คืนไล่ผีปอบ

คืนไล่ผีปอบ

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

“เขาเล่าลือกันว่าท่านเก่งเรื่องฆ่าของ ฆ่าคุณไสย และไล่ผีปอบ!” ฉันได้ยินได้ฟังคำพูดเหล่านี้ตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่ และก็ได้เห็นกับตาของตนเองว่า เป็นความจริงดังที่เขาว่ากัน!

ปี 2533 ฉันได้ไปบวชเป็นสามเณรเพื่อศึกษาภาษาบาลีที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในอำเภอรอบนอกของจังหวัดสุรินทร์ เป็นอำเภอที่อยู่ในป่าดงดิบ ไกลถึงขนาดว่าต้องนั่งรถโดยสารอีกหลายต่อและใช้เวลาเกือบทั้งวันกว่าจะถึงวัด

วัดที่ว่านี้นอกจากขึ้นชื่อว่าเป็นสำนักเรียนบาลีที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของอีสานใต้ในยุคนั้นแล้ว หลวงพ่อเจ้าคุณ เจ้าอาวาสหรือที่พวกเราเรียกท่านว่า ‘หลวงพ่อใหญ่’ นั้นท่านดุมากและมีชื่อเสียงด้านฆ่าของคุณไสยและไล่ผีปอบเก่งนัก ตอนแรกที่เพื่อนๆ สามเณรด้วยกันเล่าให้ฟัง ฉันเองก็ยังไม่ปักเชื่อสักเท่าไร จนกระทั่งยามดึกของคืนวันหนึ่ง

ค่ำนั้น หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ พวกเราสามเณรทั้งหมดยี่สิบกว่ารูปต่างเข้าห้องเรียนเพื่อเรียนวิชาบาลีและเรียนเรื่อยไปจนกระทั่งถึงสามทุ่มจึงเลิกเรียน แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับกุฏิ มีฉันกับเพื่อนๆ สามเณรอีกสี่ห้ารูปยังไม่กลับ แต่ชวนกันหอบหนังสือบาลีไปนั่งท่องจำที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ข้างกำแพงใกล้ๆ กับซุ้มประตูหน้าวัด โดยถือตะเกียงบ้าง เทียนบ้างเท่าที่มีที่หาได้ไปนั่งท่องจำตัวใครตัวมันแต่ไม่ให้ห่างกันมากนักเพราะกลัว อาศัยว่าพอได้เห็นแสงเทียนแสงตะเกียงและเสียงของเพื่อนๆ ท่องบาลีก็ค่อยคลายความหวาดกลัวลงไปได้บ้าง

พอตกดึกเกือบเที่ยงคืน ฉันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูวัด เสียงนั้นดังโหยหวนเหมือนคนที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และพร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงคนทั้งตวาดด่าและขู่อาฆาตกันดังแทรกตามมาด้วย ฉัน กับบรรดาสามเณรที่อยู่ตรงนั้น พลันลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหากันทันทีโดยมิได้นัดหมาย!

“ได้ยินไหมๆ เสียงอะไร?” เณรไลหน้าตาตื่นกระซิบเสียงสั่นพลางใช้มือเกาะติดตัวฉันแน่นด้วยความกลัว เช่นเดียวกับสามเณรรูปอื่นๆ ที่อาการก็ไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวๆ ก่อน… ผมว่า… เสียงคนนะ… มีหลายคนด้วย… นั่นไง! มีคนไปเปิดประตูใหญ่แล้ว” พี่เณรราญซึ่งเป็นสามเณรที่โตที่สุดในกลุ่มชี้บอก พวกเราจึงค่อยๆ เกาะกลุ่มกันเดินขาสั่นไปที่ซุ้มประตูหน้าวัด ซึ่งเห็นเงาตะคุ่มๆ ของผู้คนกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงนั้น กลัวก็กลัวอยากรู้ก็อยากรู้ แต่อย่างหลังดูจะมีมากกว่า เมื่อไปถึงก็เห็นหลวงพี่ดำ พระเลขาฯ วัดซึ่งอยู่ประจำกุฏิหลวงพ่อใหญ่ กำลังเปิดประตูให้คนกลุ่มหนึ่งเข้ามา พอเห็นหน้าฉันกับเพื่อนๆ ก็พูดเบาๆ ว่า…

“มีคนถูกปอบเข้าสิงกำลังจะพาไปให้หลวงพ่อใหญ่จัดการ!” เท่านั้นเอง ทุกคนก็ตาค้างตกตะลึงอุทานพร้อมกัน… ผีปอบ! มีเสียงสามเณรสองสามรูปวิ่งถอยหันหลังกลับไปที่กุฏิอย่างไม่คิดชีวิต ไม่ใช่วิ่งหนีกลับไปด้วยความกลัวผีปอบหรอกนะ… แต่วิ่งไปเรียกเพื่อนๆ สามเณรที่ยังไม่เข้านอนจำวัดมาดูด้วยต่างหาก!

ตรงหน้าวัดท่ามกลางแสงจันทร์ข้างแรมสลัว ปรากฏรถโดยสารหกล้อคนหนึ่งจอดคาถนนอยู่ แต่นั่นไม่ใช่จุดสำคัญ เพราะที่สำคัญคือเจ้าของเสียงโหยหวนเมื่อครู่ต่างหาก นางเป็นผู้หญิงผอมผมยาวกระเซอะกระเซิงถูกผู้ชายอีกสองคนทั้งอุ้มทั้งลากลงจากรถมาอย่างทุลักทุเล คนหนึ่งน่าจะเป็นสามี ส่วนอีกคนอายุมากแล้วน่าจะเป็นพ่อ ส่วนคนอื่นๆ ที่มาด้วยเป็นชายและผู้หญิงวัยกลางคนทั้งคู่น่าจะเป็นญาติ ฉันตกใจตรงที่เสียงผู้หญิงคนนั้น นอกจากจะเสียงดังระรัวจนทำให้ขนลุกแล้ว ยังมีเสียงใหญ่ผิดปกติเกินผู้หญิงทั่วไป…

“กูไม่ไป! กูไม่ไปโว้ย! กูกลัวพระ… มึงพากูมาทำไม… โอ๊ยๆ… พากูกลับเดี๋ยวนี้ กูจะกลับบ้านกู… กูไม่ไปๆ!” เสียงผู้หญิงคนนั้นตะโกนวนเวียนสลับกันไปมาพร้อมกับเสียงร้องไห้โหยหวน บางช่วงก็ด่าเป็นภาษาท้องถิ่นคือภาษาส่วย ลาว และเขมร ผสมปนเปกันไปหมด แถมผสมวงไปกับเสียงร้องไห้ฮือๆ ของผัวนางที่กอดเมียไว้อยู่

จนกระทั่งทั้งคนดีๆ และคนถูกผีปอบเข้าสิงฉุดกระชากลากถูกันดูวุ่นวายอีรุงตุงนังเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อใหญ่แล้ว ฉันและบรรดาพระเณรทั้งที่มีอยู่เดิมและที่ตามกันมาสมทบอีกนั้น ต่างรูปต่างองค์ก็พากันรุมเบียดเสียดไปส่องดูตรงหน้าต่างกุฏิจนเต็มทุกช่อง รวมไปถึงที่นั่งเกาะกันตรงริมประตูหน้ากุฏิอีกด้วย ทุกคนตาเบิกโพลงคงเหมือนฉันที่ยืนเกาะหน้าต่างแน่น ใจเต้นสั่นระทึกจนแทบจะหายใจไม่ทัน

เคยได้ยินแต่คนเฒ่าคนแก่ที่บ้านเล่าเรื่องผีปอบให้ฟัง แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอได้เห็นกันอย่างจังๆ ตรงหน้าอย่างนี้!

หลวงพ่อใหญ่จุดธูปเทียนตรงโต๊ะหมู่ แล้วว่าคาถาบางอย่างเบาๆ ครู่หนึ่งพลางดึงสายสิญจน์ออกมาให้คนเป็นพ่อของผู้หญิงคนนั้นจับมัดมือลูกของตนไว้ นั่นยิ่งทำให้ผู้หญิงที่ถูกปอบเข้าสิงดิ้นและตะโกนหนักกว่าเดิมอีก

“โอ๊ยๆ… ปล่อยกูๆ …กูไม่เอาๆ …อย่าจับกู ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!…” หลวงพ่อใหญ่ถามมันว่า

“…เป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไรจึงมาเข้าสิงเขา…” คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นนั่งก้มตัวเอาหัวลงชนพื้นไม้กระดานกุฏิดังกึกๆ แล้วบอกว่า ผู้หญิงคนนี้ไปเลี้ยงวัวที่กลางทุ่งกับมันแล้วเกิดทะเลาะวิวาทเพราะพูดจาผิดใจกัน มันแค้นใจจึงตามมาสิงเพื่อจะฆ่าเสีย!

หลวงพ่อใหญ่จึงบอกมันว่า “ให้อภัยเขาเสียเถอะ! เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวจะให้เขาขอโทษและชดใช้ให้”คราวนี้มันเงยหน้าขึ้นเหลือกตาแข็งกร้าว ตะโกนว่า…

“กูไม่ยอมๆ มันเรื่องของกู กูจะฆ่ามัน อีผู้หญิงคนนี้ มึงอย่ามายุ่ง!” เท่านั้นเอง หลวงพ่อใหญ่ ท่านลุกขึ้นตรงไปคว้าเอาบาตรน้ำมนต์จากโต๊ะมาสาดลงตรงหัวผู้หญิงคนนั้นพอดี เสียงมันร้องและดิ้นพราดๆ เหมือนโดนน้ำร้อนลวก

“โอ้ย! ร้อนๆ กูร้อน กูยอมแล้วๆ ปล่อยกูๆ” พอหลวงพ่อใหญ่ท่านหยุดและวางบาตรน้ำมนต์ลง ผู้หญิงที่โดนปอบสิงกลับถ่มน้ำลายลงที่พื้นตรงหน้าแล้วหัวเราะแฮ่ๆ เสียงดังเหมือนสะใจ คราวนี้หลวงพ่อใหญ่ท่านถอนหายใจและบอกให้สามีและพ่อจับตัวผู้หญิงไว้ให้มั่น แล้วเดินตรงไปดึงหวายออกมาจากข้างฝากุฏิ

โดยมิได้นัดหมาย… พวกเราที่เกาะหน้าต่างและประตูกุฏิอยู่นั้นต่างหันมามองหน้ากันทันที เอาแล้วๆ! …โดยเฉพาะพวกที่เกาะริมประตูอยู่ต่างรีบถอยหลบย้ายมาเบียดเสียดกันที่ต่างหน้าแทน ทำให้ยิ่งแน่นมากขึ้นไปอีก …ไม่ต้องคาดเดา ทุกรูปคงคิดว่า… หากผีปอบโดนหวายแล้ว มันกระโจนออกจากร่างที่สิงอยู่ มันก็คงวิ่งออกมาทางประตูนี่แหละ! และถ้าเกิดเจอใครเคราะห์ร้ายอยู่ตรงนั้น โดนมันเข้าสิงแทน คงวุ่นวายล่ะทีนี้!

หลวงพ่อใหญ่ว่าคาถาครู่หนึ่งแล้วฟาดหวายลงไปที่หัวของผู้หญิงคนนั้นดังโป๊ก! ฟังเสียงเหมือนไม่แรง แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับดิ้นทุรนทุรายราวเจ็บปวดเจียนจะตายเสียให้ได้ ปากส่งเสียงร้องโอยๆ ประสานไปกับเสียงสามีที่ร้องไห้โฮตามเมีย ไม่รู้จะสงสารปอบหรือกลัวเมียตาย!

“โอ้ยๆ กูเจ็บ กูยอมแล้วๆ กูจะไปแล้ว… กูหิวกูอยากกินเลือดๆ กูขอกินเลือดๆ แล้วกูจะไป!” เสียงผีปอบวิงวอน พลางขืนตัวจากวงแขนสามีก้มลงกราบหมับๆ บนพื้น  หลวงพ่อใหญ่ท่านว่า…

“ดีแล้ว มึงออกไปเสีย ถ้าเขาให้กินแล้วก็ออกไป อย่ากลับมาอีก!” ท่านก็หันไปทางพ่อและสามีของผู้หญิงคนนั้นแล้วบอกว่า…

“…กลับไปหาเลือดเป็ดเลือดไก่ให้มันกิน… ถ้ามันไม่ยอมออกอีก… มึงพามันกลับมาหากู! กูจะจัดการมันเอง”

ทุกคนก้มลงกราบหลวงพ่อใหญ่แล้วพากันค่อยๆ เดินออกจากกุฏิฝ่าความมืดสลัวกลับไปขึ้นรถ เสียงผีปอบในร่างผู้หญิงครางสะอื้นเบาๆ ปนไปกับเสียงร้องของสามีนางฟังดูน่าเวทนา ฉันและพระเณรทุกรูปต่างยืนตามดูจนกระทั่งรถคนนั้นหายลับตาไป จึงรีบช่วยกันปิดประตูใหญ่หน้าวัด แล้ววิ่งตัวใครตัวมันกลับกุฏิ

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของผีปอบตัวนั้นอีกเลย… ทุกคนหายเงียบกริบราวกับไม่เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ฉันเดาว่าผีปอบตัวนั้นคงได้ลิ้มรสเลือดเป็ดเลือดไก่จนเป็นที่พอใจแล้วแน่นอน… แต่ยัง… เรื่องยังไม่จบ! เมื่ออีกวันหนึ่งต่อมา เพื่อนสามเณรรูปที่พักห้องนอนเดียวกันมากระซิบบอกว่า…

“…อยากจะเล่าอะไรบางอย่างให้ฟังหลายครั้งแล้ว แต่… ไม่กล้าพูด…” ฉันหูผึ่งขึ้นทันที เพื่อนสามเณรรูปนั้นพูดต่อไปอีกว่า…

คืนวันเพ็ญที่แล้ว เขาสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกและหันมาหาฉันแล้วพบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดสีดำผมยาวไปจนถึงขา ผิวขาวโพลน นอนตาขวางอยู่ข้างๆ ฉันอยู่ เขาตกใจมากจนไม่กล้าปลุกฉัน หากรีบเอาผ้าห่มปิดคลุมตัวเองนอนคลุมโปงอยู่ข้างในแทน แล้วเผลอหลับไปจนถึงรุ่งเช้า!

ฉันขนลุกเกรียว พูดไม่ออก เอาอีกแล้ว!

 

Don`t copy text!