เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
โดย : ภัทรภร
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
หลังจากการไปพบปะญาติมิตรในอดีตชาติในรอบแรก…เรื่องราวนี้ก็เป็นที่รู้กันในหมู่ทีมงานที่ไปด้วยกันประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้มีใครระแวดระวังอะไรกันเท่าไหร่ เพราะฉันก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้ฟังมาก จนมาถึงการเดินทางไปที่นั่นเป็นครั้งที่สอง
คราวนี้ มีสาวๆ ไปด้วยกันหลายคน ฉันเลยขอนอนเต๊นท์รวมกับน้องๆ อีกสองคนในเต๊นท์ที่กางไว้นอกศาลา ด้วยความที่เป็นคนนอนตรงกลางไม่ค่อยถนัด เลยขอนอนด้านริมเต๊นท์ และคิดว่า ออกมานอกพื้นที่ศาลาแล้ว ก็คงไม่มีอะไร
ตอนหัวค่ำ หลังจากทำงานกันมาเสร็จ ทีมงานก็ตั้งวงกินข้าวเม้าท์มอยเล่นกีตาร์กันไป กล่อมเพื่อนฝูง จนดึกๆ น้ำค้างเริ่มแรง น้องๆ อีกสองคนเข้านอนไปก่อนแล้ว ฉันคิดว่า เอาละ นอนดึกประมาณนี้ คงไม่ตื่นมากลางคืนอีก น่าจะรวดเดียวถึงเช้าอย่างปลอดโปร่ง ประมาณเที่ยงคืน ก็เลยค่อยๆ มุดเข้าเต๊นท์ไปแบบเงียบๆ ฉันนอนทางซ้าย ส่วนตรงกลาง สมมติว่าเป็นน้องเอ และถัดไปขวามือของน้องเอ เป็นน้องบี ก่อนนอนก็สวดมนต์ครบทุกบทที่ว่าจะช่วยคุ้มครองได้ สร้อยพระก็ขอองค์ที่ขึ้นชื่อว่าขลังสุดๆ มาจากกรุสมบัติของพ่อ
พอเริ่มเคลิ้มๆ และคิดว่าตัวเองน่าจะหลับไปแล้ว ก็เริ่มฝัน ฝันว่าลืมตาขึ้นมาในเต๊นท์นี่แหละ และรู้สึกได้ว่ามีอะไรมาวางอุ่นๆ ตรงท้อง เลยเหลือบตาลงไปมอง ก็เห็นมือข้างนึงมาวางพาดที่ท้อง ในใจก็คิดว่า เอ๊ะ หรือน้องเอดิ้น ก็เหลือบตาไปมอง เอ้า น้องก็นอนเอามือสองข้างวางอยู่บนตัวเค้า งั้นนี่มือใคร แล้วเป็นมือข้างขวา ไม่น่าใช่ของน้องละ
มือนั้นค่อยๆ คืบขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงตรงช่วงหน้าอก ฉันมองเห็นแหวนวงใหญ่ที่นิ้วกลางชัดเจนมาก เป็นเหมือนแหวนเพชรแบบโบราณ ตัวเรือนเป็นสีทอง ส่วนเพชรเม็ดใหญ่ที่หัวแหวน เป็นเพชรที่เจียระไนแบบดั้งเดิม เหลี่ยมมุมมนๆ เกือบจะเป็นทรงเดิมของเพชรดิบ มีเขี้ยวเกาะไว้พอไม่ให้เพชรหลุด นิ้วมือเรียวยาว เล็บยาวปลายแหลม ตัดแต่งสวย หลังมืออวบอูมดูนุ่มนิ่ม ผิวสีออกขาวเหลืองเนียนๆ เหมือนมือคนเป็นเจ้าคนนายคนน่ะ ไม่มีเส้นเลือดอูมๆ เหมือนคนทำงานหนักแบบพวกฉันเลย แต่ที่น่ากลัวคือ มือข้างนั้นกำลังค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงคอของฉัน ด้วยความตกใจ กลัวจะโดนบีบคอ ฉันก็เลยพยายามตะโกนเรียกชื่อน้องเอที่อยู่ข้างๆ ในหัวตอนนั้นคือเชื่อว่าตัวเองตื่นแล้วแน่ๆ เพราะพยายามดิ้นขลุกขลักๆ แต่เหมือนตัวขยับไม่ได้ และพยายามเปล่งเสียงเรียกน้องทั้งสองคน แต่เสียงก็ไม่ออกมา แบบที่คนเราเรียกกันว่าผีอำนั่นแหละ
หลังจากออกแรงดิ้นสักพัก ก็ฝืนสำเร็จ ลุกขึ้นมานั่งได้แล้วมือนั้นก็หายวับไปฉันได้แต่บอกตัวเองว่า ฝันแหละ ฝัน ไม่ใช่ผีหรอก ฝันแน่ๆ แต่ภาพมือนั้นคือชัดเจนมาก เห็นกระทั่งข้อนิ้ว ลวดลายของหัวแหวนและลายที่ตัวเรือน มันคือผีอำแบบใด ที่จะเห็นเป็นสี เป็นภาพชัดขนาดนี้ เหลือบดูนาฬิกา เวลาประมาณตีสาม หันไปมองน้องอีกสองคนก็ยังนอนกันนิ่งมาก เลยไม่อยากรบกวนก็เลยตัดใจลงนอนต่อ แล้วสวดมนต์ไปเรื่อยๆ จนหลับ
ประมาณหกโมงเศษๆ พระอาทิตย์เริ่มขึ้น ฉันก็ตื่นแล้วรีบมุดออกมาจากเต๊นท์ น้องสองคนดูเหมือนจะตื่นออกมาก่อนสักพักแล้ว ฉันไปเดินหาน้องๆ ก็พบว่ากำลังนั่งกินกาแฟกันอยู่ที่ด้านในศาลา
“ขอโทษนะ พี่ตื่นสายไปนิด เพลียๆหน่อยๆ”
น้องสองคนหันมามองฉันแล้วหันไปสบตากัน ก่อนที่น้องเอจะหันมาที่ฉันอีกรอบแล้วถามเบาๆ ว่า
“เมื่อคืนพี่นอนหลับปกติมั้ยอ่ะ”
“เอาจริงๆ ก็ไม่อ่ะ ตื่นมาประมาณตีสาม สะดุ้งๆ หน่อย ฝันร้าย พี่ดิ้นไปโดนน้องมั้ยอ่ะ”
“ไม่นะพี่ พี่นอนนิ่งมากเลย แต่ที่จะถามคือ เมื่อคืนพี่ไม่ได้ยินอะไรเลยเหรอ”
“ไม่อ่ะ พี่แค่ฝันไม่ค่อยดี แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนะ ทำไมอ่ะ มีเสียงอะไรเหรอ”
คราวนี้น้องบีที่เงียบมานานก็เลยบอกว่า
“เมื่อคืน ตั้งแต่พี่เข้ามานอน จริงๆ พวกหนูก็หลับไปพักนึงแล้วนะ แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงคนเดินรอบเต๊นท์อ่ะพี่ เดินแบบวนๆ ช้าๆ ย่ำไปรอบๆ เต๊นท์นานมาก ตอนแรกคิดว่า พวกพี่ๆ เดินกลับไปนอนกัน แต่นี่คือเดินวนๆๆ หลายรอบ นานจนหนูต้องสะกิดพี่เอ กลัวจะได้ยินไปคนเดียว ปรากฎว่า พี่เอก็ตื่นอยู่ ได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูดอะไร พอหันไปที่พี่ก็เห็นนอนนิ่งเลย พวกหนูก็เลยไม่อยากปลุก ได้แต่นอนกันเงียบๆอ่ะ ไม่กล้าทักอะไรเลย”
น้องเอก็เล่าต่อว่า “นี่คือหนูนอนกันไม่หลับเลยนะ มาป๊อกไปตอนใกล้เช้าเนี่ย ฝืนไม่ไหว แต่พี่หลับนิ่งมากเลยอ่ะ”
ฉันเลยบอกไปว่า “น้องไม่เห็นพี่ดิ้นหรือละเมออะไรเลยเหรอ พี่ลุกขึ้นมานั่งอยู่นะตอนประมาณตีสามพี่ยังกลัวว่าจะดิ้นไปโดนน้องอยู่เลย ตอนแรกอ่ะ เหมือนๆ จะฝัน พี่คิดว่าเออ่ะเผลอนอนตะแคงมาทางพี่ แล้วเอามือมาพาดคอพี่ พี่เลยจะปลุกน้อง แต่หันไปคือน้องอ่ะหลับกันสนิทมาก นิ่งมาก พี่ก็เลยนอนต่อแบบเงียบๆ ไม่กล้าปลุกเหมือนกัน”
“โห พี่ ถ้าขนาดพี่ลุกมา แต่เห็นหนูหลับกันสนิทก็แปลกมากแล้วพี่ แล้วพวกหนูไม่เห็นพี่ลุกมายิ่งแปลกนะ พี่ลุกขึ้นมาจริงๆ เหรอ ตีสามกว่าพวกหนูยังนอนหลับๆ ตื่นๆ กันอยู่เลย”
“ลุกจริงๆ ไม่ได้ฝัน ไม่ได้ละเมอ เพราะคิดว่าฝันร้าย พอตื่นขึ้นมาได้ ยังนั่งมองน้องอยู่เลย นั่งสวดมนต์อยู่สักพักด้วยซ้ำ”
พอหันไปมองหน้าน้องๆที่เงียบอยู่ สุดท้ายก็เลยได้ข้อสรุปกับตัวเอง และบอกน้องไปว่า
“โอเค พี่ขอโทษ เค้าคงจะมาหาพี่จริงๆ แหละ แต่ก็ไม่คิดว่า จะรบกวนไปถึงน้องๆ ด้วย ขอโทษนะ”
และนั่นก็เลยเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้นอนกับคนอื่นๆ
เพราะหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่ไปทำงานที่นั่น หรือที่อื่นๆ ทุกคนจะพร้อมใจกันบอกว่า
“พี่นอนคนเดียวเถอะนะ พวกหนูไม่กล้านอนกับพี่แล้วอ่ะ มาหลอกพี่ทีก็เผื่อแผ่มายันคนที่นอนด้วยเลย ไม่ไหวจริงๆ”
แต่แล้วในที่สุด…อีกไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้รู้ว่าคนที่มาฉันเป็นใคร
ไว้จะมาเล่าต่อตอนหน้านะ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ