ผีกลิ้งไห

ผีกลิ้งไห

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

รอยร่องนั้นเริ่มต้นจากบริเวณโคนต้นจามจุรีใหญ่  ทอดร่องตามพื้นดินไปเรื่อยๆ บางครั้งผ่านดินแข็งบ้าง พงหญ้าบ้าง คันคูดินบ้าง หากก็ยังคงปรากฏร่องรอยอยู่จนกระทั่งทอดยาวขึ้นไปจนถึงบริเวณเนินดินใต้ต้นมะขามใหญ่อันเป็นแนวกำแพงเมืองเก่าแล้วจึงหยุดหายไป ร่องรอยแบบนี้ชาวบ้านแถบนั้นต่างเรียกกันว่า “ผีกลิ้งไห”

ผู้เล่าเจอ ผีกลิ้งไห ครั้งแรกเมื่อสมัยเป็นเด็กประถม จำได้ว่า มีเพื่อนๆ หลายคนมาชวนถึงบันไดบ้านเพื่อให้ตามไปดู ที่เรียกว่า ผีกลิ้งไห ไม่ใช่ไปเห็นตัวผีกลิ้งไหเป็นๆ หากแต่ไปดูรอยผีกลิ้งไหต่างหาก รอยที่ว่านี้ มีลักษณะเป็นร่องกว้างประมาณ 1 เซ็นติเมตร ลึกก็ขนาดประมาณเท่ากันสุดแท้แต่ว่าดินบริเวณที่ไหกลิ้งไปนั้นเป็นดินแข็งหรืออ่อน ร่องที่ว่านี้น่าจะเกิดจากสันขอบปากไหที่เวลากลิ้งต้องตะแคงลงให้ขนานกับพื้นดิน เพื่อป้องกันมิให้ไหแตก ร่องรอยนี้จะทอดยาวไปเรื่อยๆ ไม่แน่นอนไม่จำกัดทิศทางที่ยาวที่สุดก็ประมาณเกือบกิโลเมตร ชนิดที่ว่ายาวข้ามป่าข้ามดงกันเลยทีเดียว ส่วนใหญ่รอยผีกลิ้งไหมักจะเกิดในช่วงฤดูฝน และมักเกิดช่วงหลังฝนตกหนักมาตลอดคืน ซึ่งผู้เล่าเองก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมผีไม่กลิ้งไหในฤดูอื่นหรืออาจจะมีบ้างแต่ผู้เล่าไม่เคยเห็นเท่านั้นเอง

วันหนึ่งหลังฝนตกหนักมาตลอดทั้งคืนพอรุ่งเช้ามืด โย เพื่อนสนิทมาเรียกให้ไปจับอึ่งที่ส่งเสียงดังแข่งกับสายฝนมาตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งบริเวณที่จะไปนั้นเป็นที่ลุ่มต่ำหลังบ้านของป้า เวลาฝนตกทีไรน้ำจะท่วมขังทุกทีพร้อมกับการมาของอึ่งอ่างนับร้อยๆ ตัว บางปีฝนตกหนักมากน้ำก็มักจะท่วมไปจนถึงดงสวนกล้วยของแกด้วย ปีนี้ก็เช่นกัน เมื่อผู้เล่ากับเพื่อนไปถึงก็เห็นผู้ใหญ่หลายคนยืนดูบางสิ่งอยู่ที่พื้นดินตรงระหว่างทางเข้าสวนป้า พร้อมกับส่งเสียงคุยกันเบาๆ อยู่ดูลึกลับชอบกล ตรงพื้นดินที่ว่านี้ปรากฏรอยประหลาดบางอย่างให้เห็น ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่าผีกลิ้งไหนั้นเอง รอยนั้นออกจากด้านหนึ่งของริมถนนแล้วลากยาวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสิ้นสิ้นสุดที่ตรงกลางดงกล้วย เลยลองถามลุงที่ยืนดูอยู่ตรงนั้นด้วยความสงสัยว่า

“ทำไมเรียกผีกลิ้งไหล่ะลุง?” ลุงแกหัวเราะพลางตอบว่า

“ก็ผีมันกลิ้งไหหนีน้ำท่วม หนีคนจะเห็นสมบัติมันนะซี้…มันหวงของของมัน!” แล้วลุงก็เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า…

“หมู่บ้านเราเป็นเมืองขอมเก่า เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อนแต่คงเกิดเหตุการณ์อันใดสักอย่างทำให้เมืองร้างลง ผู้คนคงจะนำสมบัติแก้วแหวนเงินทองมาใส่ไว้ในไหแล้วขุดดินถมไว้ เมื่อตายไปวิญญาณจึงหวงแหนสมบัติมากจนต้องมากลายเป็นผีเฝ้าสมบัติอยู่อย่างนี้ เวลาเกิดฝนตกหนักน้ำท่วมจึงต้องคอยมากลิ้งไหสมบัติหนี เพราะกลัวคนจะเห็น”

“ถ้าเราขุดขึ้นมาแล้วเอาไปขายคงรวยแน่ๆ” โย เสนอความคิดเห็นตามประสาเด็ก

“ถ้าขุดแล้วได้เจอไหสมบัติจริงๆ ลุงก็รวยไปนานแล้ว ถ้าเขาไม่ให้นะ ขุดจนตายก็ไม่มีวันเจอหรอกไอ้หนู!” ลุงบอก ผู้เล่าจึงถามต่อว่ามีคนเคยขุดจริงๆ หรือ แกเลยเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า

หลายปีก่อนมีคนในหมู่บ้านชื่อ นางพา ได้ออกไปหาเห็ดที่ป่าบริเวณหลังวัดซึ่งเป็นดงไม้ค่อนกว้างใหญ่ โดยเฉพาะเขตกำแพงวัดเก่าด้านทิศตะวันตกมีต้นตะเคียนอยู่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ ขณะที่นางพากำลังก้มๆ เงยๆ หาเห็ดอยู่นั้นสายตาก็พลันหันไปพบกับบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทีแรกแกคิดว่าเป็นรากไม้เพราะเป็นลำสีดำยาวประมาณสี่วา แต่พอเพ่งดูชัดๆ เข้าแกก็ถึงกลับหงายหลังล้มลงด้วยความตกใจสุดขีด! เพราะจากที่คิดว่าเป็นรากไม้กลับกลายเป็นงูตัวสีดำมันมะเมื่อมขนาดใหญ่กำลังเลื้อยช้าๆ เข้าไปในโคนต้นตะเคียน นางพาส่งเสียงอุทานขึ้นด้วยความตกใจ แล้วในทันทีงูตัวนั้นได้ยินเสียงก็พลันอันตรธานหายเข้าไปในโคนต้นตะเคียน เมื่อแกได้สติก็ลุกขึ้นไปดูเห็นมีโพรงอยู่ที่โคนต้นตะเคียนนั้น และตรงปากโพรงมีกำไลข้อมือโบราณเก่าคร่ำอันหนึ่งตกคลุกดินอยู่ตรงหน้าแกจึงหยิบขึ้นมาเช็ดๆ ถูๆ กับชายเสื้อแล้วส่องดูก็เห็นคล้ายจะเป็นเนื้อโลหะสีทอง แต่เนื่องจากเป็นเวลาบ่ายแก่ใกล้ค่ำแล้ว นางพาจึงรีบเก็บกำไลข้อมือวงนั้นใส่ลงในตระกร้าเห็ดแล้วรีบจ้ำเดินออกจากป่าทันที เมื่อไปถึงบ้านนางก็รีบเล่าให้สามีของนางและเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงนั้นฟังทันที แต่พอหันไปหยิบเอาตระกร้าใส่เห็ดเพื่อจะนำกำไลวงนั้นขึ้นมาให้ดูก็ต้องแปลกใจ เพราะกำไลข้อมือวงนั้นได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว! นางพาหน้าเสียด้วยความเสียดาย คิดว่าอาจจะเผลอทำหลุดตกระหว่างทางกลับมาบ้านจึงตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะรีบตื่นแต่เช้าเพื่อย้อนกลับไปค้นหาดู

แต่ในคืนนั้นเอง นางพา ก็ฝันไปว่ามีชายแก่คนหนึ่งเดินขึ้นบันไดเรือนมาหา ชายแก่ผู้นั้นรูปร่างผอมหนังเหี่ยวย่น ผมหงอกยาวจนขาวโพลน ดวงตาดุน่ากลัว สวมเสื้อแขนยาวสีขาวนุ่งผ้าโจงกระเบนสีเม็ดมะขามสุก เมื่อมาถึงก็พูดเป็นภาษาเขมรว่า…

“อีนางเอ๋ย กูจะแบ่งไหเงินไหทองให้มึง กูจะไปเกิดแล้ว ถ้ามึงจะเอาให้ไปที่ต้นตะเคียนที่มึงเจอกูวันนี้ แต่กูขอให้มึงไปเอาคนเดียวในเวลากลางคืนอย่าปริปากบอกใครเด็ดขาด! กูจะให้มึงคนเดียวเท่านั้นจำไว้นะ!” พูดได้เท่านี้ชายแก่ร่างนั้นก็รีบเดินตัวปลิวเหมือนลอยลงบันไดเรือนหายลับไป นางพาตกใจตื่นขึ้นมาเวลาประมาณตีสี่กว่า ตอนแรกคิดว่าจะแบกจอบไปขุดเอาเพียงคนเดียวตามที่ตนฝัน แต่ก็เกิดความรู้สึกกลัวตัวสั่นขึ้นมาเพราะบริเวณดงไม้หลังวัดนั้นทั้งเปลี่ยวทั้งน่ากลัว มิหนำซ้ำเคยมีคนบอกว่าตะเคียนต้นนั้น ผีดุมาก! มีคนเคยเจอจนจับไข้หัวโกร๋นมาหลายคนแล้ว!

จวบรุ่งเช้า นางพา จึงได้เล่าให้สามีฟังฝ่ายสามีก็ไม่รอช้ารีบไปชักชวนเอาเพื่อนบ้านอีกสามสี่คนพากันแบกจอบแบกเสียมตรงไปที่ดงไม้หลังวัดทันที เมื่อไปถึงบริเวณต้นตะเคียนก็พบว่า ตรงโคนต้นตะเคียนนั้นมีร่องรอย ผีกลิ้งไห ออกจากโพลงมาและทอดเป็นร่องทางยาวออกไปจากตรงนั้น เมื่อทุกคนพากันเดินตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปสิ้นสุดตรงเนินคูกำแพงเมืองเก่าชั้นแรก ซึ่งอยู่ห่างออกมาจากจุดเดิมยาวถึงเกือบกิโลเมตรเลยทีเดียว จึงได้พากันลงมือขุดดูก็ไม่พบไหสมบัติใดๆ นอกจากดินและเศษหินศิลาแลงอันกระจายอยู่ทั่วไป จึงพากันกลับมาด้วยความเสียดาย นับแต่วันนั้นมานางพาก็ไม่เคยฝันถึงชายแก่คนนั้นอีกเลย

ผู้เล่าเคยเจอรอยร่อง ผีกลิ้งไห นี้อีกครั้งจากบริเวณต้นฉำฉาหรือจามจุรีใหญ่หน้าทางแยกเข้าหมู่บ้าน ได้เคยลองเดินตามไปเรื่อยๆ จนไปสิ้นสุดลงตรงเนินต้นมะขามริมคูหนองกำแพงเมืองเก่า หากก็ไม่กล้าขุดดูได้แต่นั่งลงเอาไม้ขีดๆ เขียนๆ เล่นตรงนั้นหลายครั้งตามประสาเด็ก หากก็ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์หน้ากลัวแต่อย่างใด

ปัจจุบันนี้บริเวณคูกำแพงเมืองเก่าได้ถูกทางการไถทำเป็นแปลงเกษตรชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านทั้งตำบลได้จับจองปลูกพืชผักสวนครัว ได้ทั้งใช้กินในครอบครัวและขายส่งตลาดสดในอำเภอร่ำรวยกันไปหลายคน จึงมาคิดได้ว่า นี่กระมัง! ไหเงินไหทองที่ท่านว่า เงินทองที่แท้จริงอยู่บนผืนดินที่ต้องใช้สองมือหนึ่งสมองขุดค้นหาด้วยความขยันหมั่นเพียรเท่านั้นจึงจะได้ขึ้นมาครอบครอง

 

Don`t copy text!