ผีต้นบากใหญ่

ผีต้นบากใหญ่

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

ด้านทิศตะวันออกหมู่บ้านของผู้เล่า ชาวบ้านเรียกกันว่าโคกเพราะเป็นพื้นที่ค่อนข้างสูง น้ำไม่ค่อยท่วมถึงจึงเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายพันธุ์ และตรงกลางโคกที่ว่ามานี้มีต้นไม้ชนิดหนึ่งยืนต้นสูงเด่นเป็นสง่ามานานนับหลายร้อยปีชาวบ้านแถบนั้นเรียกกันว่า ‘ต้นบาก’ ซึ่งสูงมาก มากจนกระทั่งว่าต่อให้ใครเดินออกจากหมู่บ้านไปทางทุ่งกุลาร้องไห้แม้จะอยู่ไกลจนถึงสองสามหมู่บ้านแล้ว ก็ยังมองเห็นปลายต้นบากใหญ่ต้นนี้อยู่ ในวัยเด็กผู้เล่าเคยไปยืนที่โคนต้นบาก แหงนหน้าดูจนหงายหลังล้มลงยังไม่สามารถมองเห็นปลายต้นบากใหญ่นี้ได้เลย สูงถึงขนาดนั้น

ต้นบากใหญ่นี้นอกจากจะสูงสุดฟ้าแล้ว ลำต้นยังใหญ่มากขนาดผู้ใหญ่สิบคนโอบรอบยังไม่มิด ลำรากของมันได้โผล่ขึ้นพ้นพื้นดินมาโดยรอบ แต่ละรากมีลำใหญ่เท่าต้นไม้ปกติจนแลดูน่ากลัว แต่กลับกลายเป็นที่นั่งพักและเป็นที่เล่นสนุกสนานของชาวบ้านและเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายแถวนั้น เพราะกิ่งก้านสาขาอันแผ่กว้างออกไปไกลโดยรอบทำให้ดูร่มรื่นชวนเอนกายลงหลับนอนเป็นอย่างยิ่ง ผู้เล่าเองยังเคยหลงงีบหลับที่ร่มต้นบากใหญ่นี้เสมอ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ขึ้นมา

ผู้เล่ายังจำได้ว่า ทุ่มกว่าๆ ของวันหนึ่งมีเสียงคนตะโกนดังโหวกเหวกมาทางหน้าบ้าน “ผู้ใหญ่ๆ อยู่ไหม?” เสียงพ่อขานรับไป สักพักก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาที่ลานหน้าบ้าน เมื่อเข้ามาใกล้ก็รู้ว่าเป็นพ่อแม่ของเพื่อนผู้เล่าคนหนึ่งซึ่งเคยต้อนวัวออกไปเลี้ยงด้วยกันเป็นประจำ มาพร้อมกับชาวบ้านที่เป็นญาติในหมู่บ้านอีกสี่ห้าคน ทุกคนมีสีหน้าที่วิตกกังวล

“นังปีลูกฉันมันหายไป พ่อผู้ใหญ่…จนป่านนี้ยังไม่กลับมาจากเลี้ยงวัวเลย มีแต่วัวเท่านั้นที่มันกลับมาเข้าคอกแล้วตั้งแต่ตอนค่ำ ฉันกลัวมันจะเป็นอะไรไป!” แม่ของเด็กที่หายพูด

พ่อพูดปลอบใจแม่ของเด็กแล้วหันมาถามผู้เล่าซึ่งเคยไปเลี้ยงวัวและเล่นสนุกด้วยกันอยู่เป็นประจำว่า “ลูกเห็นมันบ้างไหม?” ผู้เล่าตอบว่า เห็นตั้งแต่เมื่อวาน แต่วันนี้ยังไม่เห็นกันเลยเพราะได้ต้อนวัวออกไปเลี้ยงทางฟากทุ่งกุลาฯ ไม่ได้ไปทางโคกจึงไม่ได้เจอกัน

เสียงผู้ใหญ่พูดจาหารือกันอย่างเร่งรีบจับใจความได้ว่า วันนี้นังปีได้พาฝูงวัวออกไปเลี้ยงที่โคกตามปกติกับเพื่อนๆ หลายคน ในช่วงบ่ายนั้นหลังจากเล่นสนุกกันจนเหนื่อยแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันเอนตัวลงนอนเล่นจนกระทั่งบ่ายแก่ใกล้ค่ำ ฝูงวัวควายได้หันหน้าเดินทางกลับไปกินน้ำที่หนองหน้าหมู่บ้านก่อนเข้าหมู่บ้าน ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นแล้วหอบถุงย่ามวิ่งตามฝูงวัวควายของตนไปจนถึงบ้าน

“เอ็งไม่เห็นรึ ว่านังปีมันลุกตามมารึเปล่า” พ่อนังปีถามเพื่อนอีกคนของผู้เล่า

ผมว่าเห็นมันลุกแล้วนะลุง…แต่มันจะตามมารึเปล่า ผมลืมดู!” เพื่อนคนนั้นตอบ

“อ้าว!  แล้วพวกเอ็งพากันไปเล่นที่ไหน?” แกถามต่อไปอีก หากพอเพื่อนของผู้เล่าตอบว่า

“ที่ต้นบากใหญ่!” ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ มองหน้ากันนิ่งแล้วพวกผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายพากันจับมีดถือปืนถือไฟฉายและตะเกียงแก๊สพาเดินออกจากหมู่บ้านข้ามถนนหลวงตรงไปที่โคกทันที ระหว่างนั้นผู้เล่าสังเกตเห็นพ่อหยิบเทียนธูปติดมือไปด้วยทิ้งให้ผู้หญิงและเด็กๆ อย่างผู้เล่านั่งมองหน้ากันไปมาอยู่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ผู้เล่าจึงหันไปถามป้าที่นั่งวิตกอยู่ตรงนั้นว่า

“ป้า ถ้าปีอยู่ที่ต้นบากใหญ่แล้ว…จะเป็นอะไรหรือ?” ป้าหันมาดุผู้เล่าทันทีและห้ามไม่ให้ถามอะไรอีก จนผู้เล่าและเพื่อนเด็กคนอื่นๆ ไม่กล้าถามต่อ

กระทั่งสองชั่วโมงผ่านไป จึงเห็นพวกผู้ใหญ่ทั้งหมดที่ออกไปตามหาคนหายพากลับมาเงียบๆ และมีนังปีเดินทำหน้าตาตื่นๆ งงๆ กลับมาด้วย ผู้เล่ากำลังจะอ้าปากถามนังปีอยู่ทีเดียวว่ามัวไปเล่นอยู่ที่ไหน แต่สายตาพลันหันไปเห็นแม่ผู้เล่ายืนขึงตาห้ามไว้เสียก่อนจึงสงบปากตัวเองไว้

ครั้นพอรุ่งเช้าวันต่อมาพวกเราชาวเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทุกคนจึงได้มาสุมหัวกันฟังเรื่องราวอันชวนขนลุกจากนังปีอยู่กลางโคก หากแต่สถานที่ฟังได้เปลี่ยนเป็นใต้ร่มพยอมแทนต้นบากใหญ่เพราะถูกผู้ใหญ่สั่งห้ามไม่ให้ไปเล่นที่นั้นอีก

“เอ็งลุกแล้วไม่ใช่เหรอ? ข้าว่า…ข้าเห็นตอนเอ็งลุกนะปี” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มยิงคำถามแรก

“อื่อ…ลุกแล้ว แต่กลับนอนลงคืนที่เดิม!” นังปีตอบเบาๆ

“อ้าว!…ทำไมล่ะ” ทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกัน แล้วนังปีก็เล่าให้หายสงสัยว่า …

วันนั้นเพื่อนเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทุกคนยกเว้นผู้เล่า ได้ปล่อยวัวควายไปเลี้ยงที่โคกตามปกติ และได้ไปวิ่งเล่นสนุกสนานที่ใต้ต้นบากใหญ่เหมือนอย่างเคย แต่ปีบอกว่าวันนั้นรู้สึกง่วงนอนมากกว่าปกติ ทั้งที่ก็ไม่ได้นอนดึกหรืออดหลับอดนอนมาจากที่ใด แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ลมพัดผ่านใต้ร่มบากใหญ่เย็นสบายมากกว่าทุกวัน ทำให้เด็กทุกคนหลังจากเล่นสนุกสนานจนเหนื่อยอ่อนแล้วเมื่อเอนกายลงพื้นดินตรงนั้นต่างคนก็จึงหลับสนิททันที

นังปีเล่าว่า ตนเองฝันแปลกประหลาดและเป็นฝันที่เหมือนจริงมาก ฝันว่าหลังจากล้มตัวลงนอนแล้วได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนฟ้าเริ่มพลบค่ำ ฝูงวัวควายกลับบ้านจนหมดทุกตัว จึงเข้าไปปลุกเพื่อนแต่ละคนที่นอนหลับใหลอยู่ให้ตื่นกลับบ้าน แต่ไม่ว่าจะปลุกสักเท่าไรก็ไม่มีใครลุกขึ้นจนรู้สึกโมโห ในขณะที่ปลุกเพื่อนๆ อยู่นั้น สายตาพลันมองไปเห็นร่างๆ หนึ่งเดินโผล่พ้นออกมาจากต้นบากอีกด้าน เมื่อเพ่งดูชัดๆ ก็พบว่าเป็นหญิงสาวผิวขาวผมยาวลงมาจนถึงเอวสวมเสื้อแขนยาวสีดำนุ่งผ้าถุงสีดำเชิงผ้าสีแดงก่ำเหมือนผ้านางรำเขมร เดินออกมาหยุดตรงหน้าแล้วพูดว่า

“ใกล้จะค่ำแล้ว…เดี๋ยวน้าจะพาไปส่งบ้าน แล้วค่อยไปบอกให้พ่อแม่เด็กพวกนี้มาตามกันเอาเอง!”

ผู้หญิงคนนั้นมีเสียงดังห้าวใหญ่และก้องกังวานมากเหมือนกับไม่ใช่เสียงคนธรรมดา แรกๆ นังปียังนิ่งอยู่ไม่กล้าลุกนางจึงเดินมาจับมือแล้วฉุดดึงให้ลุกขึ้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดทำให้นังปีเดินตามผู้หญิงนางนั้นไปทันที เมื่อหันกลับมาดูเพื่อนอีกครั้งก็กลับพบว่าทุกคนได้หายไปแล้ว และต้นบากใหญ่ต้นนั้นก็ดูเหมือนว่าจะสูงใหญ่กว่าเดิมอีกหลายเท่า ซึ่งบัดนี้ได้มีผู้คนหลายคนกำลังเดินไปมารอบโคนต้นเหมือนกับว่ากำลังพากันทำอะไรสักอย่างอยู่ ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นหญิงจะนุ่งห่มอย่างหญิงนางดังกล่าว ส่วนผู้ชายจะไม่สวมเสื้อ แต่จะนุ่งผ้าโจงกระเบนยกชายสูงแบบที่เรียกว่าถกเขมร ผู้หญิงนางนั้นได้พานังปีเดินวนเวียนในป่าโคกนั้นเป็นเวลานานสองนานก็ยังไม่ถึงบ้านสักทีจนนังปีร้องถามว่า

“น้าจะพาหนูไปไหน? หนูจะกลับบ้าน!” ผู้หญิงนางนั้นไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งมาถึงที่แห่งหนึ่งนางบอกว่า

“ถึงบ้านแล้ว!” ปีมองบ้านตรงหน้าแล้วก็ต้องสะดุ้งแปลกใจเพราะสถานที่ต้นไม้หรือสวนครัวนั้นคล้ายบ้านของตน หากแต่ตัวเรือนนั้นไม่ใช่ กลับเป็นบ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว จึงร้องบอกว่า

“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่บ้านหลังนี้” แต่ต่อให้นังปีร้องบอกสักเท่าไรหญิงนางนั้นกลับยืนนิ่งเฉยอยู่ในความมืดจนดูน่ากลัว  ในฝันนั้นนังปีบอกว่าตนเองกลัวมากกลัวจนตัวสั่นไปหมด ครั้นมาคิดได้ว่าผู้หญิงนางนั้นต้องไม่ใช่คนแน่เลย กรูมาเจอผีเอาเสียแล้ว! จึงวิ่งหนีออกมาสุดชีวิต วิ่งอย่างไม่รู้ว่าจะไปที่ใด ได้แต่วิ่งพลางตะโกนให้คนช่วย

“ช่วยด้วยๆ!”

จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีก็พบว่า ตนเองได้มายืนอยู่ใต้ต้นบากใหญ่อีกครั้งเสียแล้ว ในระหว่างที่กำลังสับสนว่าจะทำอย่างไรดีอยู่นั้น ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะมีคนมาเขย่าตัวปลุก พอลืมตาตื่นก็พบว่าเป็นพ่อของตนนั่นเองที่มาตามหาจนพบ

วันต่อมาผู้เล่าได้ลองถามคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านดูก็ได้ความว่า หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นอดีตเมืองขอมเก่ามานานนับพันปีแล้ว สังเกตจากมีแนวกำแพงเก่าอันเป็นคูหนองใหญ่รอบเนินหมู่บ้าน มีประตูที่เป็นทางเข้าเพียงสี่ทาง และมีแนวกำแพงที่เป็นคูรอบนอกอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งแนวคูกำแพงชั้นนี้ชาวบ้านเรียกว่า ฮ่อง หรือ ร่อง และด้านที่เป็นประตูทางเข้าทางทิศตะวันออกก็คือทางเกวียนที่ผู้เล่าและเพื่อนๆ ได้ต้อนวัวควายออกไปเลี้ยงที่ป่าโคกทุกวันนั่นเอง ซึ่งต้นบากใหญ่ก็อยู่ห่างจากแนวประตูนี้ออกไปไม่ถึงห้าร้อยเมตร คนเฒ่าคนแก่บอกว่าต้นบากใหญ่นี้น่าจะเคยเป็นที่พักของผู้คนที่เข้าเมืองและเป็นที่ล่ามช้างของพ่อค้าอีกด้วย

แต่ผู้หญิงคนที่นังปีเจอจะเป็นใครนั้นก็สุดจะคาดเดาได้ หรือบางทีอาจจะเป็นญาติสนิทของนังปีในอดีตโน้นกระมัง!

ท้ายที่สุดนังปียังพูดต่ออีกว่า ตอนที่เดินตามพ่อและผู้ใหญ่ออกมาได้ไม่ไกลนักยังได้หันกลับไปมองต้นบากใหญ่อีกครั้ง หากตามันไม่ฝาดในความมืดสลัวนั้น ได้มองเห็นเงาร่างรางๆ ของผู้หญิงนางนั้นยืนอยู่ใต้ต้นบากใหญ่อยู่ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรบอกใครจนกระทั่งถึงวันนี้

 

Don`t copy text!