จับงูบูชาพระเจ้า

จับงูบูชาพระเจ้า

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาทั้งหมด บางเรื่องเป็นแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้ คือสาระและบันเทิง

จะว่าไปแล้วอเมริกาเหมือนหม้อจับฉ่ายใบโต เขละไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรมและความเชื่อ มีโบสถ์และอารามเป็นพันๆ แห่งแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อ แม้จะไม่มีการกำหนดศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ แต่จากการสำรวจพบว่า 76.7% ของชาวอเมริกันนับถือศาสนาคริสต์ โดย 52%  นับถือนิกายโปรแตสแตนต์ ส่วนอีก 24.5% นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และนิกายอื่นอีก 0.2%  นอกนั้นไม่นับถือศาสนาใดเลย

ที่เขียนมายืดยาวนี้ไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบหรือชวนเสวนาเรื่องศาสนาแต่อย่างใด แต่ท่ามกลางศาสนานิกายหลักๆ นี่แหละที่มีลัทธิความเชื่อแปลกๆ แฝงอยู่ อย่างลัทธิทดสอบศรัทธาด้วยการจับงู ฟังดูน่าแปลกใจว่าลัทธินิกายที่ว่านี้เป็นอย่างไร

เทือกเขาแอปพาเลเชียนทอดตัวเหยียดยาวกินแดนหลายรัฐจากตะวันออกเฉียงเหนือไปถึงตะวันตกเฉียงใต้ ท่ามกลางเทือกเขาสูงชันและตัดขาดจากอารยธรรมนี่แหละ มีคนผิวขาวกลุ่มหนึ่งชำนิชำนาญเรื่องการต้มกลั่นเหล้าเถื่อนดีกรีแรงที่เรียกว่า ‘มูนชายน์’ ( MoonShine) คนกลุ่มนี้คือพวกที่เรียกว่า ‘ฮิลล์บิลลี่’

เคยมีบทความตีพิมพ์ใน New York Journal จำกัดนิยามคนกลุ่มนี้ไว้ว่า ฮิลล์บิลลี่เป็นคนผิวขาวที่ยากจน  อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา พูดจาเรื่อยเจื้อยตามแต่ใจต้องการ แต่งตัวในแบบที่ว่ามีอะไรก็ใส่ๆ มา ดื่มวิสกี้เมื่อมีวิสกี้ ลั่นกระสุนปืนลูกโม่ตามแต่ใจอยาก ฮิลล์บิลลี่มักถูกล้อเลียนด้วยตัวการ์ตูนที่วาดใบหน้ารกหนวดเครา ใส่ชุดเอี๊ยมทำงาน เดินเท้าเปล่า แบกปืนยาว ขับปิ๊กอัพเก่าๆ โทรมๆ และที่สำคัญต้องฟันเหยินเป็นคราบเหลืองอ๋อย

คนกลุ่มนี้ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารก็จริง แต่สำเนียงแบบฟังปุ๊บรู้เลยว่าเป็นฮิลล์บิลลี่ บางชุมชนมีโบสถ์ที่มีความเชื่อแปลกๆ เช่นลัทธิบูชางู หรือ Snake Handling ดูแล้วน่าตื่นเต้นหวาดเสียวมาก เพราะสมาชิกต้องอุ้มงูเต้นไปเต้นมาตามจังหวะ หากเคราะห์หามยามร้าย งูฉกโป๊ะก็ม่องเท่งไป แต่สาวกจะสรรเสริญยกย่องว่าดีแล้วที่ตาย ถือว่าได้ไปอยู่กับพระเจ้า ส่วนใครที่รอด มาวัดดวงกันใหม่หนหน้า

เจ้าลัทธิผู้ก่อตั้งความเชื่อนี้คือจอร์จ เวนต์ เฮนสลีย์ (George Went Hensley) มีชีวิตระหว่างปี 1880-1955 นับว่าอายุยืนเอาการ มีการบันทึกว่าพิธีการจับงูบูชาพระเจ้าครั้งแรกเกิดขึ้นในโบสถ์เชิร์ชออฟก็อดโฮลี่เนส  (Church of God Holiness) โดยกระทาชายนายคนที่ว่านี่แหละ หมอนี่เดินทางท่องไปแถบตะวันออกเฉียงใต้แล้วเผยแพร่แนวคิดนี้ไปทั่ว แต่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มฮิลล์บิลลี่ จนตั้งโบสถ์จับงูบูชาพระเจ้าในหลายรัฐ

การจับงูบูชานั้นเมามันมาก มีการร้องรำทำเพลง แล้วคว้างูหมับ จะกี่ตัวก็ได้แล้วเต้นไปมา บางคนอุ้มงูเป็นขยุ้ม หากงูขู่ฟ่อแล้วฉกหน้า สาวกเหล่านี้จะไม่ยอมรักษา เพราะเชื่อว่านี่คือศรัทธาที่ตนมีต่อพระเจ้า แต่สาวกจะยื่นมือหรืออวัยวะที่ถูกกัดให้บาทหลวงลูบคลำแล้วท่องมนต์ ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาอะไรไม่รู้ที่แปลไม่ออก

สาวกกับบาทหลวงได้วัดใจกันก็งานนี้แหละ เพราะบาทหลวงจะต้องลูบคลำและจูบบริเวณที่โดนงูกัดด้วย หากสาวกโดนฉกที่ก้นหรืออีกฝั่งหนึ่งของก้น คงต้องถามใจบาทหลวงดูว่ากล้าปัดเป่าตรงอวัยวะนั้นไหม ไม่มีใครรู้ใจงูหางกระดิ่ง เพราะงูก็คืองู อยากจะฉกกัดตรงไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นทั้งสมาชิกโบสถ์และบาทหลวงจึงเสี่ยงต่อการถูกกัดตลอดเวลา

ความเชื่อในเรื่องการจับงูบูชามาจากข้อความในไบเบิล Mark 16: 17,18 ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการงูตามนี้

“ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมา ผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ มีคนเชื่อที่ไหน หมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขาดื่มยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”

ซึ่งในไบเบิลนั้นคงจะมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่กลุ่มผู้ศรัทธาตีความแบบตรงไปตรงมาว่าจับงูคือจับงูจริงๆ ระหว่างทำพิธี ฝูงงูเลื้อยไปมาบนโต๊ะอย่างเพลียๆ เพราะถูกหยิบมาเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามจังหวะเพลง บางตัวไม่ค่อยเชื่องก็ขู่ฟ่อๆ บางตัวยิ้มแห้งๆ แล้วส่ายหัวไปมาแบบเบื่อหน่าย เคยมีนักข่าวถามสาวกว่าเคยถูกกัดบ้างไหม ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าถูกกัดจนนับครั้งไม่ถ้วน แต่แปลกที่สาวกบางคนไม่ยักตาย

คนที่ตายก็ถูกหามไปฝัง แล้วทุกคนยิ้มปลาบปลื้มว่าสาวกคนนั้นเดินทางไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว บางหนแม่พาลูกอ่อนมาที่โบสถ์ด้วย แถมยังยื่นงูให้เด็กจับเล่นอีกต่างหาก เคยมีรายงานว่าเด็กวัย 7 ขวบถูกงูกัดเสียชีวิตที่โบสถ์จับงูบูชาพระเจ้า

งูหางกระดิ่งถูกขยุ้มออกจากกรงให้สาวกเลือกจับใจชอบ บางคนกอบมาทั้งขยุ้มแล้วชูไว้ใกล้หน้าขณะเต้นไปมา บางคนจับงูชูไปมาแล้วก็ส่งต่อให้สมาชิกคนอื่นของโบสถ์ได้สัมผัสความตายบ้าง บรรยากาศดูครึกครื้นท่ามกลางเสียงเพลงลูกทุ่งที่บรรเลงสดๆ โบสถ์เหล่านี้เป็นอาคารหลังเล็กๆ กระจายตัวอยู่หลายรัฐทางใต้  เช่น แอละแบมา จอร์เจีย  เคนทักกี นอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา เวสต์เวอร์จีเนีย เทนเนสซี และอินดีแอนา

สมาชิกโบสถ์จับงูบูชาพระเจ้าลดน้อยถอยจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะทุกคนถูกกัดกันถ้วนหน้า มีข่าวให้เห็นทุกปี แม้กระทั่งบาทหลวงก็เสียชีวิตจากการถูกงูหางกระดิ่งกัด โบสถ์ลักษณะนี้มีอยู่ประมาณ 125 แห่งทั่วอเมริกา

ข่าวคราวเรื่องสาวกถูกงูกัดตายเป็นข่าวให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น ในปี 2014 เจมมี่ คูทส์ บาทหลวงโบสถ์จับงูบูชาพระเจ้าในรัฐเคนทักกีถูกงูหางกระดิ่งเจ้าเก่ากัดเสียชีวิต ที่บอกว่าเจ้าเก่าเพราะไอ้งูเจ้ากรรมตัวนี้ฉกกัดบาทหลวงรายนี้อยู่ตลอดเวลาที่ประกอบพิธีกรรม แต่หนก่อนๆ พี่แกรอดอย่างประหลาด แต่ปี 2014  เจมมี่กลับซี้แหงแก๋เพราะงูเก่านี่เอง

นักข่าวหันไปมองงูและลูกชายของเจมมี่แล้วตัดสินใจหันไปสัมภาษณ์ลูกชาย ได้ความว่างูตัวนั้นถูกอุ้มเหวี่ยงไปมาเป็นร้อยๆ หนแล้ว เพราะนำไปประกอบพิธีกรรมร่วมสี่เดือน ไม่ยักมีใครเป็นอะไร แถมตัวเจมมี่เองก็ถูกงูตัวนี้กัดแล้วกัดอีก จนทุกคนไม่คาดคิดว่าเจมมี่จะจากไปด้วยคมเขี้ยวงูตัวนี้

ความเป็นจริงแล้ว พิธีการจับงูบูชาพระเจ้าผิดกฎหมายหลายรัฐในอเมริกา และไม่มีการอนุญาตให้ประกอบพิธีกรรมแบบนี้ แต่ผู้คนในชุมชนก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะถือว่าเป็นเรื่องความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนา เนื่องจากสมาชิกและบาทหลวงถูกงูกัดตายหมด บาทหลวงบางโบสถ์จึงมีอายุน้อยมาก เพียงแค่ 20 ปีก็มาเป็นบาทหลวงแล้ว ส่วนมากคือลูกชายบาทหลวงนั่นแหละที่เลื่อนขั้นขึ้นมาแทนพ่อที่โดนงูกัดตายไปหมาดๆ ครอบครัวบาทหลวงมักเป็นบาทหลวงสืบต่อกันมา 4-5 ชั่วอายุคน จากนั้นวงจรศรัทธาดำเนินต่อไปท่ามกลางความเชื่อของเหล่าสาวกผู้บูชางู

 

Don`t copy text!