ว่านผีโพง

ว่านผีโพง

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

คนในสมัยก่อนโดยเฉพาะผู้ชายนิยมเรียนคาถาอาคมไว้เป็นคุณแก่ตัวหรือเอาไว้ป้องกันตัว สุดแท้แต่จะนิยมชมชอบทางใด หรือนิยมสะสมบูชาเป็นวัตถุมงคลของขลัง ตระกรุด พระเครื่องและว่านประเภทต่างๆ เช่น ว่านเสน่ห์จันทร์แดงหรือ ว่านผีโพง ดังที่จะเล่าต่อไปนี้

พ่อของผู้เล่า ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า ในอดีตสมัยที่พ่อได้เคยบวชเรียนนานถึงสิบกว่าปีนั้น พ่อได้ไปแสวงหาความรู้จากเกจิอาจารย์พระเถระต่างๆ ที่ทรงคุณวิทยาอาคมในสมัยนั้นหลายท่าน จนในที่สุดได้ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่สีทา ซึ่งท่านเป็นพระเถระอันเป็นที่นับถือศรัทธายิ่งนักของชาวบ้านตำบลแถบทุ่งกุลานั้น พ่อได้ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนนักธรรมช่วยหลวงปู่ในสำนักเรียนอยู่หลายปี จนกระทั่งสองปีสุดท้ายก่อนพ่อจะลาสิกขา พ่อได้ขออนุญาตหลวงปู่ไปสร้างวัดที่บ้านเกิดของตน ซึ่งยังไม่เคยมีวัดมาก่อนเลย โดยบริจาคที่ดินและระดมกำลังชาวบ้านแถบนั้นหลายหมู่บ้านมาช่วยกันตัดไม้สร้างศาลาการเปรียญ สร้างกุฎี สร้างกำแพงจนแล้วเสร็จ และได้ไปนิมนต์พระเถระจากตำบลอื่นมาอยู่จำพรรษาเป็นที่เรียบร้อย พ่อจึงเข้าไปกราบหลวงปู่ขอลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาสเพื่อค้าขายเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่เฒ่าชราแล้ว หลวงปู่ท่านห้ามพ่อถึงสามครั้ง ครั้งที่สี่ท่านให้พ่อไปเรียนท่องสูตรขวัญพิธีกรรมต่างๆ ให้จบก่อนจึงจะยอมสึกให้ พ่อต้องใช้เวลาอีกปีหนึ่งเต็มๆ จึงเรียบจบ และได้สึกออกมาประกอบอาชีพค้าขายตามปรารถนา

การค้าขายของพ่อในสมัยนั้นต้องเดินทางโดยการใช้ม้าและเกวียนขนสินค้าเป็นส่วนใหญ่ จนพอมีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมาบ้าง พ่อจึงออกรถกระบะมาใช้แทนม้าและเกวียน กระทั่งสามสี่ปีหลังจากสึกพ่อได้เข้าไปกราบหลวงปู่สีทาอีกครั้ง หลวงปู่ท่านถามสารทุกข์สุขดิบการใช้ชีวิตเป็นพ่อค้าด้วยความเป็นห่วงเป็นไยหลายอย่าง เพราะด้วยวิสัยพ่อเป็นคนใจนักเลงไม่เคยกลัวใคร มีอยู่ช่วงหนึ่งพ่อได้เล่าเรื่อง ว่านผีโพง ให้หลวงปู่ฟังว่า  พ่อเจอแสงประหลาดอยู่ทางทุ่งกุลาติดดงยางใหญ่ก่อนถึงลำห้วยหลายครั้ง ตอนแรกนึกว่าเป็นแสงคบไฟจากชาวบ้านที่ออกมาหาจับปลาจับกบ แต่สังเกตดูหลายครั้งจนแน่ใจแล้วว่า ไม่ใช่แสงจากคนแน่นอน เพราะแสงที่ว่านี้ไม่ได้อยู่นิ่ง มันเป็นแสงดวงไฟสีแดงเคลื่อนที่ลอยกระพริบวิบวับขึ้นๆ ลงๆ ไปเรื่อย ๆ ตามทุ่งนา และมักจะออกมาทุกคืนเดือนมืด พ่อเคยแอบติดตามไปห่างๆ จนถึงเกือบรุ่งสางจึงพบว่า แสงไฟประหลาดดวงนั้นได้หายเข้าไปในต้นยางขนาดใหญ่ต้นหนึ่งกลางดงยางใหญ่ และเมื่อพ่อเล่าให้คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านฟังจึงได้รู้ว่าแสงที่เห็นนั้นเป็นแสงจาก ว่านผีโพง

หลวงปู่เมื่อได้ฟังพ่อเล่าแล้ว ท่านบอกพ่อว่า “อันว่านผีโพงนี้มีคุณด้านอยู่ยงคงกระพันและการทำมาค้าขายดีนักแล…ลูกอยากได้ไหม?“ เมื่อพ่อตอบว่า ”อยากได้“ หลวงปู่จึงบอกให้พ่อไปเอาว่านนั้นจากดงยางใหญ่มา ท่านจะปลุกเสกว่านเพื่อทำของดีให้ และนัดให้พ่อมาหาท่านในวันเดือนดับที่จะถึงนี้ ท่านจะบอกวิธีการไปเอาว่านที่ถูกต้องและได้ผลตามต้องการให้

ครั้นเมื่อถึงวันเดือนดับพ่อเข้าไปกราบหลวงปู่ตรงตามเวลาที่บอก หลวงปู่ได้ปลุกเสกด้ายสายสิญจน์ให้เส้นหนึ่ง แล้วให้พ่อทำเป็นวงเชือกบ่วงสำหรับมัดสะกดว่าน และบอกวิธีการเอาว่านผีโพง คือ ให้นำเขียดเป็นๆ มาตัวหนึ่งใช้มัดเชือกขาเขียดแล้วนำไปถือล่อตรงต้นไม้จุดที่หัวว่านหายเข้าไป โดยให้สังเกตว่า หากเขียดเริ่มดิ้นกระเสือกกระสนตรงจุดใด ให้ใช้ด้ายสายสิญจน์วงคล้องไว้ตรงจุดนั้นพร้อมว่าคาถาที่ท่านจะให้ เมื่อหัวว่านผุดโผล่ออกมาจากเนื้อไม้ก็ให้รีบดึงสายสิญจน์มัดทันทีแล้วห่อด้วยใบตองนำมาให้หลวงปู่

ตอนแรกพ่อจะไปเอาว่านเพียงคนเดียว แต่ย่าหรือแม่เป็นห่วงจึงขอให้อาหรือน้องชายของพ่อไปเป็นเพื่อนด้วยจะได้ช่วยดูแลกันเผื่อมีเภทภัยใดๆ ที่คาดไม่ถึง เมื่อไปถึงดงยางใหญ่พ่อให้อาเฝ้าอยู่ด้านล่างส่วนตนเองได้ปีนต้นยางขึ้นไปจนถึงตรงจุดที่เห็นดวงแสงไฟหายเข้าไป พ่อใช้เชือกมัดขาเขียดไปห้อยล่อว่านตรงจุดนั้นพร้อมเตรียมบ่วงสายสิญจน์รอไว้และท่องว่าคาถาตามที่หลวงปู่ให้มา ไม่นานเขียดก็เริ่มดิ้นทุรนทุรายกระเสือกกระสนไปมา

ทันใดนั้นเอง!  หัวว่านสีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือ ก็ค่อยๆ โผล่ผุดออกจากเนื้อไม้ตรงหน้าพ่อ เมื่อว่านขึ้นมาจนเกือบจะหมดทั้งหัว พ่อจึงดึงด้ายสายสิญจน์มัดทันที พร้อมห่อด้วยใบตองและรีบลงมาจากต้นไม้แล้วพากันนำไปหาหลวงปู่

เมื่อไปถึงหลวงปู่ได้นำหัวว่านผีโพงเข้าไปทำพิธีในห้องเพียงคนเดียวตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้าท่านจึงได้นำออกมามอบให้พ่อพร้อมบอกวิธีการเลี้ยงว่านผีโพงรวมไปถึงข้อห้ามต่างๆ ที่จะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดให้ได้ มิเช่นนั้นว่านผีโพงจะไม่อยู่ด้วยและจะกลับมาคืนที่เดิม

พ่อได้เลี้ยงว่านผีโพงอยู่หลายปี จนกระทั่งได้แต่งงานกับแม่และมีลูกสองคน กิจการการค้าขายก็ยิ่งรุ่งเรืองเจริญขึ้นตามลำดับจนพ่อสามารถออกรถสิบล้อเพิ่มได้หลายคันและตั้งโรงสีรับซื้อข้าวขายให้กับพ่อค้าชาวจีนในจังหวัด มีชื่อเสียงมีคนรู้จักนับหน้าถือตาอย่างกว้างขวาง แต่แล้วในวันหนึ่งพ่อก็ทำผิดพลาดจนได้ เมื่อพ่อได้ละเมิดข้อห้ามบางข้อที่หลวงปู่สั่งไว้โดยไม่รู้ตัว ทำให้ว่านผีโพงนั้นได้อันตรธานหายไปจากหิ้งพระ เมื่อพ่อรู้ก็รีบเดินทางไปหาหลวงปู่ที่วัดในวันนั้นทันที  พ่อบอกว่า ยังไม่ทันที่จะก้มลงกราบหลวงปู่แล้วเสร็จเลย หลวงปู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“มันกลับคืนมาแล้วนะ ไปทำผิดข้อไหนมารึ?” เมื่อพ่อตอบหลวงปู่ตามความเป็นจริง ท่านก็ถามอีกว่า

“ลูกจะเอากลับคืนไปไหม?” พ่อเห็นว่า ตนเองพอมีฐานะมั่นคงดีแล้วจึงกราบหลวงปู่และบอกท่านว่า

“กระผมจะไม่ขอเอากลับคืนแล้ว แต่จะถวายคืนให้หลวงปู่ สุดแท้แต่หลวงปู่จะมอบให้ลูกหลานลูกศิษย์ลูกหาคนใดต่อไป” หลวงปู่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีกเลย

อีกหลายปีต่อมา ในวันที่หลวงปู่สีทาท่านละสังขารไปแล้ว พ่อได้ถามถึง ว่านผีโพง กับหลานเหลนของท่าน ก็จึงได้ทราบว่า หลวงปู่ไม่ได้มอบว่านนี้ให้ใครต่ออีกเลยเพราะท่านได้พูดไว้ว่า

“ถ้าว่านนี้อยู่กับอาจารย์…ไม่ได้(พ่อผู้เล่า) ก็ไม่ควรจะอยู่กับใครได้อีก!”

พ่อคิดว่าหลวงปู่คงได้นำว่านผีโพงหัวนั้นไปปล่อยคืนดงยางแล้วอย่างแน่แท้

 

Don`t copy text!