Slow life in Scandinavia 6 : โคเปนเฮเกน เมืองเล็กๆ แต่คุณภาพชีวิตใหญ่โต

Slow life in Scandinavia 6 : โคเปนเฮเกน เมืองเล็กๆ แต่คุณภาพชีวิตใหญ่โต

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

เที่ยวเพลิน เดินทาง คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

วันนี้ฉันจะต้องอำลากรุงโคเปนเฮเกนและมุ่งหน้าสู่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ช่วงสี่โมงเย็น เดิมทีตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงเช้าของวันสุดท้ายในโคเปนเฮเกนด้วยการกลับไปเดินเล่นที่สวนในปราสาทโรเซนบอร์ก (Rosenborg) เพราะอยากเก็บเกี่ยวซึมซับความเขียวขจี อากาศสดชื่น และความมีชีวิตชีวาที่ประทับใจในวันแรกไว้อีกสักหน่อย แต่ก็ต้องเปลี่ยนแผนเนื่องจากเมื่อคืนคุณเพื่อนที่บอกว่าจะมาร่วมเดินสวนด้วยบอกว่าเปลี่ยนใจ ไปจองพายเรือคายัครอบโคเปนเฮเกนไว้ตอนสิบโมงเช้า พร้อมตบท้ายด้วยการถามฉันว่า

“พี่ไปด้วยกันมั้ย”

ในหัวฉัน มีสองความคิดตีกัน ฝ่ายแรกคือปฏิเสธเพราะฉันกลัวน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น และพายเรือไม่เป็น ทั้งนี้ฉันรู้ดีว่าการพายเรือคายัคต้องใช้ทักษะและใช้ความแข็งแรงสูงมาก มิหนำซ้ำพอได้ยินว่าพายตั้งสองชั่วโมงครึ่ง ฉันก็ใจฝ่อ

ฝ่ายที่สองกลับเป็นการตอบตกลงเพราะใช่ว่าฉันจะมีโอกาสแบบนี้มาบ่อยเสียเมื่อไร โอกาสที่จะได้พายเรือรอบโคเปนเฮเกนกับคนที่พายเป็น ในวันที่อากาศแจ่มใส ในประเทศที่ความปลอดภัยสูง และจะได้สัมผัสโคเปนเฮเกนในอีกมุมมองหนึ่ง ในเมื่อฉันเดินเท้าสำรวจเมืองมาแล้ว นั่งเรือล่องน้ำชมเมืองมาแล้ว คราวนี้เป็นผู้พายเรือบ้าง ทีนี้ก็เหลือแต่ขี่จักรยานนี่ละที่ยังไม่ได้ทำ

และถ้าให้ฉันกับพี่สาวคิดพายเรือด้วยตัวเองก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะเราสองพี่น้องไม่ใช่คนแข็งแรงและไม่มีทักษะอะไรพวกนี้โดยสิ้นเชิง ฉันเองก็คิดว่าถ้าได้พายเรือคายัคก็คงสนุกแน่ เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้ว

ดูเหมือนฉันจะใช้เวลาคิดนาน แต่ในความเป็นจริง ฉันตอบตกลง “ไปค่ะ” ในชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง

สิบโมงเช้าของวันสุดท้ายในโคเปนเฮเกน ฉันจึงพบตัวเองเดินมากับเพื่อนรุ่นน้องมาถึงท่าเรือ จัดการจ่ายเงินค่าพายเรือเสร็จสรรพ (ที่จริงต้องจองล่วงหน้ามา จ่ายหน้างานแบบนี้ไม่ได้ แต่โชคดีที่พนักงานอนุโลมให้) ด้วยความที่ว่ายน้ำไม่เป็น  ฉันจึงเป็นคนเดียวในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จองมาพายเรือที่ต้องสวมเสื้อชูชีพ ทุกคนต้องเก็บของมีค่าไว้ในห้องล็อกเกอร์โดยครูฝึกที่จะนำพวกเราพายจะเป็นคนเก็บกุญแจห้องไว้เพื่อความปลอดภัย ส่วนตัวฉันชั่งใจแล้วว่าถ้าเก็บของทั้งหมดไว้ในห้องล็อกเกอร์ก็จะไม่ได้ถ่ายรูป ก็เลยขอเอากระเป๋าสะพายขึ้นเรือไปด้วย และอาสากับคุณเพื่อนว่าเดี๋ยวจะถ่ายรูปให้

ที่อาสาแบบนี้เพราะคุณเพื่อนคงประเมินความสามารถการพายเรือของฉันแล้วเป็นฝ่ายพูดว่า

“พี่นั่งเฉยๆ แล้วกัน ผมพายเอง”

ฉันก็เลยอาสาเป็นฝ่ายทำคอนเทนต์ให้

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลมแรง คลื่นแรง ฉันไม่สามารถปล่อยให้เพื่อนพายลำพังได้ ตัวครูฝึกที่นั่งเรือลำหน้าก็คอยจ้องจับผิดอยู่ว่าฉันกินแรงเพื่อนหรือเปล่า บางครั้งก็ดักคอว่าต้องพายทุกคนนะ

แต่เพื่อนก็เป็นกำลังหลักในการพายอยู่ดีเพราะเขาพายเป็น และแข็งแรงมาก ฉันก็เลยหันไปถ่ายรูปให้เป็นระยะ ถ้าใครมาคู่กันก็ได้นั่งเรือลำเดียวกัน ใครมาคนเดียวก็พายเองในเรือตัวเอง ฉันว่าโชคดีมากที่ได้มากับเพื่อนคนนี้ เพราะแรงนางดีไม่มีตก และยังสอนฉันใช้ไม้พายให้ถูกต้องอีกด้วย

เส้นทางนั่งเรือรอบโคเปนเฮเกนในการพายคายัคครั้งนี้เป็นเส้นทางเดียวกับที่ฉันมานั่งเรือกับพี่สาวเมืองสองวันก่อน สิ่งที่เปิดมุมมองใหม่คือได้ใช้สมาธิจดจ่อกับไม้พายและใช้แรงให้เหมาะสมในการควบคุมทิศทางเรือ เสมือนได้ฝึกสมาธิและท้าทายขีดจำกัดความสามารถของตัวเองไปด้วย ภาพผู้คน บ้านเรือน ตึก อาคาร โบสถ์ พระราชวังทั้งหลายที่ผ่านคลองจักษุตอนนี้เหมือนเป็นภาพเบลอๆ เลือนๆ เป็นแบ็กกราวด์ข้างหลัง แต่ก็ยังสัมผัสถึงสายลมกระทบผิว ละอองน้ำที่กระเซ็น (และกระฉอก) สาดเปียกไปทั้งตัวเป็นระยะ แขนฉันเริ่มอ่อนล้าตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก ถามตัวเองในใจว่าจะมีปัญญาพายไปครบสองชั่วโมงไหมหนอ

ถึงอย่างนั้น สองชั่วโมงกว่าก็ผ่านไปด้วยความสุขสงบท่ามกลางความคึกคักของบ้านเมืองและผู้คนบนฝั่ง พร้อมความอิ่มเอมใจอย่างน่าประหลาด เหมือนฉันได้ก้าวข้ามผ่านความกลัวในใจหลายเรื่องไปได้ และเอาชนะร่างกายและความเชื่อว่าเราทำไม่ได้ได้ในที่สุด หรืออาจเป็นเพราะอากาศสดชื่น ละอองน้ำ และบรรยากาศรอบด้านที่ทำให้ฉันไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ตรงกันข้าม กลับรู้สึกราวกับได้ชาร์จพลังจริงๆ

ความสุขก็เกิดจากการพายเรือคายัคได้เหมือนกันหรือนี่

 

อำลาโคเปนเฮเกน 

เมืองแห่งความสุขที่ฉันเรียกร้องอยากมาเยือน มาสัมผัสให้ได้นี้ได้ชาร์จพลังและให้คำตอบบางอย่างแก่ฉันแล้ว และทำให้ฉันอยากจะกลับมาเยือนอีกครั้ง ตั้งใจว่าคราวหน้าจะอยู่นานกว่านี้ แต่คงต้องเก็บเงินอีกขนานใหญ่เพราะค่าครองชีพสูงเหลือเกิน

ตั้งแต่วันแรกที่มาเยือน ได้เดินเล่นไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน ไม่ยัดเยียดให้ตัวเองต้องเก็บสถานที่ท่องเที่ยวให้ครบเพื่อจะได้ดื่มด่ำกับวิถีชีวิตคนที่นี่ได้เต็มที่ ฉันก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเดนมาร์กถึงถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกอยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะแค่มีทิวทัศน์หรือสถาปัตยกรรมสวยงาม แต่คือวิธีคิดและระบบสังคมที่ทำให้คนที่นี่ใช้ชีวิตอย่างสมดุล

อย่างเรื่องการศึกษา ประเทศนี้ถือว่าความรู้คือสิทธิของทุกคน ประชาชนพลเมืองจึงได้เรียนฟรีตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย แถมถ้าเป็นนักศึกษายังได้เบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลอีก ทำให้การเรียนไม่ใช่ภาระหนัก คนหนุ่มสาวเลยมีอิสระในการเลือกทางเดินชีวิต

นอกจากนั้นอีกเรื่องที่ทำให้คนเดนมาร์กมั่นใจคือระบบสวัสดิการ ไม่ว่าจะเรื่องการรักษาพยาบาล การลาคลอด หรือเงินช่วยเหลือยามตกงาน ทุกอย่างครอบคลุมจนคนไม่ต้องกังวลมากเกินไป ที่นี่จ่ายภาษีสูงก็จริง แต่พอเห็นสิ่งที่ได้กลับมาแล้วก็เข้าใจได้เลยว่าทำไมคนส่วนใหญ่ยอมรับได้

ส่วนอีกเรื่องที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตไม่แพ้กันคือความเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โคเปนเฮเกนตั้งเป้าว่าจะเป็นเมือง Carbon Neutral ภายในปี 2025 (เป็นหนึ่งในเมืองแรกๆ ของโลกที่ตั้งเป้าแบบนี้) ทุกอย่างตั้งแต่การใช้พลังงานลม ไปจนถึงระบบขนส่งสาธารณะและการส่งเสริมจักรยาน ถูกออกแบบมาเพื่อให้เมืองยั่งยืนที่สุด เท่าที่เห็น คนที่นี่จริงจังกับเรื่องสิ่งแวดล้อมแบบเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว

อีกเรื่องที่ฉันสังเกตคือสังคมที่นี่เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชีวิตธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นหรือผู้บริหาร ต่างก็ปั่น จักรยานเหมือนกัน ไม่มีใครโชว์หรูจนต่างจากคนอื่นเกินไป และคนเดนมาร์กมีวัฒนธรรมที่เรียกว่า ‘Janteloven’ หรือกฎแห่งความถ่อมตัว ที่เน้นว่าเราไม่ควรคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมากนัก ทำให้สังคมดูเท่าเทียมและกดดันน้อย

ดังนั้นฉันจึงว่าไม่แปลกเลยที่ทุกปีเดนมาร์กจะติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก เวลาเดินในเมืองก็เห็นได้ชัดว่าคนยิ้มง่าย ดูผ่อนคลาย และใช้ชีวิตแบบไม่รีบเร่ง ทุกอย่างกลับไปโยงกับคำว่า Hygge ที่ฉันเคยพูดถึงในคราวก่อนว่า ความสุขที่นี่ไม่ได้มาจากอะไรใหญ่โต แต่มาจากการได้ใช้เวลากับครอบครัว เพื่อน หรือแค่การนั่งจิบกาแฟในร้านเล็กๆ แม้แต่นั่งชมวิวกินข้าวคุยกันไปริมน้ำกับเพื่อนตอนสี่ทุ่มที่พระอาทิตย์ยังไม่ตก ก็นับว่าใช่

สี่วันในโคเปนเฮเกนทำให้ฉันได้เห็นเดนมาร์กไม่ใช่แค่ภาพในหนังสือท่องเที่ยว หรือตามโซเชียลมีเดียแต่คือประเทศที่พิสูจน์ให้เห็นว่า คุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ได้ขึ้นกับความใหญ่ของประเทศหรือเศรษฐกิจมหาอำนาจ แต่ขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบให้คนอยู่ได้อย่างสมดุล

ระหว่างนั่งเรือข้ามประเทศไปนอร์เวย์ ฉันก็แอบคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่นี่สักปี ก็น่าจะเป็นปีที่เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบ ‘พอดีและมีความสุข’ มากที่สุดครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้

แต่ขอเก็บเงินก่อนนะ

Don`t copy text!