หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)

หน้ากากมยุเรศ บทที่ 5 : งานแฟชั่นโชว์ (1)

โดย : สิตา

Loading

หน้ากากมยุเรศ นวนิยายโรแมนติกดราม่า โดย สิตา ผู้ที่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศในโครงการ อ่านเอาก้าวแรก ปี 2 ในนามปากกา “เยว่หวา” ที่ครั้งนี้ เธอขอพาทุกคนสู่การเฉือดเฉือนในวงการธุรกิจของครอบครัวบุหรงกาญจน์ ที่ต่างฝ่ายต่างสวมหน้ากากปิดบังเป้าหมายในใจ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่คาดเดาหรือหักมุม อ่านออนไลน์กันได้ที่ anowl.co

วิมลินยืนอยู่หน้าห้องพักของเจคในโรงแรม แตะคีย์การ์ดที่พนักงานแผนกต้อนรับซึ่งคุ้นหน้าเธอดีจึงยื่นให้ทันทีที่ขอ เดินหาเขาไปตามห้องสวีทกว้างใหญ่ ปากก็ร้องเรียก “เจคคุณอยู่ไหน วันนี้ต้องเข้าบริษัทครั้งแรกนะคะ ห้ามสายเชียว”

“ทางนี้”

หญิงสาวเดินตามเสียงมาเจอเขาตรงบริเวณแต่งตัวข้างห้องน้ำ และพอเห็นเต็มตาก็เผลอหยุดฝีเท้าที่ช่องประตูนั่นเอง

เมื่อวานวิมลินเริ่มสังคายนารูปลักษณ์เจคเสียใหม่ ตระเวนพาชายหนุ่มซื้อเสื้อผ้ารองเท้าสำหรับทำงานแถวห้างสรรพสินค้าที่อยู่ติดโรงแรม จนถึงร้านตัดเย็บชุดสูท เจคที่เริ่มเมื่อยขอประท้วง

“ของใช้แค่สามสี่เดือนเองจะซื้อเยอะทำไม ผมมีสูทมานะไม่ต้องซื้อหรอกเปลือง”

“นั่นไม่ใช่สูทค่ะ นั่นมันเบลเซอร์”

ขณะชายหนุ่มทำท่าคิดว่าแล้วต่างกันตรงไหนก็ถูกเธอดึงเข้าร้าน โชคดีหุ่นเจคตรงตามมาตรฐานจึงใส่ชุดสูทแบบสำเร็จรูปของทางร้านได้พอดี ไม่ต้องรอตัดใหม่ให้เสียเวลา ปิดท้ายที่ร้านตัดผม วิมลินแจ้งช่างผู้กำลังมองทรงผมรังนกของเจคด้วยสีหน้าสยอง

“ช่วยทำอะไรสักอย่างหน่อยเถอะคะ”

ดูเหมือนช่างจะจนปัญญากับทรงผมรังนกของเจค เขาจึงถูกไถผมทรงอันเดอร์คัตชนิดที่ถ้าสั้นกว่านี้อีกสักเซ็นฯ คงนึกว่าเป็นทหารเพิ่งปลดประจำการ แต่ก็เสริมรับกับศีรษะได้รูปสวย และเมื่อไร้ผมกระเซิงมาบดบังจึงเห็นเครื่องหน้าคมคายชัดเจนขึ้น อีกทั้งตัวสูงชะลูดเวลาสวมเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงสูทครึ่งท่อนทำให้ดูภูมิฐานเกินคาด

ชายหนุ่มยืนหน้ากระจกบานยาว กำลังปลุกปล้ำกับเนกไทบนคอโดยทำตามคลิปวิดีโอในโทรศัพท์ไปด้วย เธอเลยพิงสีข้างกับผนังกอดอกดูเขาเฉย

“เสร็จแล้ว!” เจคตบปมเนกไทแปะๆ อวดหญิงสาว

“มันเบี้ยว”

คนฟังห่อไหล่เหี่ยว “ผมพยายามผูกมันร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วนะ หยั่งกะเล่นพัซเซิลด่านยากเลย”

วิมลินเดินมาดึงปมเนกไทเขาลง พลางดุอีกฝ่ายที่สะดุ้งถอย “อยู่นิ่งๆ สิ”

เจคจึงได้แต่เชิดหน้ายืนทื่อ แอบชำเลืองเธอผ่านปลายจมูก หญิงสาวกำลังโน้มหน้าผูกเนกไท ใกล้จนได้กลิ่นแชมพูจากเรือนผมสีน้ำตาลคาราเมลซึ่งวนหมุนจากขวัญเล็กๆ กลางศีรษะ ทิ้งปอยระหน้าผากแกว่งไกวเหมือนหางแมวเล็กๆ จนอยากเอื้อมมือปัดให้

เจคกำหมัดแน่น รีบตวัดสายตามองเพดาน

“เสร็จแล้ว” เธอถอยห่างพินิจผลงานอย่างพอใจ คอยกำกับตอนชายหนุ่มคว้าเสื้อสูทมาสวม “ดึงปลายแขนเสื้อออกมาให้สุด ที่ลองชุดเมื่อวานมันเลยแขนเสื้อสูทครึ่งนิ้วพอดีแล้ว ติดกระดุมสูทแค่เม็ดบนพอ เวลานั่งต้องปลดออกด้วยนะคะไม่งั้นสูทจะยับ แล้วก็…”

เขาทำหน้าละห้อย “เมื่อวานซืนเพิ่งจับผมอบรมมารยาทบนโต๊ะอาหารมานะ ยัดเยียดมากๆ เกิดผมสับสนเอาไทเช็ดปากแล้วเอาผ้าเช็ดปากผูกคอทำไง”

“คิดว่าได้ความรู้สิคะ คอร์สพวกนี้สอนทีเขาเรียกเก็บกันแพงนะ อย่างอาหารฟูลคอร์สก็เป็นหมื่นแล้ว”

“แพงแล้วไง รสชาติสู้ข้าวไข่เจียวที่ผมทำให้กินได้ไหมล่ะ”

เธอหวนกระหวัดถึงมื้อเย็นที่โดนยัดเยียดโดยไม่ทันตั้งตัว แทบลืมไปแล้วว่าไข่เจียวสามารถส่งกลิ่นหอมได้ขนาดนั้น แล้วยังสัมผัสนุ่มเด้งของเนื้อกุ้งที่คลุกเคล้ากับข้าวบนปลายลิ้น…

“นั่นไงล่ะ!” เขาชี้นิ้วใส่เธออย่างผู้ชนะ “คุณก็ยอมรับว่าผมทำอร่อยกว่าใช่ไหม เห็นนะคุณพยักหน้านิดหนึ่ง”

วิมลินขมวดคิ้ว หมุนตัวขวับพร้อมก้าวฉับๆ ผ่านช่องประตู “เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วใช่ไหมคะ ช่วยลากไปวางหน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นด้วย ทางโรงแรมจะเอาไปส่งให้ที่บ้านตอนบ่ายเอง”

“เฮ้ๆ” เขาวาดมือไพล่หลังไล่ตาม “อย่าหนีสิ ผมเห็นคุณพยักหน้านะ เห็นจริงๆ”

 

แม้จะเผื่อเวลาไว้แล้วแต่การจราจรช่วงเช้ายังหนาแน่นผิดคาด เจคผู้เคยอยู่ในประเทศที่จำนวนแกะมากกว่าคนเริ่มขยับตัวอย่างอึดอัดบนเบาะที่นั่งข้างน้องสาวกำมะลอ ชวนคุยแก้เบื่อ

“คุณไม่มีคนขับรถหรือ เห็นทีไรก็ขับไปไหนมาไหนเอง”

พวกเขาตกลงว่าจะเลิกคุยกันด้วยความเกรงใจมากเกินไป คำพูดจึงดูเป็นกันเองมากขึ้น

“ฉันไม่ชอบวุ่นวาย ขับเองสะดวกกว่า” เหล่มองท่าทางกระสับกระส่ายของเขา “คุณดูตื่นเต้นจัง”

“ต้องปรากฏตัวเป็นทางการครั้งแรกในฐานะพี่ชายคุณนะ เกิดผมพลาดล่ะ”

“ทำใจให้สบายเถอะ อย่างที่เคยบอกไว้คุณแค่ทำตัวเหมือนเคย ผูกมิตรกับพวกญาติๆ อย่าให้ใครเอะใจตัวตนจริงๆ พอพวกเขาชะล่าใจเราก็แค่รอเวลาประชุมกรรมการบริษัทในอีกสามเดือนเท่านั้น”

“นั่นแหละๆ” เขาหมุนตัวท่อนบนมาหาเธอ “หลายวันนี้ผมรับข้อมูลเยอะจนมึน อีกอย่างวงการธุรกิจไม่ใช่แนวทางผม สารภาพตามตรงฟังแผนของคุณไม่ค่อยเข้าใจหรอก ช่วยอธิบายใหม่ได้ไหม” พอหญิงสาวตั้งท่าจะเอ่ยเขาก็รีบเสริม “ขอแบบพูดให้เด็กอนุบาลฟังนะ เอาง่ายๆ”

“ที่ฉันเคยบอกไว้ก็ง่ายแล้วนะ” วิมลินบ่นขณะเอียงคอเรียบเรียงความคิด “ว่ากันตามขั้นตอนปกติ การบริจาคที่ดินแก่มูลนิธิผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทแล้ว เหลือแค่ทำเอกสารให้ประธานเซ็นรับรอง แต่พอพ่อตายเรื่องเลยคาราคาซัง ที่ฉันเคยกลัวคือถ้าลุงเสริฐมั่นใจว่าตัวเองจะได้ขึ้นเป็นประธานแน่ๆ อาจลักไก่ขายที่ดินไปเลย เพราะคงไม่มีใครกล้าต่อว่าประธานหรอก แต่คุณมาทันเวลาพอดี หากคุณนั่งอยู่ที่โต๊ะประธานเอกสารทุกอย่างต้องผ่านตา ลุงเสริฐจะลักไก่ยากขึ้น ถ้าแบบนั้นเขาอาจเปลี่ยนใจไปใช้แผนสอง”

รถเริ่มเคลื่อนที่ เจครอจนการจราจรติดขัดอีกครั้งค่อยเอ่ยถาม “อะไรครับแผนสอง”

“ลุงเสริฐน่าจะเตรียมหาคนซื้อที่ดินแล้วรอจนประชุมคณะกรรมการครั้งหน้า ชักแม่น้ำทั้งห้ากล่อมกรรมการเปลี่ยนใจจากเรื่องบริจาคมาขายที่ดินแทน พอกรรมการใจอ่อนก็รีบขายให้คนซื้อที่เตรียมไว้ ป้องกันพวกเราหาทางคัดค้านได้ทัน ฉะนั้นเราจะแก้เกมด้วยการชิงตัดหน้า การประชุมกรรมการคราวต่อไปคุณเป็นว่าที่ประธานย่อมได้สิทธิ์เข้าร่วม ส่วนฉันในฐานะคนติดตาม พวกเรายกการบริจาคที่ดินมาคุยเป็นเรื่องแรกเลย อ้างว่ามันค้างคานานเกินไปแล้วควรรีบจัดการให้จบ ทีนี้ลุงเสริฐจะค้านก็ลำบากเพราะคุณออกตัวไว้ กรรมการย่อมเอนเอียงมาทางคุณมากกว่า ใครๆ ก็อยากเอาใจว่าที่ประธานคนใหม่” เธอเคาะนิ้วกับพวงมาลัย “ฉันถึงต้องมีคุณ เพราะลำพังแค่ฐานะฉันไม่มีอิทธิพลกับกรรมการขนาดนั้น สู้กับลุงเสริฐซึ่งหน้ายังไงก็แพ้”

ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ ใช้เวลาทบทวนคำอธิบายของเธอแล้วจู่ๆ กลับโพล่งขึ้น “ทางลุงเสริฐยังไม่ระแคะระคายว่าเรารู้เรื่องที่เขาจะแอบขายที่ดินใช่ไหม”

“ไม่หรอก ฉันระวังตัวมาก”

“ถึงงั้นเขาอาจยอมเสี่ยงใช้อำนาจประธานรักษาการ เซ็นอนุมัติขายที่ดินโดยไม่ส่งเอกสารผ่านมาที่ผม ที่ดินก็อาจหลุดมือเราโดยไม่รู้ตัวเลย ผมเพิ่งไล่อ่านกฎเกณฑ์ข้อบังคับของบริษัทซ้ำอีกทีเมื่อคืน จำแม่นว่ามันอยู่ในอำนาจของประธานรักษาการ”

วิมลินผินหน้ามองเขาอย่างชื่นชม “อ่านข้อบังคับบริษัทด้วยหรือ ขอบคุณนะคะที่ลำบากทำตามที่ฉันขอทุกอย่าง แถมยังทำได้ดีเสียด้วย”

เขาเกาหัวที่เกือบจะเกรียนด้วยอาการขัดเขิน “ผมต้องพยายามเต็มที่ในฐานะหุ้นส่วนที่ดีสิครับ”

หญิงสาวชะงักกับคำตอบเขา แววตาฉายความรู้สึกผิดวูบหนึ่งแต่เจคไม่ทันสังเกตเพราะกำลังจดจ่อต่อเรื่องอื่น

“แล้วคุณว่าไง ความคิดผมมันเป็นไปได้ไหม”

“ได้ค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะฉันป้องกันเอาไว้แล้ว” รถเคลื่อนตัวอีกครั้ง วิมลินจึงบังคับพวงมาลัยขณะแจกแจงไปด้วย “ฉันอุปโลกน์คนซื้อปลอมมาติดต่อขอซื้อที่ดินผืนนี้กับลุงเสริฐไว้ เตะถ่วงยื้อเวลาไปจนถึงคราวประชุมกรรมการครั้งหน้า”

เจคเลิกคิ้ว “ถ้าลุงเสริฐสาวกลับมาเจอคุณความไม่แตกเหรอ”

“ซื้อขายที่ดินราคาระดับนี้เขาทำผ่านนายหน้ากันทั้งนั้นแหละค่ะ การปกปิดตัวตนคนซื้อถือเป็นเรื่องปกติ อาจเพื่อป้องกันการโก่งราคา ระวังความลับทางธุรกิจ เพื่อให้ซื้อที่ดินข้างเคียงได้ง่ายขึ้น เหตุผลมีร้อยแปด และฉันติดต่อผ่านทนายไปจ้างนายหน้าอีกที น่าจะปกปิดตัวตนแนบเนียนพอควร”

“ทนายไว้ใจได้หรือ”

“แน่นอนค่ะ ก็ทนายคนนี้แหละที่เป็นคนแนะนำนักสืบให้ฉันไว้ตามหาพี่แคน”

ชายหนุ่มพยักหน้า “คุณนี่รอบคอบจนผมทึ่งเลย”

“ทางคุณก็อย่ากังวลเกินไป เป็นตัวของตัวเองตามธรรมชาติเถอะค่ะ หายหน้าเป็นสิบปียังไงนิสัยก็เปลี่ยน ไม่มีใครสงสัยที่คุณทำตัวไม่เหมือนพี่แคนสมัยก่อนหรอก อีกอย่างคุณรู้เรื่องจากพี่แคนมาเยอะอยู่ อันไหนไม่ทราบก็แค่อ้างว่าจำไม่ได้”

ขับรถมาถึงบริษัทบุหรงกาญจน์แล้ว พอผ่านประตูรั้วจะเจอตึกสำนักงานแทบทันที ขณะที่โรงงานตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ในส่วนที่จอดรถด้านข้างอาคารวันนี้มีการใช้งานหนาแน่น กว่าวิมลินจะหาที่ว่างได้ต้องขับลึกเข้ามาเกือบสุดด้านใน หลังจอดรถเรียบร้อยก็ย้ำกับคนข้างตัวอีกรอบ

“เราจะไปห้องประชุมเล็กที่เดิมเพื่อพบญาติๆ ก่อนนะคะ วันนี้คงมากันเยอะเพื่อดูตัวคุณ ที่จอดรถถึงเต็มเอี้ยด”

เจคสูดลมหายใจลึกเรียกขวัญ “โอเค ผมแค่ต้องทำตัวเป็นเด็กดี ผูกมิตรกับทุกคน”

“ใช่ค่ะ จะได้ไม่มีใครจับผิดจุดประสงค์แท้จริงของเรา อีกอย่างถ้าลุงเสริฐคลายความระแวงอาจเผลอหลุดข้อมูลให้เราใช้ประโยชน์ และคอยตรวจสอบเอกสารทุกชิ้นกันคนลักไก่เอาสัญญาขายที่ดินสอดไส้มา”

เขาพยักหน้าขณะก้าวลงจากรถ แล้วชะงักมองตรงไปทางด้านหลังอาคาร มันคือบริเวณสวนเล็กๆ ที่มีจุดเด่นเป็นต้นหางนกยูงฝรั่งสูงใหญ่ตรงกลางสวน กั้นรั้วเตี้ยรอบโคนต้นแล้ววางม้านั่งสนามหลายตัวเป็นวงรอบออกมาอีกชั้น อาศัยร่มเงาจากกิ่งก้านที่แผ่กว้างให้พนักงานหลบพักผ่อนในยามว่าง

“มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวมองตามเขาพลางเอ่ยทัก

เจคยืนนิ่งสักพักค่อยคลี่ยิ้มกว้าง ดูเขาจะตื่นเต้นจริงๆ “แค่ตกใจที่จู่ๆ เจอต้นไม้สูงขนาดนี้น่ะครับ ทั้งถนนมีแต่ตึกกับโรงงานทั้งนั้น ต้นไม้ส่วนใหญ่ก็เตี้ยๆ เล็กๆ ตอนมากับคุณครั้งแรกไม่ทันสังเกตต้นหางนกยูงนี่ คงเพราะคุณจอดรถด้านหน้าแล้วพาเข้าตึกเลย”

“มันอายุหลายสิบปีเลยใหญ่มากค่ะ เป็นของตกทอดที่เหลือจากบ้านเดิม คืออาคารสำนักงานกับที่จอดรถที่เรายืนอยู่นี่สมัยก่อนเป็นบ้านที่ฉันเคยอาศัย แต่อากงอยากขยายส่วนโรงงาน จึงตัดสินใจทุบบ้านเพื่อย้ายสำนักงานและที่จอดรถมาฝั่งนี้ จะได้มีพื้นที่สร้างโรงงานเพิ่ม พวกลูกๆ ก็แยกตัวไปหาบ้านใหม่อยู่กันหมด ยังจำได้สมัยก่อนตรงนี้มีต้นไม้รอบบ้าน แต่อากงตัดเหี้ยนเหลือไว้แค่หางยกยูงฝรั่งต้นนั้น คงเพราะชื่อคล้องจองกับบุหรงกาญจน์ละมั้ง”

“อ๋อ บุหรงกาญจน์แปลว่านกยูงทองสินะ ต้นนั่นบางทีก็เรียกยูงทองเหมือนกัน”

“ค่ะ อากงชอบสัญลักษณ์นกยูงมาก บอกเป็นตัวนำโชค ที่นี่เลยถูกเรียกเล่นๆ ว่าสวนนกยูง” วิมลินเงยมองอาคารสูงห้าชั้น พลางถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ “คุณพร้อมแน่นะคะ”

เจคดึงสายตากลับมาจากต้นหางนกยูงฝรั่ง ยิ้มให้พลางทุบอกตัวเองดังอั้ก “ครับผม นกพลัดถิ่นตัวนี้ พร้อมใส่หน้ากากนกยูงเตรียมแพนหางแล้วครับ!”



Don`t copy text!