไปเลย ลืมแสงแดดแผนเผาจนแสบผิวไปเสียสนิท เมื่อได้เห็นรูปปั้นสูงชะลูดมหึมาทั้งสี่หน้าภูเขาหินขนาดยักษ์ตรงหน้า

ฉันจ้องมองภาพวิหารขนาดมหึมาที่ต้องแหงนหน้ามองจนสุดคอถึงจะเก็บความสูงครบแล้วก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป วิทยาการด้านสถาปัตยกรรมของชาวอียิปต์โบราณนั้นล้ำหน้าเกินกว่าจะบรรยายได้เพียงคำว่าน่าทึ่ง ต้องเรียกว่ายิ่งกว่ามหัศจรรย์เพราะอาบูซิมเบลสร้างขึ้นจากการเจาะภูเขาหินทั้งลูกเลย! ไม่นับเรื่องการแกะรูปปั้น รูปสลัก ลวดลายบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายนั่น เขาทำกันได้อย่างไรหนอ

แล้วรูปปั้นนั้นยังเป็นรูปปั้นฟาโรห์อีกด้วย

ปกติการสร้างวิหารของชาวอียิปต์โบราณนั้นจะสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า แต่สถาปัตยกรรมในวิหารอาบูซิมเบลนี้พิเศษตรงที่มีการสลักรูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2 ร่วมกับเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ ด้วย แสดงให้เห็นว่าพระองค์มีอำนาจเทียบเท่าเทพเจ้า หรือเป็นเชื้อสายของเทพเจ้านั่นเอง

รูปปั้นหน้าวิหารหลักที่เห็นตรงหน้านี้เป็นรูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทั้ง 4 องค์ สูงถึง 20 เมตร แต่ละองค์นั่งด้วยท่าทางอิริยาบถต่างกันทั้ง 4 แบบ (องค์ที่ 2 ส่วนเศียรพังถล่มลงมาช่วงแผ่นดินไหว) ตรงฐานด้านล่างบริเวณเท้าแกะสลักรูปพระมารดา พระราชินี และโอรส-ธิดาอีก 8 พระองค์ ตรงกลางระหว่างรูปปั้นทั้งสี่เจาะเป็นช่องประตูทางเข้า เหนือช่องประตูจะเห็นรูปสลักเทพเจ้าสามองค์ตรงกลาง มีเทพเจ้ารา-ฮอรัคตี (1) ประทับยืนเด่นเป็นสง่า และรูปสลักฟาโรห์รามเสสที่ 2 สององค์หันขนาบข้าง ยื่นพระหัตถ์ไปทางเทพเจ้ารา-ฮอรัคตี

เทพทั้งสี่

เราต้องเบียดเสียดหมู่มวลนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเข้าไปข้างใน แว่วเสียงคุณวิวแจ้งว่าให้กลับออกมาเจอกันด้านนอกตอน 10.00 น. เท่ากับเรามีเวลาเยี่ยมชมทั้งวิหารหลักและวิหารรองประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

ทันทีที่ล่วงผ่านเข้าไปในวิหาร ฉันก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลก ทั้งอากาศที่เย็นลงด้วยความเย็นของหิน และโครงสร้างมหึมาแบบทึบกั้นความร้อนภายนอกไม่ให้เข้ามาได้ ทั้งรอบด้านที่สูงลิ่วเหมือนอยู่ในปราสาทยักษ์มากกว่ามนุษย์ เมื่อเดินเข้าไปข้างในเราจะเจอกับห้องโถงแรก (Great Pillared Hall) และตรงนี้เอง ไม่ว่าฉันหรือใครก็ต้องสะดุดตาเข้ากับเสาสูงชะลูดที่ประดับด้วยรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เรียงรายกันแปดต้น พอเพ่งใกล้ๆ ประกอบกับแหงนคอดูจนเมื่อย (เพราะเสาสูงมาก) จะเห็นว่ารูปสลักนั้น รามเสสที่ 2 แต่งเครื่องทรงแบบเทพโอซิริส เลยดูเหมือนมีเทพเจ้ากำลังช่วยยืนค้ำวิหารอยู่อย่างไรอย่างนั้นเลย

รูปปั้นรามเสสทรงเครื่องโอซิริส

ภายในแบ่งเป็นห้องแยก มีรูปสลักที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน ตลอดจนบนผนังทั้งแถบยังแกะสลักด้วยอักษรเฮียโรกลิฟฟิกบอกเล่าวีรกรรมความสำเร็จของฟาโรห์รามเสสที่ 2 และพิธีกรรมบูชาเทพอียิปต์ดูลึกลับและขลังเอาการ แต่ที่ฉันทึ่งคือลวดลายแกะสลักนั้นละเอียดยิบมากจนไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะแกะเป็นเรื่องเป็นราวซับซ้อนลงบนหินเนื้อแข็งขนาดนี้ได้

ฉันค่อยๆ เดินชมไปเรื่อยๆ จนมาถึงห้องเล็กด้านในสุด เรียกว่าเป็นห้องไฮไลต์ของวิหารอาบูซิมเบลที่ทั้งคุณวิว ทั้งไกด์ย้ำนักย้ำหนา ภายในห้องนั้นมีรูปสลักแบบลอยตัวของเทพสี่องค์ประทับนั่งอยู่ เรียงจากขวามือ คือเทพรา-ฮอรัคตี (จะมีแผ่นสุริยะรูปวงกลมบนเศียร) ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เทพอะมุน-รา (2) และเทพพทาห์ (ซ้ายสุด) ตามลำดับ

รูปปั้นรามเสสด้านใน

ความพิเศษอยู่ที่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดกับรูปปั้นทั้งสี่ในห้องนี้ คือทุกเช้าของวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณทางตะวันออกจะส่องพระทบผิวน้ำในทะเลสาบ ก่อนจะทะลุผ่านวิหารลอดเข้าสู่ภายในห้องบูชาด้านในสุดห้องนี้ โดยลำแสงจะเริ่มจับที่เทพรา-ฮอรัคตีก่อน จากนั้นเคลื่อนไปฉายจับที่รูปปั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2 ตามด้วยเทพอามุน-รา ก่อนจะฉายกลับมาทางเดิมโดยไม่ฉายแสงส่องมาที่เทพพทาห์เลย ด้วยเหตุเพราะพทาห์เป็นเทพแห่งความมืดนั่นเอง

โอ้โฮ… คนอียิปต์โบราณเขาอัจฉริยะเกินไปแล้ว เพราะการจะสร้างอะไรแบบนี้ได้ต้องอาศัยการคำนวณอย่างแม่นยำ ผสมผสานทั้งความรู้ทางวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และดาราศาสตร์ระดับสูงอีกด้วย

ว่ากันว่าวันที่ 22 ตุลาคมเป็นวันประสูติของฟาโรห์รามเสสที่ 2 บ้างก็ว่าเป็นวันที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ โดยปรากฏการณ์นี้จะมีเพียงปีละ 2 ครั้งตามวันที่ดังกล่าว นอกจากนี้ความมหัศจรรย์อีกเรื่องของปรากฏการณ์แสงแห่งวิหารอาบูซิมเบลนี้ ก็คือแม้จะย้ายวิหารมาสร้างอีกที่ (เพื่อป้องกันน้ำท่วม)  ปรากฏการณ์แสงที่ว่าก็ยังเกิดขึ้นเหมือนเดิม อาจคลาดเคลื่อนวันเล็กน้อยเป็นวันที่ 21 แทน

แต่ก็ชวนให้นึกถึงว่าที่ไทยเราก็มีอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ เป็นปรากฏการณ์ที่แสงอาทิตย์รุ่งเช้าส่องลอดประตูทั้ง 15 บานของปราสาทหินพนมรุ้งช่วงต้นเดือนเมษายนและกันยายน แต่ฉันยังไม่เคยไปชมหรอกนะ อาจจะต้องหาโอกาสไปชมด้วยตาตนเองสักครั้งบ้างแล้ว

 

เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันกับเพื่อนอีกคนก็เลยรีบไปชมวิหารเนเฟอร์ตารี หรือวิหารเทพีฮาเธอร์ก่อน วิหารนี้ก็อยู่ข้างๆ วิหารหลักมีขนาดย่อมกว่า แต่ก็ยิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้กัน

เทพีฮาเธอร์

ด้านหน้าของวิหารมีรูปปั้นรามเสสที่ 2 และราชินีเนเฟอร์ตารีสูงราว 10 เมตร ประทับยืนเคียงคู่ในระดับเดียวกัน แบ่งเป็นรูปปั้นรามเสสที่ 2 สี่องค์ และราชินี 2 องค์สลับกัน ถือว่าเป็นการให้เกียรติราชินีเพราะเป็นวิหารแห่งเดียวที่รูปสลักราชินีสร้างให้อยู่สูงระดับเดียวกับฟาโรห์ อันแสดงให้เห็นว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2 รักและให้เกียรติชายาพระนางนี้มาก ถ้าจะบอกวิหารเนเฟอร์ตารีนี้เป็นอนุสรณ์ความรักของทั้งสองพระองค์ก็ฟังดูโรแมนติกดีเหมือนกัน

เนื่องจากวิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อให้ราชินีเนเฟอร์ตารีใช้เป็นที่บวงสรวงเทพีฮาเธอร์ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรัก และครอบครัว ความเป็นแม่ ความสวยความงาม และพลังของเพศหญิง เราจึงจะเห็นหัวเสาในวิหารสลักเป็นรูปพระพักตร์ของเทพีฮาเธอร์ซึ่งเป็นรูปวัวนั่นเอง หลังจากค่อยๆ เดินจนทั่ว ฉันรู้สึกว่าสถาปัตยกรรมในวิหารน้อยแห่งนี้ก็ให้ความรู้สึกละมุนอ่อนโยนกว่าวิหารหลัก สมกับเป็นวิหารของราชินีและเทพีที่เป็นเพศหญิงมากทีเดียว

กุญแจแห่งชีวิต

ด้านในนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยเสนออุปกรณ์พิเศษให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย ลุงแกเดินเข้ามาพร้อมยื่น กุญแจแห่งชีวิต (3)  (Key of Life) หรือสัญลักษณ์อังค์ (Ankh) ให้ ตอนแรกฉันก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวต้องให้เงินอีกแน่ เขายิ่งเตือนๆ กันอยู่ว่าอย่าไปหลงกลเชียว แต่จนแล้วจนรอดลุงก็ไม่คิดเงินนะ ลุงยื่นกุญแจแห่งชีวิตสีทองให้ พร้อมแนะนำท่าโพสแบบต่างๆ ให้อีก พวกเราก็เลยต้องทิปแกสักหน่อย

ก่อนกลับ ฉันพยายามหามุมถ่ายภาพด้านนอกของวิหารอาบูซิมเบลอันยิ่งใหญ่นี้ให้ได้แบบไม่ติดคน แต่ก็เป็นไปได้ยากหรือเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะนักท่องเที่ยวเบียดเสียดกันวุ่นวายเต็มไปหมด บางทีความยิ่งใหญ่แบบนี้เราก็ได้แต่บันทึกไว้เป็นความทรงจำในใจ ส่วนภาพที่ถ่ายไว้จะติดคนมากมายก็ต้องทำใจนั่นละ

แต่ก็เต็มอิ่มประทับใจมากแล้วกับมรดกโลกยิ่งใหญ่เก่าแก่กว่าสามพัน ปีแห่งนี้

และแน่นอนว่า พอขึ้นรถปุ๊บ ฉันก็หลับปั๊บเลย

 

เชิงอรรถ :

(1) รา-ฮอรัคตี เป็นอีกภาคหนึ่งของ เทพเจ้ารา  เป็นส่วนผสมของเทพรากับเทพฮอรัส

(2)  อามุน-รา เป็นอีกภาคหนึ่งของเทพเจ้ารา เป็นส่วนผสมของเทพเจ้ารา  กับ  เทพอามุน ซึ่งเป็นเทพท้องถิ่นของเมืองลักซอร์ในอดีต

(3)  อังก์ เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งให้ความหมายรวมไปถึงชีวิตของโลกวิญญาณและโลกหลังความตายอีกด้วย บางสำนักก็บอกว่าอังก์นั้นเป็นกุญแจแห่งชีวิตและกุญแจแห่งแม่น้ำไนล์ (สายน้ำที่ให้ชีวิต)

 

Don`t copy text!