บ้านหลอกผีที่ไม่มีวันสร้างเสร็จ

บ้านหลอกผีที่ไม่มีวันสร้างเสร็จ

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

ความเชื่อเรื่องวิญญาณและภูติผีปีศาจแฝงในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เกิด อย่างความเชื่อเรื่องแม่ซื้อนี่ยังไง จำได้ว่าคนรุ่นพ่อแม่ฉันไม่ชมเด็กว่าน่ารักน่าเอ็นดูหรอก แต่จะบอกว่า “ไอ้หนูนี่น่าเกลียดน่าชัง” แทน หรือแม้กระทั่งตั้งชื่อแปลกๆ ที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ไว้หลอกผี จำได้ว่าที่ปักษ์ใต้บ้านพ่อมีลุงคนหนึ่งชื่อลุงหมา ซึ่งน่าจะมาจากความเชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน แม้กระทั่งคำร้องกล่อมเด็กนอนยังร้องว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน”

ไม่ได้มีแต่คนไทยที่หลอกผี ทางฝั่งตะวันตกมีการกระทำที่เรียกว่า ‘หลอกผี’ มากมาย คฤหาสน์หลังหนึ่งในอเมริกาถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกผีเช่นกัน

คฤหาสน์พิสดารหลังนี้ชื่อวินเชสเตอร์ เป็นหนึ่งในบ้านที่ได้รับการโหวตให้เป็นบ้านที่ลึกลับพิศวงที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ปลายปีที่ผ่านมา ฉันไปพักผ่อนแถวเบย์แอเรีย เลยถือโอกาสเยี่ยมชมคฤหาสน์หลังที่ว่านี้ เมื่อเห็นกับตาทุกซอกมุมแล้วถึงเข้าใจว่าทำไมถึงได้ฉายานั้นมาครอง

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 ที่รัฐคอนเนทิคัต โอลิเวอร์ วินเชสเตอร์ พ่อของวิลเลียม วินเชสเตอร์ คิดค้นปืนแบบใหม่ซึ่งสามารถบรรจุกระสุนได้ทีเดียว 13 นัด จากแต่เดิมยิงได้เพียงทีละนัด จึงนับว่าเป็นการปฏิวัติแบบก้าวกระโดดสำหรับปืนไรเฟิลเลยทีเดียว วิลเลียม วินเชสเตอร์ ผู้เป็นลูกชายขายปืนให้รัฐบาลอเมริกา และถูกนำไปใช้รบจนแพร่หลายไปจนทั่วโลก ทำให้ตระกูลวินเชสเตอร์ร่ำรวยมหาศาล

แม้จะร่ำรวยเหลือล้น แต่ชีวิตครอบครัวกลับแสนเศร้า วิลเลียมแต่งงานกับซาราห์ หญิงร่างเล็กผู้สูงไม่ถึง 150 เซนติเมตร หลังจากแต่งงานได้ 4 ปี เธอให้กำเนิดลูกสาวคนแรกชื่อแอน แต่แอนเสียชีวิตหลังคลอดเพียงหกเดือน ความตายของลูกสาวคนเดียวทำให้ซาราห์เสียสติ ใช้เวลาบำบัดนานถึง 10 ปี จึงจะกลับมาปกติอีกครั้ง

ต่อมาสามีผู้เป็นทายาทคนเดียวของบริษัทผลิตปืนไรเฟิลเสียชีวิตลง ทิ้งเธอไว้กับมรดกก้อนโต แต่ดูเหมือนว่าเงินจะไม่ได้ช่วยอะไร ซาราห์โศกเศร้าเสียใจมาก ประกอบกับเป็นคนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ จึงไปปรึกษาคนทรงที่บอกว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณของสามีได้ คนทรงอ้างว่าเหตุที่สามีและลูกสาวตายเกิดจากวิญญาณของผู้เสียชีวิตด้วยปืนไรเฟิล ทำให้วิญญาณเหล่านั้นตามรังควาน พรากชีวิตคนที่เธอรักไปทีละคน และคนถัดไปคือซาราห์นั่นเอง

วิธีแก้ไขคือให้ย้ายบ้านไปอยู่ทางฝั่งตะวันตกแทน ที่สำคัญจะต้องสร้างบ้านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีวันหยุดและให้เกิดเสียงดังตลอดเวลา เพราะเสียงค้อนตอกตะปูในเวลาสร้างบ้านจะทำให้ปีศาจไม่กล้ามารบกวน แม่ม่ายซาราห์ วินเชสเตอร์ทำตามที่คนทรงแนะนำ จ้างช่างก่อสร้างต่อเติมบ้านหลังนี้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวันหยุดแม้แต่วันเดียว

ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามานี่แหละ ทำให้คฤหาสน์หลังนี้กลายเป็นบ้านหลอกผีที่มีรูปทรงประหลาดที่สุดในโลก ตัวบ้านเดิมมี 17 ห้อง แต่ซาราห์ต่อเติมจนบ้านนี้กลายเป็นบ้าน 7 ชั้น มีห้อง 160 ห้อง โดยสร้างเต็มเนื้อที่ ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ 40 ห้อง ห้องน้ำ 13 ห้อง ห้องจัดเลี้ยงและบอลรูม 2 ห้อง ห้องครัว 6 ห้อง ในบ้านมีบันได 40 แห่ง หลายแห่งสร้างไปชนเพดานเพื่อเป็นการหลอกผี มีตู้เสื้อผ้าหลายใบ เมื่อเปิดออกเจอแต่กำแพง แถมประตูบานหนึ่ง เมื่อเปิดออกจะตกลงไปข้างล่าง

ซาราห์สร้าง ‘ห้องสีฟ้า’ อันเป็นห้องลับสุดยอดที่ใช้ติดต่อกับวิญญาณ เพื่อช่วยคุ้มครองและแนะนำการต่อเติมบ้านให้เธอ ซาราห์เชื่อว่าพวกผีแต่ละตนแตกต่างกัน จึงให้สร้างประตูลับ ประตูกล บันไดหลอกและประตูปลอมเอาไว้มากมาย เพื่อไม่ให้วิญญาณมารังควานเธอ บ้านหลังนี้มีห้องนอนมากมายที่เธอจะแอบเข้าไปนอนโดยไม่บอกใครว่าคืนนี้จะนอนห้องไหน

ฉันมีโอกาสเข้าไปใน ‘ห้องสีฟ้า’ ที่ว่านี่ รู้สึกขนลุกเกรียวอย่างประหลาด ทั้งห้องหม่นทึบอึมครึม เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก ห้องสีฟ้านี่แหละที่แม่ม่ายวินเชสเตอร์ใช้ติดต่อกับวิญญาณที่เธอเรียกว่า ‘วิญญาณดี’ เพื่อขอคำแนะนำเรื่องต่อเติมบ้าน

ปี ค.ศ. 1906 จากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้บ้านวินเชสเตอร์ถล่มลงมา เจ้าของบ้านคิดว่าเป็นเพราะเหล่าวิญญาณไม่พอใจ เหมือนส่งสัญญาณว่าจะมาเอาชีวิตของเธอไป จึงสั่งปิดตายห้องด้านหน้า 30 ห้อง เพื่อการก่อสร้างจะได้ค้างคาตลอดไป ฉันเข้าไปในห้องที่ว่าด้วยความรู้สึกแปลกๆ ดูหม่นหมองและคงสภาพเดิมเหมือนวันที่แผ่นดินไหวห้องถล่มไม่ผิดเพี้ยน ตู้ที่ล้มลงมาก็ยังคงสภาพเช่นนั้น ทั้งหมดนี้เพื่อหลอกผี

หากจะถามว่าสิ่งที่แปลกที่สุดในบ้านหลังคืออะไร คงต้องบอกว่าบันได แม่ม่ายวินเชสเตอร์เป็นหญิงร่างเล็ก บันไดในบ้านจึงเล็ก แคบ และกระชั้น อย่างที่เราไม่สามารถวางเท้าได้เต็มฝ่าเท้า เวลาเดินชมบ้านเลยเดินกันแบบกระตุกๆ เพราะความเล็กและชันของขั้นบันได

เรื่องแปลกอีกอย่างในคฤหาสน์วินเชสเตอร์คือทุกสิ่งเกี่ยวพันกับหมายเลข 13 เช่น ซาราห์จะนั่งที่โต๊ะเพื่อรับประทานอาหารค่ำช่วงเที่ยงคืน โดยต้องจัดเอาไว้สำหรับ 13 คนทั้งๆ ที่มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น และจัดแบบนี้มากว่า 30 ปีจนถึงวันที่เธอจากไป

เลข 13 ยังเป็นตัวเลขจำนวนห้องอาบน้ำ ขั้นบันได และสิ่งก่อสร้างอีกมากมาย เช่น บันไดบ้าน มี 13 ขั้น หน้าต่างมีช่องกระจก 13 ช่อง ต้นไม้ที่ปลูกสองทางเข้าบ้านมี 13 ต้น เชิงเทียนที่ปกติออกแบบให้ใส่เทียนได้ 12เล่ม แต่ซาราห์สั่งทำใหม่ให้ใส่เทียนได้ 13 เล่ม ตู้เสื้อผ้าที่มีตะขอแขวนผ้าได้ 13 ชิ้นต่อตู้ บานกระจกที่แบ่งกรอบกรอบละ 13 ส่วน

ห้องน้ำทุกห้องในคฤหาสน์จะมีประตูที่ทำจากแก้วเท่านั้น เพราะเธอเชื่อว่าวิญญาณกลัวภาพสะท้อนของตัวเองจึงต้องทำประตูกระจกไว้หลอกวิญญาณ แม้ว่าจะหลอกผีได้เรื่อยๆ แต่ซาราห์ก็หลอกความตายไม่สำเร็จ พออายุ 84 ก็สิ้นใจตายอย่างสงบบนเตียงนอน นาทีที่เสียชีวิต ช่างทุกคนถูกเลิกจ้างทันที เสียงตอกตะปูและก่อสร้างที่ดังต่อเนื่องมานานกว่า 36 ปี หยุดสนิทพร้อมกับจำนวนเงินมหาศาลกว่า 20 ล้านเหรียญหมดไปกับคฤหาสน์แห่งนี้

เรื่องน่าเศร้าที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องการหลอกผี แต่คือการพบบางอย่างในตู้เซฟลับของแม่ม่ายวินเชสเตอร์ มีการค้นหาตู้เซฟลับที่ซ่อนสมบัติเมื่อซาราห์เสียชีวิต เพราะญาติๆ ไม่เชื่อว่าเธอจะใช้เงินสร้างบ้านถึง 20 ล้านดอลลาร์ หลังจากค้นหาอยู่นานก็เจอห้องลับเก็บสมบัติจริงๆ แต่สมบัติที่อยู่ในตู้เซฟคือปอยผมหนึ่งปอยของลูกสาววัยหกเดือนนั่นเอง

บ้านหลังนี้ถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งจนสุดท้ายตกเป็นสมบัติชาติ มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ.1973 และขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานทางประวัติศาสตร์เมื่อปี ค.ศ. 1984 คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่กลางเมืองซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ใครมีโอกาสไปเมืองนี้ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

 

Don`t copy text!