มหรสพเวรา บทที่ 26 : เมื่อรักบรรเลงถาม

มหรสพเวรา บทที่ 26 : เมื่อรักบรรเลงถาม

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

มีเสียงวิ่งตึงตังดังจนพื้นเรือนซึ่งเป็นไม้แผ่นหนาสะเทือน ตอนนั้นกลิ่นกำลังจัดของอยู่ในห้องของคุณเฟื่อง เอกภรรยาของหลวงเลิศสลักกิจ งานสำคัญที่เธอมอบหมายให้กลิ่นคือการทำอาสนะและหมอนพระ ที่จะต้องใช้ในงานบวชพี่ชายคนติดกันกับเธอ ซึ่งจะมีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตอนนี้ปลอกอาสนะเสร็จแล้วเหลือแต่ยัดนุ่น ช่วงนี้ลมแรง ฝนหลงฤดูกระหน่ำ คุณเฟื่องเลยให้ขนกระสอบนุ่นมายัดไส้ในห้องนอนของเธอ คืนนี้คงจะต้องเร่งทำกันจนดึกดื่นเพราะงานสำคัญที่กลิ่นจะต้องลงมือให้เสร็จในคืนก่อนวันงาน คือการร้อย ‘กลิ่นตะแคง’ เครื่องแขวนประดับบ้านรูปหกเหลี่ยมที่คุณเฟื่องกำหนดว่าอุบะตามมุมต้องเป็นดอกจำปาเท่านั้น เพราะเธอชอบสีเหลืองมากกว่าสีแดงของดอกกุหลาบ

ใกล้ทุ่ม กลิ่นจุดตะเกียงลานรอพวกบ่าวสาวๆ ซึ่งไปอาบน้ำกินข้าวเพื่อกลับมาทำงานต่อ ส่วนเธอนั้นอาบน้ำผลัดผ้าเสร็จตั้งแต่เย็นแล้ว เสียงตึงตังบนพื้นเรือนนั้นกลิ่นคาดว่าเป็นของพวกบ่าวที่วิ่งกรูกันขึ้นมา ไม่คิดว่าเสียงวิ่งกระแทกกระทั้นนั้นจะเป็นของคุณเฟื่องเพียงคนเดียว

“อีกลิ่น อีกาก” เสียงคุณเฟื่องนำมาก่อน เธอเข้ามายืนจังก้าทุ่มคันฉ่องที่เธอถือมาด้วยใส่กลิ่นจนล้มทั้งยืน

กลิ่นตกใจเมื่อเห็นว่าคันฉ่องที่คุณเฟื่องถือมานั้นเป็นของในห้องนอนเธอ

“บอกกูมา หลวงเลิศให้มึงตั้งแต่เมื่อใด”

กลิ่นก้มหน้า รู้ว่าคงไม่รอดแน่แล้ว คันฉ่องลายดอกพุดตานนี้กลิ่นได้มาครั้นเธออายุครบสิบเจ็ดปี หลวงเลิศพร่ำรำพันฝากรักและสลักกาพย์กลอนลงไว้ข้างหลัง แต่พอเธออายุครบสิบแปดคุณพี่เที่ยงหรือหลวงเลิศของหล่อน ก็ไปคว้าเอาคุณเฟื่องลูกสาวเจ้าคุณโชฎึกมาเป็นภรรยา ไม่อินังขังขอบของฝากรักและหัวใจคนถูกฝากอย่างกลิ่นสักนิด

“บอกกูมา” คุณเฟื่องพูดไปทุบกลิ่นไป กลิ่นหวังว่าจะมีใครขึ้นเรือนมาระงับเหตุ แต่ยังไม่ได้ยินเสียงบ่าวสักคนเดียว คุณป้าแย้มกับแม่จวงก็ไปถือศีลที่วัด ถ้าไม่มีใครขึ้นมา กลิ่นก็ทำใจว่าจะต้องโดนทุบจนช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ ก็เรื่องอย่างนี้ใครจะไม่โกรธ ในเมื่อคันฉ่องของเธอกับลายพนักหัวเตียงที่หลวงเลิศทำเตรียมเอาไว้ให้เจ้าสาวนั้นเป็นลวดลายเดียวกัน

“พูดอีกลิ่น มึงอมสากเอาไว้รึ ไม่พูดกูจะตีมึงให้ตาย”

“น้องได้มานานแล้วเจ้าค่ะ คุณพี่เที่ยงให้เพราะคงจะคิดลองฝีมือเอาไว้สลักเตียงของคุณพี่เฟื่องนั่นแหละเจ้าค่ะ” กลิ่นก้มหน้าหลับหูหลับตาพูด คุณเฟื่องเงียบเสียงไปแล้ว กลิ่นคิดว่าเธอคงสงบลง แต่กลิ่นคิดผิด เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณเฟื่องลั่นดาลประตู แล้วหันมาหากลิ่นด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

เธอหยิบบางอย่างขึ้นจากชายพก โยนใส่หน้ากลิ่นแล้วบังคับให้อ่าน

“กูเชื่อมึงก็ได้ แต่มึงอ่านนี่ให้กูฟังก่อน”

กลิ่นเอื้อมไปหยิบกระดาษยู่ยี่แผ่นนั้นด้วยมือสั่นเทา นึกไม่ออกว่าจะแก้ตัวได้อย่างไรดี แล้วฝ่ามือของคุณเฟื่องก็ตบฉาดลงหลังหู หัวของกลิ่นโขกลงไปกับพื้นกระดานดังสนั่น

“ถ้ามึงไม่อ่านกูจะเอามึงให้ถึงตาย”

เสียงพูดนั้นต่ำ แววตาก็ฉายความอำมหิต กลิ่นรู้ว่าเธอไม่ได้พูดเล่น

กลิ่นเคยได้ยินมาว่าเธอร้ายนัก แต่ไม่เคยเจอกับตัว ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเธอรักกลิ่นเหมือนน้องสาว ไปไหนตัวติดกันจนคุณป้าถึงกับเอ่ยปากกระเซ้าว่าเหมือนคู่แฝด แม้ว่าจะเป็นแฝดที่สวยไปคนละทาง แต่ก็ทำให้ทุกคนในบ้านวางใจว่า กลิ่นจะรอดพ้นภยันอันตราย เพราะอยู่ใต้ความคุ้มกันของคุณเฟื่อง

“อ่าน!” เธอสั่ง กลิ่นมือสั่น อ่านทั้งๆ ที่น้ำตากบตา

เกลื่อนกล่นแลเกลื่อนกลาด                 กลีบบางบาดหัวใจสลาย

กลิ่นแก้วขจรขจาย                                     ผลิจะร่วงจะโรยรา

ว่อนว่อนลมพัดพลิ้ว                                   ใจหวิวหวิวคะนึงหา

เหี่ยวไปไร้ราคา                                        เสียดายกลิ่นอนงค์นาง

เปลี่ยวปล่อยจนทึนทึก                       คนจะนึกไปต่างต่าง

ติต่อและถากถาง                                      ถึงหูเจ้าจะพลอยอาย

ใกล้เกลือต้องกินเกลือ                                 มีด่างเจือจะเสียหาย

ฟอนเฝ้าอยู่ข้างกาย                                   จะมองข้ามพี่ไปไย

ข่มใจจนใจขม                                หักอารมณ์อันหวามไหว

น้ำน้อยฤๅดับไฟ                                       ก็ยิ่งลุกยิ่งเพลิงลาม

มองตาก็รู้อยู่                                           ข้าวในอู่หมูจะหาม

เมื่อรักบรรเลงถาม                                     จะฝืนขืนก็ยากนัก

 

“สลักหลังกระจกกูอ่านแล้วก็ยังพอทน แต่ไอ้ที่เขียนให้กันเอาไว้ มึงจะแก้ต่างว่าอะไรฮึ อี…อี…” คุณเฟื่องกรีดร้อง นึกคำด่า กลิ่นไม่รู้ว่าเธอจะให้กลิ่นอ่านทำไมเพราะเหมือนยิ่งสุมไฟลงในอกเธอ คุณเฟื่องที่นึกคำด่าให้สาแก่ใจไม่ออก ก้าวเข้ามาตบหัวกลิ่นจนคะมำด้วยความโกรธ

“นี่รึที่มึงบอกว่าคิดกันอย่างพี่กับน้อง” คุณเฟื่องพูดไปร้องไห้ไปตบกลิ่นไป “นี่รึที่มึงตอบแทนความไว้ใจของกู…มึง มึง อีกลิ่น กูผิดหวัง ผิดหวังนัก”

กลิ่นร้องไห้ คลานไปเกาะขาหญิงสาว หวังอธิบายให้เธอเข้าใจความจริง

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณพี่ คุณพี่ฟังน้องสักหน่อยนะเจ้าคะ”

“มึงจะแก้ตัวอะไรอีก ถ้ามึงจะบอกว่าเรื่องเก่า มึงยังเก็บกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ทำไม”

กลิ่นสะอื้น หมดคำจะพูด ถ้าบอกว่ากลิ่นลืมไปแล้วว่าเก็บกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ใต้เตียงก็ยิ่งไม่ใช่ความจริง ในชีวิตกลิ่นนั้นแทบจะไม่ได้เจอผู้ชายคนไหน มีเพียงหลวงเลิศที่ ‘ฟอนเฝ้า’ เหมือนในจดหมายฉบับนั้น หากแต่เมื่อหลวงเลิศตัดสินใจเลือกคุณเฟื่องและวางกลิ่นในฐานะน้องสาวแล้ว กลิ่นก็ไม่คิดจะเข้าไปข้องแวะหรือคิดเกินเลยไปกว่าความเป็นน้องกับเธออีก

กลิ่นจะบอกคุณเฟื่องอย่างไรดีว่า ลับหลังคุณเฟื่องนั้น หลวงเลิศยังเว้าวอนไม่ว่างเว้น กลิ่นเสียเองที่ตัดขาดแบบบัวไม่เหลือใย และบอกไปว่าเธอจะเลือกคุณกล้ามหาดเล็กตามคำแนะนำของคุณป้า ถ้าคุณเฟื่องจะเย็นลงและฟังกลิ่นมากกว่านี้กลิ่นก็อยากจะอธิบาย แต่เมื่อคุณเฟื่องยังกรีดร้องและเอาแต่สับกลิ่นด้วยฝ่ามือ หญิงสาวจึงได้แต่นั่งน้ำตาตก รอพวกบ่าวให้มาแยกเธอออกไปก่อนที่กลิ่นจะช้ำในตายไปเท่านั้น

“พูดมาอีกลิ่น พูดมา” คุณเฟื่องตบฉาด กลิ่นยกมือพนมพูดทั้งน้ำตา

“พูดแล้วเจ้าค่ะ พูดแล้ว คุณพี่อยากรู้อะไรเจ้าคะ”

“บอกกูมาให้หมดว่ามึงกับคุณพี่มีอะไรกันแล้วใช่ไหม”

กลิ่นส่ายหน้ายังไม่ทันเอ่ยปฏิเสธ ตบฉาดใหญ่ก็กระหน่ำลงมาอีก

“มึงจะโกหกกูไปถึงไหน”

“น้องพูดความจริงนะเจ้าคะ น้องพูดความจริง”

“พูดความจริงหรือ เชอะ…ถ้ามึงพูดความจริง ทำไมมึงกับคุณพี่ถึงลวงกู พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นพี่เป็นน้อง ถ้ามึงไม่หวังจะแอบลักลอบมีอะไรๆ กัน มึงจะมาโกหกหาพระแสงอะไร กูรึเอ็นดูมึงอี…อี…” เสียงเฟื่องฟ้าช้ำใจ น้ำตาที่ไหลพรากของคุณเฟื่อง ทำกลิ่นเจ็บในหัวใจจนนึกเกลียดผู้ชายอย่างหลวงเลิศขึ้นครามครัน

มีเมียแล้ว ก็ยังมาวอแวกลิ่นไม่เลิก จริงอย่างที่คุณเฟื่องพูดแทบทุกอย่าง ที่ไม่จริงคือกลิ่นไม่คิดจะไปเกี่ยวข้องใดๆ กับหลวงเลิศนอกจากในฐานะน้องสาวเท่านั้น

“คุณพี่เฟื่องเจ้าขา น้องพูดความจริง น้องก็รักคุณพี่ นับถือคุณพี่ ฟังน้องสักนิดเถอะนะเจ้าคะ”

ในที่สุดกลิ่นก็ตั้งหลักได้ เธอจะไม่ยอมให้ใครมาเข้าใจผิด เธอจะต่อสู้เพื่อตัวเอง

ดวงตามั่นคงของกลิ่นทำคุณเฟื่องนิ่งฟัง เอกภริยาหลวงเลิศสลักกิจปาดน้ำตา กระแทกตัวนั่งลงบนฟูก เมื่อเห็นคุณเฟื่องอารมณ์เย็นลงกลิ่นก็ใจชื้น หญิงสาวคลานไปเกาะขาเธอแล้วตั้งท่าอธิบาย หากแต่เสียงเคาะประตูปึงปังจากด้านนอกก็ดังขึ้นเสียก่อน

เสียงบ่าวตะโกนเข้ามาว่า คุณกลิ่นอดทนนะเจ้าคะ คุณหลวงอยู่ท่าน้ำแล้ว เท่านั้นคุณเฟื่องก็ตาลุกวาว จากอารมณ์เย็นลงเธอก็กระชากผมกลิ่นจนหน้าหงาย ดวงตาแดงก่ำถามกลับมาว่า

“นี่พวกมึงรู้กันทั้งเรือน หลอกกูทั้งเรือนกันเลยใช่ไหม”

เร็วกว่าความคิด คุณเฟื่องวิ่งไปคว้าตะเกียงลานชูไปที่กองผ้ามุมห้อง

“ถ้าไม่อยากตายมึงพูดความจริงมา ถ้าไม่พูดก็ตายไปกับกูที่นี่แหละ”

จริงอย่างที่คุณป้าพูดทุกอย่าง ลูกสาวคนเล็กของเจ้าคุณโชฎึกนั้นรักแรงเกลียดแรง มิจฉาทิฐิของเธอเหลือที่ใครจะระงับได้ ความโกรธของเธอนั้นอยู่หนือสิ่งใดทั้งปวง แม้ความตาย คนอย่างลูกสาวเจ้าคุณโชฎึกก็ไม่กลัวเกรง

กลิ่นพยายามระงับใจ นึกภาวนาว่าขอให้หลวงเลิศอย่าเพิ่งขึ้นเรือน เธอกลัวว่าความกะล่อนของหลวงเลิศนอกจากจะใช้ไม่ได้ผลกับคุณเฟื่องในเวลานี้แล้ว เขายังไม่รู้เรื่องราวข้างในห้องว่าสิ่งที่เขาคิดว่ามันยังคงเป็นความลับ มันไม่เหลือความลับอะไรอีกแล้ว

“แม่เฟื่อง แม่กลิ่น อยู่ข้างในห้องหรือเปล่า” เสียงหลวงเลิศสลักกิจเคาะประตู คำอธิษฐานของกลิ่นไม่ได้ผล กลิ่นนิ่งฟัง ใจเต้นโครมคราม หญิงสาวลุ้นว่าคุณเฟื่องจะตอบหลวงเลิศไปว่าอย่างไร แต่คุณเฟื่องกลับไม่ตอบ

มีเสียงพูดจ้อกแจ้กของบ่าวแต่จับความไม่ได้ ก่อนที่เสียงทุบประตูของหลวงเลิศจะถี่ขึ้นและดังขึ้น

“แม่เฟื่อง แม่เฟื่องทำอะไรแม่กลิ่นหรือเปล่า เปิดประตูให้พี่ก่อน ค่อยพูดค่อยจา อย่าทำอะไรแม่กลิ่นนะ”

คำ –อย่าทำอะไรแม่กลิ่นนะ…เหมือนมีดเถือฟางเส้นสุดท้ายของคุณเฟื่องให้ขาดสะบั้นลง ตะเกียงในมือของหญิงสาวลอยละลิ่วล่วงลงไปบนกองผ้า มันลุกพรึบแล้วลามไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นพยายามจะเข้าไปดับ แต่แล้วก็ล้มลงด้วยแรงกระแทกของคันฉ่องที่คุณเฟื่องทุบเข้าที่หัว

ลูกสาวของเจ้าคุณโชฎึกลากกลิ่นโยนลงบนเตียงนอน ปากก็ก่นด่าว่ามึงอยากได้เตียงนี้ใช่ไหม มึงอ้อนให้คุณพี่ทำเตียงกูลายเดียวกับมึงใช่ไหม ถ้าไม่คิดจะเทียบกู มึงจะทำอย่างนี้ทำไม

กลิ่นยกมือไหว้ พยายามจะบอกว่าเธอกำลังเข้าใจผิด แต่เลือดที่ไหลลงมาอาบหน้าก็ทำให้กลิ่นมึนจนพูดอะไรไม่ออก

ไฟในห้องแรงขึ้น ทั้งผ้าทั้งนุ่นเป็นเชื้อไฟอย่างดี กลิ่นเห็นเขม่าสีดำลอยคลุ้ง และทั้งเฟื่องและกลิ่นก็เริ่มไอออกมา

เสียงหน้าห้องเริ่มลนลาน

“แม่เฟื่องทำอะไรแม่กลิ่น นั่นมันน้องพี่นะแม่เฟื่อง เปิดประตูออกมาพูดจากันดีๆ ก่อน”

เท่านั้นแหละ คุณเฟื่องก็กรีดร้อง

“นั่นมันน้องพี่…นั่นมันน้องพี่ มึงฟังนะอีกลิ่น” อาการของคุณเฟื่องไม่เหลือสติอีกต่อไปแล้ว

เธอเป็นคนมั่นใจและเชื่อมาตลอดว่าตัวเองเป็นเจ้าหัวใจของหลวงเลิศสลักกิจ ชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่ารูปงามที่สุดคนหนึ่งของบางกอก แล้วเมื่อมารู้ว่าสิ่งที่เธอภูมิใจหนักหนาว่าผัวหลงจนถึงกับทำเตียงให้ เป็นความเข้าใจผิดไปเอง คุณเฟื่องจึงผิดหวังจนแทบคลั่ง

คุณเฟื่องกรีดร้องออกมาอย่างเหลืออด เมื่อเธอร้องหนำใจแล้วก็นิ่งฟังเสียงภายนอก ตอนนี้ไฟไม่ได้โหมแรงอาจเพราะอากาศชื้นฝน หากแต่ควันนั้นคละคลุ้งเกิดเป็นกลุ่มหนาจนกลิ่นมองอะไรแทบไม่เห็น

กลิ่นนอนมองคุณเฟื่องมาจากเตียงนอน เลือดไหลซึมฟูกจนกลิ่นแน่ใจว่าอีกไม่นานเธอคงจะหมดสติในไม่ช้า

“คุณพี่…” กลิ่นพูดได้แค่นั้นก็ไอออกมาและได้ยินคุณเฟื่องไอโขกๆ ดังไม่หยุด

เสียงข้างนอกยังอลเวง หลวงเลิศเริ่มโมโห เขากระแทกประตู ไม่ใช่เพื่อเรียกแต่พยายามจะพังเข้ามา ปากก็คาดโทษคุณเฟื่องถึงความใจร้อนและไม่ยอมฟังใคร และเกินที่กลิ่นจะคาดถึง เฟื่องฟ้าที่สงบไปแล้วลงเดินไปยกคันฉ่องหลังนั้นขึ้นมาบนเตียง หญิงสาวสะอื้นก่อนใช้มือทุบกระจกจนแตกออกเป็นเสี่ยง เธอหยิบกระจกชิ้นที่เหมาะมือที่สุดมากำเอาไว้ ยิ้มอย่างน่าขนลุกแล้วหันมาทางกลิ่น

“กูไม่เคยแพ้ใคร กูไม่เคยถูกผู้ใดหลอก ไม่คิดเลยว่าชายที่กูรัก หญิงที่กูไว้ใจ รับเอาไว้เป็นน้องสาวจะทำกับกูได้” สายตานั้นเย็นชา ปากของเธอเหยียดยิ้ม ก่อนจะยกปลายแหลมของกระจกจ่อลำคอตัวเอง

“กูขอให้พวกมึงต้องทนทุกข์ ได้พบ ได้เจอ เรื่องรักจัญไรเหมือนที่กูเจอ ทุกชาติ ทุกชาติไป ขอให้มึง…อีกลิ่น เป็นผีเฝ้าเรือนไปจนกว่ากระดานแผ่นสุดท้ายจะกลายเป็นผง ชาติหน้ามีจริงฉันใด ต่อให้กูจำได้ กูก็จะไม่มีใจให้อภัยมึง”

สิ้นคำนั้นกลิ่นก็กรีดร้องทั้งๆ ที่ไม่มีเสียง เลือดของคุณเฟื่องพุ่งจากลำคอออกมาเป็นสาย ร่างงามอ้อนแอ้นของหญิงสาวล้มลงมานอนจ้องตากลิ่นที่กรีดร้องเหมือนคนเสียสติ ซึ่งนั่นคงเป็นภาพสุดท้ายที่คุณเฟื่องอยากจะได้เห็น

กลิ่นสะอื้น ควันจำนวนมากที่สูดเข้าไปทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดลมหายใจ เสียงสุดท้ายที่กลิ่นได้ยินคือเสียงของหลวงเลิศสลักกิจตะโกนเรียกคุณเฟื่องขึ้นมาสุดเสียง ก่อนสติจะดับวูบไปในนั้น กลิ่นนึกถึงคุณความดีที่ได้กระทำมา เธอรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงอธิษฐาน

“ชาติหน้ามีจริงฉันใดขอให้คุณพี่เฟื่องได้พบความสงบสุข ขอให้ทุกคนได้กลับมาเข้าใจกันและกันด้วยนะเจ้าคะ”

กลิ่นจำไม่ได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นผีติดอยู่กับคันฉ่องและเข้าไปอยู่ในร้านขายของเก่าเสียแล้ว



Don`t copy text!