ปอบซูดหมู

ปอบซูดหมู

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

ปอบซูด คำว่า ซูด เป็นภาษาอีสานบ้านผู้เล่า หมาย สิง หรือเข้าสิง ดังนั้นปอบซูดจึงหมายถึง ถูกปอบเข้าสิงนั่นเอง คำว่าซูด จะใช้เฉพาะกับผีปอบเท่านั้นจะไม่ใช้กับผีสิงแบบอื่น แต่เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ใช่ผีปอบเข้าสิงคนแต่ไปเข้าสิงหมู จึงเรียกว่า ปอบซูดหมู

ผีปอบ เป็นผีชนิดหนึ่งที่ชอบเข้าคนหรือซูดคนแล้วก็ทำให้คนที่ถูกซูดหรือถูกสิงร่างนั้นมีกิริยาอาการที่ผิดไปจากเดิมจนสังเกตได้ เช่น ตาขวาง พูดบ่นโวยวายกระเสือกกระสนดิ้นรนไปหากินของสกปรกของสดของคาว และถ้าซูดร่างใครเข้าไปนานๆ ก็อาจจะทำให้บุคคลคนนั้นตายได้ สาเหตุที่ทำให้คนกลายเป็นปอบก็มักเกิดการเรียนคาถาอาคม หรือเรียน ของ แล้วรักษาของไว้ไม่ได้ เพราะของแต่ละอย่างมักจะมีข้อห้ามและจะต้องถืออย่างเคร่งครัดหากใครล่วงละเมิดรักษาไม่ได้ก็อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ “ของแตก” จนกลายเป็นผีปอบได้ แต่ต่อให้กลายเป็นปอบของที่รักษานั้นก็ยังคงมีอำนาจความขลังอยู่

คนเฒ่าคนแก่ที่บ้านผู้เล่าในอดีตนั้นมีอยู่หลายคนที่มีคาถาอาคมของขลัง จึงสามารถรู้ได้ว่า ใครบ้างในหมู่บ้านที่เป็นผีปอบเพราะท่านเล่าว่า บ้านหลังใดมีคนเป็นปอบ ผีปอบมันมักจะมาเกาะเป็นเงาดำอยู่ตามรั้วหน้าบ้านพอเจ้าของมันเดินออกจากบ้านจะไปไหนมาไหนก็ตาม ผีปอบเหล่านั้นมันจะเดินนำหน้าประมาณ 10 วา ที่ว่าอย่างนี้เพราะมีคนเคยทดลองมาแล้ว คือเมื่อเห็นคนที่เป็นปอบเดินมาแต่ยังไม่ทันถึง ให้พูดขึ้นว่า “ดูสิ! ผีปอบมาโน้นแล้ว!” คนที่เป็นผีปอบจะเดินผละไปทางอื่นทันที

ปกติผู้ที่เป็นผีปอบมักจะไม่ชอบสุงสิงกับผู้คนทั่วไป เวลาพูดก็จะไม่มองหน้าหรือสบตาใครเลย เอาแต่ก้มหน้าหน้าหรือหันมองไปทางอื่น ไม่เข้าวัดเข้าวาเอาแต่ทำมาหากินตามอาชีพถนัดของตนและก็เก่งเกินคนปกติเสียด้วยซ้ำ ที่หมู่บ้านผู้เล่ามียายคนหนึ่งคนเขาลือว่าแกเป็นผีปอบ แกมีอาชีพค้าขายขนมข้าวต้ม หาบไปขายยังไม่ทันถึงตลาดก็หมดเสียก่อนเกือบจะทุกครั้ง ผู้เล่าเองยังเคยได้กินก็ถึงต้องยอมรับว่าฝีมือยายแกอร่อยจริงๆ มีหลายคนถามสูตรเด็ด ยายก็จะหัวเราะหึหึแล้วตอบว่า “กูไม่มีสูตรอะไรหร้อก!…จกนั่นจกนี่ใส่เข้าไปมันก็อร่อยเอง!”

คนเฒ่าในหมู่บ้านได้เล่าให้ฟังอีกว่า ผีปอบจะชอบกินของสดของคาว ของเน่าเสียของสกปรก เช่น เลือด เนื้อดิบ ของเน่าเหม็น โดยเฉพาะเลือดทุกประเภทดูจะชอบเป็นพิเศษ ถ้าคนเป็นผีปอบเจอของแบบที่ว่านี้ที่ไหน มันจะถมน้ำลายหมายเอาไว้ พอตกกลางคืนยามดึกเงียบสงัดก็จะออกมากิน แต่มักจะออกมาในลักษณะเป็นหมาดำตัวใหญ่ขนาดเท่าลูกวัว และน้อยมากที่มันจะสิงร่างเจ้าของมันออกมาหากินซึ่งจะว่าไปก็แปลกเหมือนกัน และผีปอบนั้นไม่ใช่ว่าจะไปสิงหรือซูดใครต่อใครได้ง่ายๆ คนที่จะถูกผีปอบซูดได้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีธาตุในร่างกายกำลังอ่อนแอ เช่น คนป่วย คนคลอดลูก ดังนั้นคนในสมัยก่อนถ้าบ้านหลังใดมีคนคลอดลูกหรือเจ็บป่วยไข้ก็มักจะให้อยู่แต่บนบ้านห้ามมิให้ลงจากบ้านเรือนโดยเด็ดขาดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คนเฒ่าโบราณท่านว่า ร่างกายกำลังมีรูผีปอบมันจะเข้าได้โดยง่าย และบริเวณพื้นดินตรงใต้ถุนเรือนที่น้ำอาบไหลลงไปก็มักจะไปตัดเอากิ่งต้นไม้ที่มีหนาม เช่นต้นหนามเหนียว หนามเล็บแมวมาปกไว้ ท่านว่ากันผีปอบมากิน!

มีครั้งหนึ่งผู้เล่าเคยถามตาทวดว่า “ผีปอบติดต่อกันได้ไหม?” แกบอกว่า

“ได้ แต่ต้องเป็นทางสายเลือด คือลูกหลานเท่านั้นจะไม่ติดต่อกับคนทั่วไปหรือคนตระกูลอื่นๆ คือคนที่เป็นปอบมันจะเลือกลูกหลานมันไว้ว่าจะให้ใครสืบทอดต่อจากมัน แต่จะเข้มข้นดุร้ายเหมือนเดิมหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับของที่มันรักษาไว้ให้ แต่เท่าที่ได้ยินมาความเป็นผีปอบหากสืบเชื้อกันมายิ่งหลายรุ่นก็จะยิ่งค่อยๆ สูญหายไปเอง”

ผู้เล่าจึงถามต่อไปอีกว่า “เราสามารถฆ่าผีปอบหรือกำจัดผีปอบได้ไหม?” ตาทอดตอบว่า

“ได้! แต่ต้องฆ่าคนที่เป็นปอบหรือคนที่ถูกปอบซูดอยู่ให้ตายไปด้วยกัน ซึ่งก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำเพราะอาจถูกจับติดคุกติดตะรางจนหัวโตในข้อหาฆ่าคนตาย!”

ปอบซูดหมูนี้ ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ของผู้เล่าในวัยเด็กช่วงนั้นมาก เพราะเคยได้ยินแต่ผีปอบเข้าซูดคน ไม่เคยได้ยินว่าผีปอบเข้าซูดสัตว์ได้ด้วย เหตุมีมาว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผู้เล่าชื่อ หยิก มาบ่นเล่าให้ฟังตอนสายๆ วันหนึ่งในขณะที่ต้อนฝูงควายออกไปกลางทุ่งกุลาฯ ว่า

“เมื่อคืนข้าแทบจะไม่ได้นอนเลย เพราะมัวกังวลวุ่นวายอยู่กับหมูที่บ้าน”

“อ้าว ทำไมล่ะ…หมูป่วยเหรอ?” ผู้เล่าสงสัย หยิกถอนหายใจหนักๆ แล้วตอบว่า…

“ปอบมันมาซูดหมูที่แม่เลี้ยงไว้นะซี!” ผู้เล่าได้ฟังถึงกับอึ้งไปหลายวินาที และต่อจากนั้นจึงได้ทราบเรื่องราวอันชวนลุ้นระทึกจากปากเพื่อนอย่างละเอียดต่อไปอีกว่า

น้าปริก แม่ของหยิก ได้เลี้ยงหมูไว้ตัวหนึ่งโดยทำคอกไว้ข้างบ้านอย่างดี ซึ่งกำลังโตวันโตคืนและอ้วนถ้วนสมบูรณ์ แต่แล้วเมื่อคืนวานช่วงดึกจู่ๆ หมูของน้าปริกก็ส่งเสียงร้องดังพร้อมวิ่งวนไปมาในคอก แล้วก็ล้มลงกลางคอกนอนตาแข็งส่งเสียงครางดังครืดๆ ออกมาเกือบชั่วโมง แรกๆ น้าปริกก็ตกใจงุนงงสงสัยนึกว่าหมูกลัวอะไร หรือมีสิ่งใดมารบกวนหมู แต่ดูไปดูมาก็ไม่เห็นมีอะไรสักอย่างในคอกหมู จนกระทั่งมาเห็นหมูนอนตาเหลือกครางครืดๆ นี่เอง ทำให้น้าปริกแกคิดอะไรได้ จึงร้องสั่งลูกชาย คือ หยิก เพื่อนผู้เล่าว่า…

“ไอ้หยิก เอ็งเฝ้าหมูไว้นะเดี๋ยวแม่มา” พูดแล้วแกก็ขึ้นไปบนเรือนฉวยได้มีดอีโต้เล่มโตคมกริบเล่มหนึ่งลงมา แล้วเดินดุ่มๆ ไปทางบ้านแม่ผัวซึ่งเป็นย่าของหยิกนั่นเอง และมีเรือนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักแค่ข้ามดงป่ากล้วยไปไม่ถึงยี่สิบก้าว เสียงน้าปริกแกเดินพลางก่นด่าด้วยความโกรธสุดขีดว่า

“ถ้ามึงจะทำแบบนี้ ก็อยู่ร่วมโลกกับกูไม่ได้!”

ส่วน หยิก ด้วยความเป็นห่วงแม่ จึงทิ้งหมูแล้วแอบวิ่งตามหลังแม่ไปติดๆ จนกระทั่งถึงบ้านย่า น้าปริกแม่ของหยิกก้าวขึ้นบันไดเรือนไปทันที และในทันทีที่กระชากประตูเรือนเปิดออกก็พบร่างของหญิงชราร่างหนึ่งผมยาวขาวโพลนนั่งพับขาราบมอบคว่ำหน้าสยายผมอยู่กับพื้นเรือนตัวสั่นงกๆ ครางเสียงดังฮือๆ อยู่ น้าปริกเดินรี่เข้าไปยืนตรงหน้าแล้วใช้มีดชี้ด่าว่า

“มึงทำอะไรหมูกู! ให้มึงออกเดี๋ยวนี้ไม่งั้นจะกูฆ่ามึงเหมือนฆ่าหมา!”

น้าปริกแกยืนด่าแม่ผัวอยู่หลายนาที ซึ่งช่วงนั้นผัวน้าปริกหรือพ่อของหยิกก็ไม่อยู่เสียด้วย เพราะไปรับจ้างทำงานที่ตำบลอื่นหลายวันจึงไม่มีใครมาห้ามได้ จนกระทั่ง หยิก ตรงเข้าไปยึดแขนแม่ไว้นั่นเอง น้าปริกจึงหยุดด่าแล้วจูงแขนลูกลงจากเรือนแม่ผัวมาด้วยความโกรธแค้นอยู่ ปล่อยให้ร่างหญิงชราฟุบมอบครางฮือๆ กับพื้นเรือนอยู่อย่างนั้น

น้าปริกแม่ของหยิก แกมีนิสัยค่อนข้างใจนักเลงไม่เกรงกลัวใคร และมักจะชอบดื่มน้ำเมาอยู่บ้าง คนในหมู่บ้านต่างรู้ดีว่า น้าปริกแกไม่ค่อยกินเส้นกับแม่ผัวสักเท่าไร ไม่รู้จะด้วยสาเหตุอันใดจนสามีหรือพ่อของหยิก จึงต้องพาแยกเรือนออกมาอยู่ต่างหาก ปล่อยเรือนหลังเดิมให้แม่ตนเองอยู่ตามลำพังแต่ก็ไปมาหาสู่มิได้ทอดทิ้ง ผู้เล่ามาเดาเอาเองภายหลังว่าคงจะเพราะ ยายอำแม่ของสามีแกเป็น ผีปอบนี่เอง!

“แล้ว หมู หายไหมวะ หยิก?” ผู้เล่าถามต่อด้วยความตื่นเต้น

“หาย…ตั้งแต่แม่เดินมาถึงคอกหมูแล้ว! ขืนไม่หายสิ…ย่าคอขาดแน่! แม่โกรธถึงขนาดนั้น แถมเมาด้วย!” หยิกพูดพลางทำหน้าตาเบื่อหน่าย คงเพราะเห็นแม่กับย่าทะเลาะกันบ่อยๆ นั่นเอง

เหตุการณ์ต่อจากนั้น ก็กลับมาสู่สภาวะปกติ ต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น และผู้เล่าก็ไม่เคยได้ยินอีกเลยว่ามีผีปอบไปซูดสัตว์ที่ไหนอีกนับตั้งแต่นั้นมา นอกจากจะไปซูดคนทั้งในและนอกหมู่บ้าน!

 

Don`t copy text!