หนองบัวแดง

หนองบัวแดง

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

ผู้เล่ายังไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่า เหตุใดป้าแสงกับลุงดำจึงพากันออกไปสร้างบ้านให้อยู่ห่างจากหมู่บ้านเดิมไกลถึงขนาดนี้ ที่ว่าไกลมากเพราะต้องเดินออกจากหมู่บ้านข้ามทางหลวงแผ่นดินลงไปอีกจนถึงติดเขตรั้วด้านทิศเหนือของโรงเรียนประถมประจำหมู่บ้านซึ่งในปี ๒๕๒๑ แถวนั้นยังเป็นดงป่ารกและดูน่ากลัวอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าทั้งคู่มีที่สวนไร่นาอยู่ตรงนั้น หรือด้วยนิสัยทั้งคู่เป็นคนรักสันโดษ ชอบเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร นานๆ ทีถ้ามีงานบุญชาวบ้านจึงจะเห็นหน้าทั้งคู่สักครั้งหนึ่ง หรืออาจจะเป็นด้วยชะตากรรมที่กำหนดให้ทั้งคู่ต้องมาอยู่และมาพบกับโศกนาฏกรรมอันสะเทือนขวัญยากเกินจะหลีกเลี่ยง!

ประนอมและสุชัยเป็นลูกของป้าแสงและลุงดำในจำนวนลูกทั้งหมดเจ็ดคน สุชัยเป็นลูกชายคนโตตอนนั้นอยู่ชั้น ป. ๒ ประนอมเป็นลูกสาวคนที่สองกำลังเรียนอยู่ชั้นป. ๑ ซึ่งอยู่ชั้นเดียวกันกับผู้เล่า ส่วนลูกคนที่สามตอนนั้นยังอยู่ในท้องของป้าแสงที่กำลังตั้งท้องอยู่ส่วนนอกนั้นยังไม่เกิด ทุกๆ วัน ผู้เล่าจะเห็นสุชัยและประนอมพากันเดินลัดป่าลัดทุ่งออกจากบ้านมาที่โรงเรียนเสมอๆ มีเช้าบ้างสายบ้างเป็นบางวัน แม้ว่าบางทีจะไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ หากครูประจำชั้นก็ไม่ว่ากระไรคงเพราะเห็นใจว่าบ้านอยู่ไกลมากนั่นเอง  ประนอมนั่งเรียนโต๊ะติดกันกับผู้เล่า แต่สิ่งที่ผู้เล่าจำประนอมได้ติดตาคือนอกจากเธอจะเป็นเด็กรูปร่างผอมดำตัวเล็กๆ แล้วประนอมยังมีความสามารถพิเศษนั้นคือ เขียนตัวหนังสือ คัดลายมือได้สวยงามเป็นระเบียบมาก จนผู้เล่าเองถึงกับอยากเขียนลายมือให้ได้แบบนั้นบ้าง ส่วนสุชัยพี่ชายของประนอมผู้เล่าไม่ค่อยสนิทสนมมากนักอาจจะคงต่างเพราะอยู่คนละชั้นเรียน ในชั้นป. ๑ อันมีนักเรียนจำนวนมากถึง ๔๔ คน นอมเป็นนักเรียนหญิงที่มีกริยามารยาทเรียบร้อยที่สุดจนครูทุกคนชมเชยอยู่เสมอ

ผู้เล่าเคยไปบ้านของประนอมครั้งหนึ่ง จำได้ว่าบ้านของประนอมนั้นปลูกเป็นโรงเรือนไม้ยาวติดพื้นดินที่ทุบจนแน่นมีชั้นเดียวดูแปลกแตกต่างจากบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไปที่มักสร้างเป็นเรือนสองชั้นมีใต้ถุนสูง ตัวบ้านตั้งอยู่กลางเนินอันรอบล้อมไปด้วยต้นไม้จนดูมืดครึ้ม หากร่มเย็นและผืนที่นาทั้งไม่มีรั้วบ้าน ถัดออกมาอีกไม่ไกลเป็นที่ลุ่มต่ำมีหนองน้ำอันเต็มไปด้วยต้นกกและบัวสายที่เรียกกันว่า บัวแดง

บริเวณแถบนี้แต่ก่อนเคยเป็นที่ลุ่มแอ่งน้ำใหญ่อันมีน้ำไหลล้นออกมาจากสระกำแพงเมืองเก่ารอบหมู่บ้าน ต่อมาทางราชการตัดถนนหลวงแผ่นดินพาดผ่านทำให้หนองบัวแดงดังกล่าวถูกผ่าออกเป็นสองส่วน และตรงส่วนกลางที่ค่อนข้างลึกได้วางฝังท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่จำนวนสามแถวเพื่อระบายน้ำจากอีกฟากไปสู่อีกฟาก ซึ่งผู้เล่าเองก็แปลกใจว่า ทำไมไม่ทำเป็นสะพานไปเสียเลยน้ำจะได้ไหลสะดวกกว่านี้ ดังนั้นในช่วงฤดูฝนบริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยน้ำที่ไหลออกจากสระกำแพงเมืองเก่ามายังท่อระบายน้ำและไหลลอดท่อออกไปยังอีกด้านหนึ่งของหนอง อันอยู่ติดเนินบ้านนาสวนของประนอม บางปีน้ำมากจนเกือบท่วมถนนบริเวณตรงท่อระบายน้ำทำให้ตรงนั้นเกิดเป็นวังน้ำวนส่งเสียงครางดูน่ากลัวจนผู้เล่าเห็นแล้วยังเก็บไปฝันร้ายว่าตัวเองตกไปในวังน้ำวนตรงปากท่อนั้นหลายครั้ง จึงไม่ค่อยกล้าไปบริเวณหนองบัวแดงนั้นอีกหากไม่จำเป็นจริงๆ และแล้วเหตุการณ์ร้ายที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในภาคเรียนสุดท้ายของชั้น ป. ๑ ปีนั้นเอง

วันนั้นในเวลาใกล้เที่ยง ขณะที่ผู้เล่าและเพื่อนๆ กำลังเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน ได้ยินเสียงลุงผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งปั่นจักรยานออกมาจากหมู่บ้านเพื่อมาหาครูใหญ่ ทั้งคู่คุยกันด้วยเสียงอันดังมีสีหน้าท่าทางตึงเครียดและตกใจพร้อมทั้งมีครูประจำชั้นคนอื่นๆ ทยอยกันออกมาสนทนาด้วย เมื่อผู้เล่าได้ฟังก็ถึงกับตะลึงชะงักงันเนื้อตัวสั่นเย็นยะเยือกไปด้วยความตกใจเมื่อทราบว่า ประนอมและสุชัยได้จมน้ำตายที่หนองบัวแดง!

คนในหมู่บ้านเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า

“… ทั้งสองพี่น้องคงจะพากันลงหนองไปเก็บสายบัวเพื่อนำมาฝากครูคนใดคนหนึ่งที่โรงเรียน แต่บังเอิญตรงนั้นน้ำลึกมากประนอมคงถูกสายบัวพันขาจึงพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดแต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ จนหมดแรง พี่ชายคงพยายามเข้าไปช่วยน้องแต่กลับกลายเป็นว่าถูกน้องกอดรัดคอด้วยความตกใจกลัวจนจมน้ำลงไปสิ้นใจตายที่กลางหนองด้วยกันทั้งคู่ เพราะดูจากสภาพศพที่ต่างกอดคอกันตาย”

คนที่พบศพคนแรกคือป้าแสงเพราะแกออกจากบ้านจะไปลงนา แต่มองไปเห็นถุงย่ามและกองเสื้อผ้าชุดนักเรียนของลูกกองอยู่ริมหนอง ด้วยความสังหรณ์ใจแกรีบลนลานวิ่งกลับไปเรียกลุงดำผู้เป็นสามี ให้ลงไปงมหา แต่แล้วก็ถึงกับเข่าอ่อนล้มลงกับพื้นดินด้วยหัวใจอันแหลกสลายอย่างแสนสาหัส เมื่อเห็นภาพสามีนำศพลูกขึ้นมาจากน้ำด้วยอาการที่ไม่ต่างกัน!

ในวันเผาศพพี่น้องทั้งคู่ ผู้เล่าและเพื่อนๆ นักเรียนหลายคนถูกผู้ใหญ่ห้ามไปดูเพราะเชื่อว่าผีคนตายจะมาตามเอาไปเป็นเพื่อน อีกทั้งป้าแสงและลุงดำมิได้นำศพมาเผาที่วัดหากแต่เผาที่สวนหลังบ้านของตนเอง ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลออกจากหมู่บ้านจึงไม่ค่อยมีใครออกไปดูกันมากนักนอกจากญาติสนิทของทั้งคู่กับครูที่โรงเรียนเท่านั้น  หลังเผาศพไม่ทันข้ามวันก็มีคนเจอดีเข้าแล้วที่หนองบัวแดง

มีคนมาเล่าให้ฟังว่า ช่วงพลบค่ำของวันเผาศพมีชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่หมู่บ้านอื่นได้ขับรถกระบะเพื่อจะเข้าไปในเมือง ขณะที่ขับรถผ่านตรงหนองบัวแดงนั้น สายตาบังเอิญเหลือบไปมองเห็นเด็กสองคนกำลังเก็บสายบัวอย่างขะมักเขม้นอยู่กลางหนอง จึงจอดรถแล้วลงไปเรียกให้เก็บมาเผื่อด้วยจะขอซื้อ แต่ดูเหมือนว่าเด็กทั้งสองคนนั้นดูจะไม่สนใจเสียงเรียกของแกเลย ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอยคอถอนสายบัวอยู่อย่างนั้น ชาวบ้านคนนั้นร้องเรียกอยู่สองสามครั้ง เห็นว่าไม่เป็นผลอีกทั้งจวนจะมืดค่ำแล้วจึงกลับมาขึ้นรถ เมื่อปิดประตูรถแล้วมองกลับลงไปอีกทีก็ต้องแปลกใจและตกใจเพราะเด็กทั้งคู่ได้อันตรธานหายไปแล้ว พื้นน้ำในหนองก็นิ่งสนิทเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งมาทราบในวันต่อมาว่า ตนเองได้พบกับวิญญาณของผีเด็กเข้าแล้วอย่างจัง ถึงกับเกิดความกลัวย้อนหลังจนต้องรีบไปทำบุญถวายสังฆทานอุทิศไปให้ที่วัดประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนต่างพากันพูดว่า “วิญญาณของเด็กทั้งคู่คงจะยังไม่รู้ว่า ตนเองได้ตายไปแล้ว!”

ต่อมามีเสียงเล่าลือกันมาอีกว่า ได้มีคนพบเจอวิญญาณผีตายโหงของเด็กทั้งสองอีกหลายครั้ง และเหตุการณ์ระทึกขวัญที่พบเห็นก็มักจะเป็นลักษณะเดียวกันคือ ทุกคนเจอเด็กชายหญิงคู่หนึ่งหน้าตาขาวซีดกำลังลอยคอเก็บสายบัวอยู่กลางหนองบัวแดง จนกระทั่งไม่มีใครกล้าไปแถวนั้นอีกเลยด้วยความหวาดกลัว

เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๑ จนปัจจุบันก็เป็นเวลา ๔๗ ปีแล้ว หนองบัวแดงนั้นยังคงอยู่เพียงแต่ลดขนาดลงและตื้นเขินไปตามกาลเวลาเพราะได้ถูกปรับให้กลายเป็นพื้นที่ทำนา คงจะเหมือนกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอีกไม่นานก็คงสูญหายเพราะถูกลืมเลือนไปในที่สุด

 

Don`t copy text!