
ผีไล่ควาย
โดย : ทรรศิตา
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
ในบางปีเราชาวคาวบอยหรือเด็กเลี้ยงวัว ได้ปล่อยวัวออกไปเลี้ยงทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านบ้าง ซึ่งเรียกกันว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” และต้องไปรวมกลุ่มกับเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทางคุ้มตะวันตกอันเป็นเจ้าถิ่น ซึ่งก็ไม่ได้แปลกหน้าแปลกตากันแต่อย่างใด เพราะเข้าโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นป.๑ และนี่เองจึงเป็นเหตุให้ได้ยินเรื่องราวลึกลับตื่นเต้นหลายเรื่องของทุ่งกุลาฯ ฟากนี้บ้าง
ทุ่งกุลาร้องไห้ที่หมู่บ้านของผู้เล่าตั้งอยู่เป็นสุดเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดมหาสารคาม กับบุรีรัมย์และสุรินทร์ ถือได้ว่าเป็นส่วนหางของทุ่งกุลาร้องไห้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เพราะมีลำห้วยลำพลับพลา ลำพังซู และลำน้ำมูลไหลพาดผ่าน นี่แค่ส่วนหางทุ่งยังดูกว้างขวางมองเห็นแต่ฟ้าจดแผ่นดินสุดลูกหูลูกตา มิต้องพูดถึงส่วนอื่นๆ ว่าจะกว้างขวางกันขนาดไหน และแผ่นดินทุ่งกุลาฯ อันมีพื้นที่กว้างขวางนี้ใช่จะมีแต่ทุ่งนาเท่านั้น หากแต่ยังมีเนินหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางทุ่งและเนินที่ไม่ใช่หมู่บ้านอยู่หลายที่ ซึ่งคนทุ่งกุลาฯเรียกว่า โคก หรือโนน โดยมีชื่อเรียกตามภูมิพื้นที่นั้นๆ หรือตามชื่อคนที่จับจองเป็นเจ้าของก่อน เช่น โนนม่วง เพราะมีต้นมะม่วงใหญ่ตั้งอยู่กลางเนิน โนนตามา โนนตาปรอง โคกตราด ซึ่งเดาว่าคนที่ไปจับจองทำเป็นเจ้าของก่อนน่าจะมีชื่อดังกล่าวผู้คนจึงเรียกตามๆ กันมา ทั้งโนนและโคกที่ว่ามีทั้งที่เป็นเนินที่สูงและกว้างมากและเป็นที่เนินต่ำๆ ไม่สูงนัก แต่ทุกเนินจะเต็มไปด้วยป่าไม้จำพวกไผ่ ต้นยาง สะแบง บาก ต้นตาล มะม่วง หว้าและอื่นๆรกเต็มไปหมด บางเนินมีบ่อน้ำใสและสระน้ำอยู่ริมเนินก็มี หากเปรียบทุ่งกุลาฯเป็นทะเลทรายเนินพวกนี้ก็คือพื้นที่ที่เรียกว่า “โอเอซิส” นั่นเอง จึงเป็นสถานที่ที่ให้ชาวบ้านที่ไปทำนาหรือเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายรวมทั้งสัตว์เลี้ยงได้เป็นที่พักอาศัยได้กินดื่มหลบแดดร้อนมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว
“โนนดงบ้านยางร้าง” ก็เป็นเนินสูงใหญ่อีกเนินหนึ่งที่ผู้เล่าจะเล่าดังต่อไปนี้
โนนดงบ้านยางร้าง เป็นเนินที่เคยเป็นหมู่บ้านมาก่อน แต่จะด้วยสาเหตุอันใดมิทราบผู้คนชาวบ้านจึงได้อพยพย้ายออกไปตั้งหมู่บ้านใหม่อันอยู่ห่างออกไปไกลจากที่เดิมถึงเกือบสิบกิโลเมตร หากจะสันนิษฐานว่าเพื่อให้อยู่ใกล้กับทางหลวงแผ่นดิน อันจะสะดวกต่อการคมนาคมก็ไม่น่าจะใช่เพราะทางหลวงแผ่นดิน เพิ่งตัดสร้างใหม่ประมาณ ๗๐ กว่าปีมานี่เองหลังการย้ายหมู่บ้านด้วยซ้ำ จึงคิดว่าน่าจะเป็นด้วยสาเหตุอื่นมากกว่า ผู้เล่าเองเคยไปเดินดูโนนบ้านรอบนอกพร้อมกับเพื่อนๆ ทั้งทางด้านทิศเหนือและใต้ พบว่ามีสระร้างรายรอบหมู่บ้าน คล้ายกับหมู่บ้านของผู้เล่า จึงคิดว่าน่าจะเคยเป็นเมืองเมืองเขมรเก่ามาก่อนแตกต่างแค่เพียงมีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น และกลุ่มเด็กเลี้ยงวัวเลี้ยงควายรุ่นราวคราวเดียวกันกับผู้เล่ายังไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปในโนนดงบ้านยางร้างนี้เลย เพียงแค่เอ่ยชื่อทุกคนก็ขนลุกกันแล้วเพราะมีคำร่ำลือมาว่า ผีดุมาก! ดังนั้น พวกเราทุกคนจึงไม่เคยต้อนวัวหรือควายไปเลี้ยงแถวโนนหมู่บ้านร้างนั่นเลย ถ้าหากใครเกิดวัวควายพลัดหลงเข้าไปล่ะก็ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมคราวซวยหนักจริงๆ เรื่องนี้ “ทิดหมาน” เป็นผู้ผ่านประสบการณ์เรื่องคำเล่าลือเหล่านี้มาโดยตรงเป็นคนเล่าให้ฟัง
ทิดหมาน เป็นหนุ่มโสดวัยสี่สิบกว่าปี นอกจากหน้าตาแกจะดูตลกแล้วอุปนิสัยยังเป็นคนชอบคุยตลกสนุกสนานจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของพวกเราชาวเด็กๆ เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการได้ไปนั่งฟังทิดหมานเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่บันเทิงเริงรมย์สุดๆ เพราะการเล่าเรื่องของแกจะมีลีลาหน้าตาท่าทางน้ำเสียงเปลี่ยนไปตามเรื่องที่เล่าเล่นเอาชาวเด็กๆ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายแทบจะไม่กระพริบตากันเลยทีเดียว อย่างเช่นเรื่อง ผีโนนดงบ้านยางร้างนี้
ทิดหมานเล่าว่า ตอนที่แกยังเป็นเด็กเรียนชั้น ป.๖ อยู่ วันหนึ่งได้ต้อนควายจำนวนหกตัวออกมาเลี้ยงที่ทุ่งกุลาฯกับเพื่อนๆ ตามปกติ แต่วันนั้นเล่นซนสนุกสนานกับเพื่อนๆ เพลินหนักไปหน่อย จึงเหนื่อยและพากันเอนตัวลงนอนพักที่ร่มไม้ริมโนนม่วงจนกระทั่งเผลอหลับไปมาตื่นขึ้นอีกทีก็ปรากฏว่าบ่ายคล้อยจวนใกล้ค่ำแล้ว มองหาฝูงวัวควายก็เห็นพากันบ่ายหน้าเดินกลับไปทางเข้าหมู่บ้านอยู่ลิบๆ โน้น จึงปลุกกันแล้วลุกขึ้นออกวิ่งตามฝูงวัวควายไปทันที เมื่อไปถึงริมห้วยลำพลับพลาที่ฝูงวัวควายกำลังลอยน้ำข้ามอยู่ ก็พบว่าควายของตนได้หายไปเสียแล้วไม่ได้ตามฝูงลงมา ขณะที่กำลังเดินกลับคืนทุ่งกุลาฯเพื่อไปตามหาฝูงควายก็พบลุงคนหนึ่งเดินสวนมา เมื่อถามลุงแกบอกว่า
“ลุงเห็นฝูงควายห้าหกตัวที่ริมหนองโนนดงบ้านยางร้างโน้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นควายของใครเพราะมันอยู่ไกล” พอได้ฟัง ทิดหมานก็วิ่งไปตามที่ลุงบอกทันที ด้วยกลัวว่าควายของตนจะเข้าไปในโนนดงบ้านยางร้างที่เขาเล่าลือกันว่าผีดุนักหนา เมื่อไปถึงก็ถึงกับใจหายวาบเพราะฝูงควายได้หายไปจากตรงหนองน้ำนั้นเสียแล้ว เมื่อได้เดินสังเกตดูร่องรอยน้ำและรอยคราบเปลือกตมที่ควายลงนอนแช่แล้วขึ้นมาจากหนอง ก็ปรากฏเป็นทางยาวหายเข้าไปในดงตรงทางเข้าหมู่บ้านร้าง ถึงตอนนี้ทิดหมานเล่าว่า ตอนนั้นเริ่มรู้สึกจะกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ความกลัวไม้เรียวและคำด่าของแม่ตนเองนั้นดูจะมีอิทธิพลมากกว่าจึงตัดสินใจเดินตามรอยควายเข้าไปในโนนดงบ้านยางร้างทันที
ทิดหมาน ยิ่งเดินตามทางลึกเข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งมืดมากขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะรายรอบกายนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้สูงลิบและรกเรื้อด้วยหมู่เถาวัลย์พันกันจนดูมืดครึ้มไปหมดจนแทบไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่มาก่อน บางแห่งมีร่องรอยรั้วไม้อยู่บ้างแต่ก็ผุพังไปจนเกือบหมดแล้ว มองไปทางใดก็มีแต่ป่าหญ้าขึ้นรกเต็มไปทั้งหมดทั้งสิ้น แกเดินมาตั้งนานทั้งร้องเรียกหาควายจนรู้สึกเหนื่อยหอบอาจคงเพราะต้องเดินขึ้นเนินด้วย จนกระทั่งมาถึงกลางหมู่บ้านซึ่งน่าจะเป็นจุดที่สูงที่สุด ที่เรียกว่ากลางหมู่บ้านนั้นเพราะเป็นทางแยกมีศาลาไม้เก่าๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ แล้วฉับพลันนั่นเอง เสียงนกเสียงกาเสียงจักจั่นเรไรที่ร้องอยู่ก็เงียบเสียงลงทันที มันเงียบกริบเสียจนได้ยินเสียงหายใจหอบของตนเอง
ทิดหมานบอกว่าตอนนั้นจู่ๆ ขนก็ลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว เหมือนมีลมอะไรเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะเนื้อตัวจนแกรู้สึกกลัวไปหมด จึงหันหน้าวิ่งลงเนินกลับคืนทันที แต่ยิ่งวิ่งไปสักเท่าไรก็มักจะมาโผล่ที่ตรงศาลากลางบ้านนี้ทุกครั้ง เป็นอย่างนี้สามสี่ครั้งจนแกเหนื่อยหอบจึงนั่งลงร้องไห้ด่าวัวด่าควายไปตามประสาเด็กทั้งกลัวทั้งโกรธปะปนกันไปหมด แล้วจู่ๆ ก็พลันได้ยินเสียงกะโลงที่คอควายดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของทางแยก เมื่อลุกขึ้นหันไปดูก็พบฝูงควายของตนกำลังเดินฝ่าพงหญ้าออกมา แต่ฝูงควายมิได้ออกมาตามลำพังหากมีร่างคนกลุ่มหนึ่งประมาณสามสี่ร่างไล่ตามมันออกมาด้วย! เป็นร่างของผู้ชายทั้งหมดไม่สวมเสื้อ หากแต่นุ่งผ้าโจงกระเบนยกรั้งสูงสีออกแดงคล้ำหม่นๆ บางร่างมีผ้าขาวม้าเก่าๆ พาดไหล่หรือคล้องคอมาด้วย
“มึง อย่าปล่อยควายให้มันเข้ามาอีกนะ!” เสียงผู้ชายที่เดินนำหน้ามาถึงก่อนพูดเสียงเบาๆ แต่มันดูเหมือนดังก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า ส่วนอีกสามร่างนั้นได้แต่ยืนจ้องมองมานิ่งๆ ไม่ไหวติงราวกับไม่มีชีวิต ถึงตอนนี้นี่เองที่ทิดหมานสังเกตว่า ตรงกลางทางที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ปรากฏว่ามีร่างของเด็กและผู้ใหญ่ทั้งหญิงและชายปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกหลายร่าง ซึ่งทิดหมานก็งงเหมือนกันว่าโผล่มาตอนไหนไม่ทันได้สังเกต แต่ที่แน่ๆ ทุกร่างต่างหันจ้องมองตรงมาทางทิดหมานทั้งสิ้นราวกับว่าทิดหมานเป็นตัวประหลาดอะไรสักอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็น!
“ครับ!” เมื่อได้สติทิดหมานรีบรับคำ แล้วรีบเร่งไล่ควายทั้งฝูงลงมาทันที แต่พอห่างออกมาได้สักระยะแกหันมองกลับไปดูอีกทีก็ต้องแปลกใจเพราะร่างของผู้ชายกลุ่มนั้นได้อันตรธานหายไปแล้วอย่างไม่รู้ว่าหายไปทางทิศใดเพราะรวดเร็วเหลือเกิน จนกระทั่งพ้นออกจากโนนดงบ้านยางร้างจึงหยุดถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อมานึกๆ ดูแล้ว ทิดหมานมั่นใจว่าร่างผู้คนที่เห็นเมื่อครู่นั้นต้องไม่ใช่คนแน่นอน เพราะจะไปจะมาดูรวดเร็วเกินมนุษย์ เมื่อกลับไปเล่าให้พ่อแม่ฟังทั้งคู่นิ่งมองตากันแต่ไม่พูดอะไร จนกระทั่งรุ่งเช้า แม่จึงพาทิดหมานไปรดน้ำมนต์กับหลวงพ่อที่วัดและบอกทิดหมานว่าต่อไปอย่าไปเล่นแถวนั้นอีก และอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังถ้าไม่จำเป็น
“แล้วน้าหมานทำไมเล่าให้พวกผมฟัง ไม่กลัวเหรอ?” เด็กขี้สงสัยบางคนถามขึ้นกลางกลุ่ม ส่วนเด็กที่ไม่สงสัยอะไรเลยซึ่งเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยมองหน้ากันไปมา
“น้าโตแล้วนี่หว่า จะไปกลัวอะไร้! ตอนบวชหลวงพ่อให้ของดีมาหลายอย่างมีคาถาด้วยนะ อยากได้ไหม?” เท่านั้นเอง เด็กกลัวผีทุกคนก็ชูมือตะโกนแข่งกันขอคาถาขอของดีจากทิดหมานดังระเบ็งเซ็งแซ่ไปหมด จนลืมไปว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าห่างออกจากโนนม่วงนี้ไปไม่ไกลนัก คือป่าโนนดงบ้านยางร้างอันยืนปรากฏทิวทะมึนอยู่ท่ามกลางเปลวแดดแห่งทุ่งกุลาร้องไห้
- READ ดอนปู่ตา
- READ ผีไล่ควาย
- READ ผีต้นบากใหญ่
- READ วิญญาณออนไลน์
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #3
- READ โรงเรียนวิญญาณหลอน
- READ ผีสางนางน้ำบ่อ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ