ผีบ้านฝรั่ง

ผีบ้านฝรั่ง

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

ใครว่า “ผี” ไม่มีในโลก..?

ไม่ว่าโลกเรานี้จะมีหรือไม่มีผี แต่ทุกคนก็กลัวผีกันทั้งนั้น ถึงตอนเด็กๆ แม่จะพร่ำสอนว่า “ผีไม่มีในโลก” จนฉันมีอัตราส่วนความกลัวผีค่อนไปทางที่น้อยมาก ประเภทว่าถ้าใครใช้ให้ขึ้นไปเดินบนบ้านร้างไร้แสงไฟ ก็สามารถเดินขึ้นไปคนเดียวอย่างไม่สะทกสะท้าน เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าผีไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการสร้างภาพหลอนในใจมาหลอกตัวเองให้กลัวเท่านั้น

ว่าจะไปไอ้เรื่องผีๆ สางๆ นี่ คนที่ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อจริงๆ แต่คนที่เชื่อก็กลัวจนฝังหัว กรณีของฉันเริ่มจากความไม่เชื่อเป็นเบื้องต้นจนกลายมาเป็นความประหลาดใจว่าผีมีจริงหรือไม่

บ้านหลังแรกในอเมริกาเป็นบ้านเก่าที่สร้างสมัยวิคตอเรีย ยุคสมัยเดียวกับสมัยรัชกาลที่ห้า ถนนหน้าบ้านยังเป็นถนนปูอิฐแดงแบบให้รถม้าวิ่งอยู่เลย เวลารถวิ่งจะตะกุกตะกักกึงกังตามแบบถนนปูอิฐแดง เป็นบ้านรุ่นปี ค.ศ.1888

หลายคนคงแปลกใจว่าทำไมฝรั่งถึงไม่ค่อยสร้างบ้านใหม่ๆ กัน  บางทีอาศัยอยู่ในบ้านเก่า แถมโยกย้ายซื้อขายเปลี่ยนเจ้าของเป็นว่าเล่น คือคนอเมริกันจริตผิดไปจากคนบ้านเรามาก หากเทียบกับเมืองไทย ลงว่าซื้อบ้านแล้วทุกคนในครอบครัวสิงสู่อยู่ในนั้นยันเหลนบวช ฝรั่งบางนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ขยันซื้อบ้านใหม่ขายบ้านเก่าที่ตัวเองเบื่อแล้ว บางทีเบื่อเมืองนี้ อยากจะไปหางานรัฐอื่นก็ขายบ้าน โยกย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่น ถือเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งตามวิถีอเมริกันชน

บ้านเก่าอายุร้อยกว่าปีที่ว่า เจ้าของแต่ละรุ่นมักดูแลอย่างดีและปรับปรุงให้ทันสมัยไม่ต่างไปจากบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ๆ คนอเมริกันบางส่วนนิยมบ้านเก่า เพราะบ้านเก่าสร้างอย่างประณีตกว่าบ้านที่เพิ่งสร้างในปี ค.ศ. นี้เสียอีก

วกกลับมาที่ผีในบ้านฝรั่ง เราย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนั้นแบบกลัวๆ กล้าๆ หากเทียบกับมาตรฐานอเมริกันแล้ว บ้านค่อนข้างใหญ่ มีหน้าต่างแบบเบย์วินโดว์หรือหน้าต่างสูงยาวเทียบเท่าประตูรอบด้าน ซึ่งเป็นสไตล์ของบ้านเก่ายุคร้อยกว่าปีก่อน อีกทั้งเพดานสูงรับกับไฟเพดานช่อชั้นสวยงาม

ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของบ้านคือบันไดสีดำสนิท มีลายเถาสีทองอย่างที่เรียกว่าเฟอเดอลีร์ประดับประดา แต่เจ้าบ้านที่อาศัยสืบต่อมาทุกรุ่นไม่เคยทาสีบันไดใหม่ ความสวยสง่าในยุคโบราณจึงกลายเป็นสีดำทองกระดำกระด่างน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูก เวลาเดินไปเดินมาชั้นล่างแล้วอดไม่ได้ที่จะตวัดสายตาขึ้นไปข้างบนว่ามีอะไรแว็บๆ ห้อยหัวลงมาบ้างไหม ซ้ำยังเคยคิดลองทำตามที่คนเล่าต่อๆ กันมาว่า หากอยากเห็นผี ให้ก้มมองลอดขาตัวเอง แต่ใจยังไม่กล้าพอ !

หลังย้ายเข้ามาอยู่ไม่นานก็เจอเรื่องแปลก  คืนหนึ่งเราเดินอ้อมตัวบ้าน เพื่อไปยังรถที่จอดไว้ในสวนหลังบ้าน  ช่วงเดินผ่านถังขยะนี่แหละที่ได้กลิ่นน้ำหอมฉุนกั๊ก แบบที่เรียกได้ว่ามีใครบางคนใส่น้ำหอมที่ว่านี้เดินผ่านหน้าไปเมื่อนาทีที่แล้ว กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นน้ำหอมรุ่นเก่า ฉุนแรงแต่หอมเย็นๆ เหมือนกลิ่นผ้าที่ลงแป้งแข็งๆ สมัยโบราณไม่มีผิด !

ฉันมองหน้าสามีเป็นเชิงถาม  สามีสารภาพว่าตอนที่ฉันไปทำงานนอกบ้านจะได้กลิ่นที่ว่านี้ตลอดเวลา โดยได้กลิ่นแบบใกล้บ้างห่างบ้างทุกวัน เหมือนคนใส่น้ำหอมชนิดนี้เดินวนเวียนรอบๆ ตัว บางทีเหมือนชะโงกหน้าข้ามบ่ามาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของสามีว่าทำอะไรอยู่แล้วเดินห่างออกไป

ฟังแล้วเสียววาบขนลุกซู่ ขนแขนสแตนด์อัพพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย เพราะลงว่าสามีได้กลิ่นอะไรต่อมิอะไร นั่นหมายถึงว่ากลิ่นนั้นต้องแรงจริงๆ ปกติรายนั้นเป็นคนประเภทจมูกบอดต่อกลิ่นอย่างสิ้นเชิง

วันต่อมาขณะที่นางเมียไทยกำลังผัดกับข้าวเหย็งๆ ในครัว อยู่ๆ สามีที่นั่งอ่านหนังสือรอมื้อค่ำที่โต๊ะกินข้าวก็วางหนังสือปุ๊บ สบตาเมียปั๊บ เมียเลิกคิ้ว เงื้อง่าตะหลิวเป็นเชิงถามว่า

“อะไรอีกล่ะคราวนี้”

ยังไม่ทันที่สามีจะตอบฉันก็ขนลุกเกรียว เพราะกลิ่นหอมฉุนๆ ที่ว่านั่น พุ่งเข้าใส่เต็มหน้าจนกลบกลิ่นกับข้าวไทยแทบไม่เหลือกลิ่น จากนั้นค่อยๆ จางไป แล้วขนแขนก็สแตนด์อัพอีกรอบ

แต่หนนั้นยังไม่สาหัสเท่าครั้งนี้  จำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งค่ำเร็วตามแบบหน้าหนาว คืนหนึ่งเรากลับจากทำงานมาบ้านเพียงเพื่อพบว่าทีวีเปิดเองได้ !

ไม่กี่คืนถัดมาขณะหลับสบายในห้องนอนชั้นบน อยู่ๆ ได้ยินเสียงพรึ่บๆๆ พร้อมกันสามหน เราสะดุ้งตื่นทันที เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาตีสาม หันมามองกันเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ว่าเสียงนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่ไม่ต้องเสียเวลาสงสัยนาน เพราะหน้าต่างสามบานเปิดกว้างพร้อมกันเป็นพยานได้ดี  ทั้งที่ฉันเป็นคนปิดเองกับมือก่อนเข้านอน นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะหน้าต่างบ้านฝรั่งจะใช้วิธีปิดจากข้างบนเลื่อนมาข้างล่าง แล้วหมุนล็อคปิด ดังนั้นหากจะเปิดออกได้ ต้องเปิดจากข้างในบ้านเท่านั้น

ฉันถามเด็กนักเรียนไทยสาขาวิศวะในอเมริกาว่าเป็นไปได้ไหมที่หน้าต่างจะเปิดเองได้จากลมกระโชกภายนอก นักศึกษาไทยบอกทันทีว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย หากจะเปิดหน้าต่างบ้านโบราณแบบนี้ ต้องถูกเปิดจากภายในบ้านเท่านั้น   งั้นแล้วอะไรล่ะที่ผลักเลื่อนบานหน้าต่างที่ทั้งหนาและหนักเปิดกลางดึก?

ด้วยความสงสัยอย่างที่สุด เลยติดต่อสมาคมพิสูจน์สิ่งลี้ลับแห่งอินเดียน่าให้มาพิสูจน์ที่บ้านเรา ซึ่งคณะนี้มาพร้อมเครื่องมือวิทยาศาสตร์พรั่งพร้อมครบครัน โดยอธิบายให้ฟังว่าเครื่องมือพิสูจน์แต่ละชนิดใช้พิสูจน์อะไรได้บ้าง

สมาคมใช้กล้องถ่ายรูปอินฟราเรดถ่ายรูปไปรอบๆ บ้าน จากนั้นเอามาดูด้วยตาเปล่าก่อนรอบหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปเข้าเครื่องขยายต่อไป ภาพที่ถ่ายออกมาชวนน่าขนลุกมาก มีอยู่ภาพหนึ่งเป็นภาพหมาที่บ้านนอนหงายบนพรมแล้วเกลือกกลิ้งไปมา หนึ่งในลูกทีมเลยถ่ายตรงจุดนั้น ปรากฏว่าตรงจุดที่เราเห็นว่าหมานอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพรมตัวเดียว มีเงาร่างคนสีส้มๆ กำลังลูบพุงหมาเล่นอยู่ด้วย เพียงแต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้นเอง พอเห็นดังนั้น เราสบตากันอีกคำรบเหมือนเป็นสัญญาณว่า

“เอาละเว้ย..ในที่สุดก็มีอยู่จริงๆ ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน”

เมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับวิญญาณไม่ทราบชื่อ แต่เราทำใจดีสู้เสือ ตัดสินใจเรียกนางว่า “เกอร์ทรูด” ตามชื่อเจ้าของคนแรกที่สร้างบ้านหลังนี้ เวลาฉันจะทำอะไรในบ้านก็มักจะบอกเกอร์ทรูดว่า จะทำโน่นทำนี่นะ หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าเกอร์ทรูดจะค่อยๆ หายไปและไม่มารบกวนเราอีกเลย

Don`t copy text!