พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.2 : ท่านครุ

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 5.2 : ท่านครุ

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“เข้าไม่ได้” เณรหนุ่มน้อยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวิหารบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และสีหน้าสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์และความรู้สึกใด

“ขอเข้าไปนมัสการพระหน่อยไม่ได้หรือครับ” เยชิต่อรอง “พวกเขามาไกล”

“ไม่ได้จริงๆ” เณรยังยืนยันคำเดิม

ลิ่วลมไม่ได้สนใจว่าเยชิกับคินเซจะเจรจาอะไร เขาได้แต่กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ขณะที่อัญญาวีร์เดินสำรวจไปรอบๆ ลานกว้าง และหลานสาวของเธอก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายภาพมุมนั้นมุมนี้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ

แม้จะเห็นแต่ภายนอก หากลิ่วลมบอกได้ว่า วิหารฟ้าคะนองแห่งนี้เป็นวิหารเล็กๆ ทว่างดงามด้วยรายละเอียด

เสาทุกต้นมีลวดลายสายฟ้าเขียนเอาไว้ เป็นลวดลายที่ไม่ปรากฏให้เห็นที่วิหารใดๆ สีทองเก่าคร่ำคร่าบอกให้รู้ถึงอายุอานามที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานนับร้อยปี

ลวดลายเฉพาะแบบนี้นั่นเองที่ทำให้คินเซและเยชิมองออกในทันทีที่ได้เห็นภาพถ่ายของล่องเมฆ

“ถ้างั้น…ผมขอพบท่านครุ-ดรุกปะได้ไหมครับ” เยชิยังไม่ยอมแพ้

ท่านครุ-ดรุกปะที่เขาเอ่ยนามนั้น คือเจ้าอาวาสวิหารฟ้าคะนองแห่งนี้

“ไม่ได้นัดเอาไว้ใช่ไหม” เณรหนุ่มย้อนถาม

“ไม่ได้นัดครับ” เยชิตอบ

“ถ้าเช่นนั้น ก็พบไม่ได้หรอก” เณรยังคงส่ายหน้า แต่แล้วก่อนที่เณรหนุ่มน้อยรูปนั้นจะได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ประตูไม้สีแดงเข้มบานหนาหนักทางด้านหลังก็เปิดออกเสียก่อน

“มีอะไรกันหรือเปล่า”

เสียงทุ้มนุ่มเป็นกังวานของพระรูปหนึ่งดังขึ้น

แสงสว่างที่ส่องผ่านมาจากช่องประตูด้านหลัง ส่องผ่านเรือนกายสูงสง่า ทำให้ลิ่วลมรู้สึกราวกับว่าพระรูปนั้นมีรัศมีเรืองรอง

“ท่านครุ” เยชิและคินเซเอ่ยขึ้นพร้อมกับทรุดกายลงกราบกับพื้น ลิ่วลม อัญญาวีร์และนารีญาเห็นเช่นนั้นก็รีบทำตาม

“วันนี้วิหารปิด นัมเกลก็น่าจะบอกแล้ว” ดวงตาของท่านครุมองแลเลยไปยังชายเจ้าของม้าให้เช่า “แต่พวกโยมยังดื้อจะขึ้นมา ตกลงต้องการอะไรกันแน่”

ท่านครุ-ดรุกปะถามท่าทางจริงจัง ด้วยน้ำเสียงปราณี

“ผมอยากขอดูกล่องไม้โบราณใบนี้ครับ” ลิ่วลมคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดอ้อมค้อมไปมา เขาหยิบโทรศัพทืขึ้นมาเปิดภาพที่ล่องเมฆส่งมา ให้ท่านครุดู

“น้องชายของผมเห็นภาพดอกอุทุมพรบนกล่องใบนี้ แล้วเลยเดินทางไปซัมเซเพื่อค้นหาดอกไม้ของจริง ก่อนจะหายตัวไป…ตอนนี้ผมติดต่อกับเขาไม่ได้ ผมกำลังจะไปตามหาตัวเขาที่ซัมเซ เลยอยากเห็นกล่องไม้ใบนี้ด้วยตาตัวเองครับ”

“อือม” ท่านครุพยักหน้า ดวงตาของท่านจ้องมองลิ่วลมแน่วนิ่ง “อาตมาอยากช่วย แต่คงช่วยไม่ได้เสียแล้ว”

“ทำไมล่ะครับ” น้ำเสียงของลิ่วลมผิดหวัง

“กล่องไม้ถูกขโมยไปแล้ว” ท่านครุตอบเสียงราบเรียบ “เมื่อคืนที่ผ่านมา มีคนบุกขึ้นมาที่วิหาร ทำร้ายพระลูกวัดของเรา แล้วขโมยเอากล่องไม้ใบนี้ไป ตำรวจขึ้นมาตวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และสั่งห้ามไม่ให้คนนอกเข้าไปในวัดเป็นการชั่วคราว”

“กล่องไม้ถูกขโมย” อัญญาวีร์ครางเสียงแผ่ว

“ใช่” ท่านครุพยักหน้า “แปลกมาก…คนร้ายเอาไปแค่กล่องไม้ใบนี้ใบเดียวเท่านั้น”

“เห็นหน้าคนร้ายไหมครับ” เยชิอดถามไม่ได้

“พระลูกวัดของอาตมาน่าจะเห็นหน้าคนร้าย เลยถูกทำร้ายจนหมดสติ ตอนนี้นอนอยู่ที่ห้องไอซียูที่โรงพยาบาลในทิมพู…คงต้องรอให้ฟื้นเสียก่อน จึงพอจะให้ปากคำได้” น้ำเสียงของท่านครุยังคงราบเรียบ “ดังนั้น ถึงแม้จะอยากช่วยแค่ไหน…แต่อาตมาก็ช่วยพวกโยมไม่ได้จริงๆ”

 

เป็นอันว่าทุกคนต้องกลับลงมาจากวิหารฟ้าคะนองด้วยความผิดหวัง

ตลอดทางที่ขับรถกลับเมือง คินเซและเยชิเอาแต่พูดคุยกันเองถึงเรื่องคนร้ายด้วยสีหน้ากังวล คนภูฏานอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่ค่อยจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้บ่อยครั้งนัก

เห็นได้ชัดว่าคนร้ายไม่ได้ต้องการของมีค่าอย่างอื่น นอกจากกล่องไม้ที่มีภาพของดอกอุทุมพรปรากฏอยู่เท่านั้น

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อ” อัญญาวีร์ตั้งคำถาม

“ก็ไปกันเลยค่ะ” นารีญายังยืนยันความคิดเดิม “ในเมื่อไม่มีตัวช่วยเหลืออยู่…เราก็ลุยไปกันเลยสิคะ”

“เดี๋ยวก่อน…ตัวช่วยไม่ใช่จะหมดเสียทีเดียว” เยชิหันไปทางคินเซ “เรื่องภาพโบราณบนกล่องไม้ ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่ง…เขาอาจมีคำตอบเรื่องนี้ให้เราเช่นกัน”

“ใครคะ” คินเซยังนึกไม่ออก

“เคซัง ลุนดรัป”

เยชิเอ่ยชื่อบุคคลหนึ่งออกมา และทันทีที่คินเซได้ยินชื่อนั้น เธอก็ดีดนิ้วด้วยท่าทางยินดี

“เหมาะที่สุด” คินเซหันไปทางคณะคนไทยที่กำลังทำหน้างง และอธิบายว่า “เคซัง ลุนดรัปเป็นศิลปินทอผ้าของภูฏานค่ะ”

“ชื่อเหมือนผู้ชายเลย” อัญญาวีร์พึมพำ

“ใช่ครับ” เยชิพยักหน้า “เคซังเป็นศิลปินทอผ้าไม่กี่คนที่เป็นผู้ชาย เขาเกิดมาในครอบครัวที่ทอผ้าให้กับราชวงศ์ เคซังเริ่มทอผ้าตั้งแต่อายุสิบขวบ เขาเรียนมาจากคุณยายที่มีฝีมือในการทอลวดลายแบบดั้งเดิม”

“ผ้าของครอบครัวเคซังสวยมากค่ะ” คินเซเล่าด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “ลายแต่ละลายประณีตมาก…บางลายใช้ไหมปักลงไปบนผ้าไหม ใครที่อยากศึกษาเรื่องผ้าทอของภูฏานต้องไปเรียนรู้กับเคซังเท่านั้นเลยค่ะ”

“เคซังมีโครงการช่วยอนุรักษ์ลายผ้าเก่าๆ หลายโครงการ” เยชิเล่าต่อ “เมื่อยี่สิบปีก่อน เคซังได้ก่อตั้งศูนย์ทอผ้าชื่อ Gagyel Lhundrup ขึ้นนับเป็นสถาบันทอผ้าที่เป็นทางการแห่งแรกๆ ของภูฏานเลยก็ว่าได้…เริ่มต้นจากมีช่างทอผ้าแค่แปดคน ตอนนี้น่าจะมีถึงแปดสิบคนแล้ว”

“โอ้โห” นารีญาพลอยรู้สึกทึ่งไปด้วย แม้เธอจะเป็นหญิงสาวรุ่นใหม่ ไม่ค่อยได้สวมเสื้อผ้าทอมือ แต่พอได้ฟังเรื่องราวที่เยชิเล่า ก็อดจะตื่นเต้นมิได้

“เขาออกแบบลวดลาย ให้สี และให้งานช่างกลับไปทอผ้าอยู่ที่บ้านของตัวเอง” เยชิเล่าต่อ “โครงการของเขาช่วยให้คนมีงานทำ มีรายได้ ขณะเดียวกันก็อนุรักษ์ลายผ้าเก่าๆ ของภูฏานไม่ให้สูญหายไปกับกาลเวลา”

“ฉันยังนึกไม่ออกว่าคุณเคซังจะช่วยอะไรเราได้” อัญญาวีร์พูดตรงๆ ตามที่คิด

“ช่วยได้สิครับ” สายตาของเยชิยังคงจับจ้องมองภาพถ่ายในมือถือของลิ่วลม “ภาพวาดนั้น วาดโดยเกาตัน ซับบา ศิลปินจากซัมเซ…ถ้าเช่นนั้น ผมคิดว่าอาจจะมีหลักฐานเรื่องดอกอุทุมพรอยู่บนลายผ้าที่มาจากซัมเซด้วยก็เป็นได้ และเคซังคือคนที่จะช่วยไขปริศนาให้เราได้…ครอบครัวเขาสะสมผ้าโบราณ มีผ้าเก่าแก่จากทุกภูมิภาคของภูฏาน รวมถึงผ้าจากซัมเซด้วย…”

“หมายความว่า” ลิ่วลมเริ่มปะติดปะต่อข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันได้แล้วในตอนนั้น

“ใช่ครับ” มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรกบนดวงหน้าของเยชิ “ถ้าเคซังยอมเปิดกรุผ้าโบราณให้พวกคุณดู…บางทีเราอาจพบหลักฐานการมีอยู่ของดอกอุทุมพรบนผ้าโบราณจากซัมเซ…และนั่นอาจจะนำเราไปสู่การติดตามหาตัวน้องชายของคุณก็เป็นได้…”



Don`t copy text!