โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

วันนี้เฉินเอินส่งคนหนึ่งออกไปอย่างเรียบง่าย ภายในใจความรู้สึกยากจะบรรยาย นึกอยู่ในหัวว่าค่ำคืนอย่างคืนวันนี้เขาจะผ่านมันไปได้ยังไง แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าสวรรค์จะไม่ใจร้ายเกินไปนักถึงได้ส่งเพื่อนเก่าอย่างพร้อมรบมาให้

สองคนเปลี่ยนเครื่องดื่มจากชาเป็นสุราและเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องของคดีที่อีกฝั่งรับผิดชอบ

“ยังหาตัวการใหญ่ฝั่งจีนไม่ได้เลย แต่ทางฝั่งไทยพอจะได้เบาะแสมาว่าผู้ถือหุ้นคนสำคัญคือใครแต่ยังจัดการไม่ได้เพราะหลักฐานยังไม่พร้อม ผมเองทราบมาว่ามโนชายังเคยทำงานให้กับคนคนนั้นด้วย”

“ภาทิศหรือ” พร้อมรบพยักหน้า “ภาทิศเคยขอเข้ารับชาความทรงจำ แต่ฉันปฏิเสธไป”

“คุณเฉินคิดว่าภาทิศยังมีความทรงจำเรื่องน้ำชาอยู่หรือไม่ หรือบางทีมโนชา…”

“ฉันยืนยันได้ว่ามโนชาไม่เกี่ยวข้องอะไร เธอเพิ่งจะรู้เรื่องการมีอยู่ของน้ำชาเมื่อไม่นานมานี้เอง”

“ผมทราบมาว่าเธอลาออกไป เพิ่งจะออกไปในตอนที่ผมเข้ามา เกิดอะไรหรือคุณเฉิน” คนถามไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง คิดว่าเป็นการลาออกของลูกจ้างธรรมดา หรือคิดอีกทีอาจเกี่ยวกับภาทิศเพราะมันออกจะบังเอิญที่คนซึ่งเคยทำงานกับภาทิศจะออกมาอยู่โรงน้ำชา แต่ในเมื่อเฉินเอินยืนยันออกมาหนักแน่นไร้ท่าทีกังขาเขาย่อมต้องปัดมันทิ้งไปเช่นกัน เพียงแต่เมื่อจบประโยคคล้ายได้เห็นแวววูบไหวอยู่ในดวงตาหงส์ของคนตรงหน้า แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็หลับตาลงยกจอกสุรากระดกลงคอ

“ผมว่าตอนนี้คนที่นี่ออกจะน้อยเกินไปหน่อยไหมคุณเฉิน” ไม่กลัวหรือยังไงอยู่กลางป่าพร้อมกับความสามารถอันพิเศษนี้

“ช่วงนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเกินไปเลยยังไม่ได้จัดการอะไรลงไปอย่างที่สมควรทำ พ่อบ้านจางก็ไม่อยู่ สวีสุ่ยเหอเลยวิ่งวุ่น ไหนจะเป็นผู้ช่วยฉันไหนจะต้องรับงานจากมโนชามาบางส่วน”

“ผมขอบังอาจเอ่ยในเรื่องที่คิดสักหน่อยเถอะ แปลกใจจริงๆ ที่คุณยังอยู่รอดปลอดภัย ตั้งแต่ตอนนั้นที่ถูกยิงทั้งที่ผมอยากเสนอเหลือเกินว่าที่นี่ควรจะมีใครคอยคุ้มครองบ้าง คนที่มีทักษะการต่อสู้ ผมพูดในมุมมองที่ผมเป็นตำรวจ ผมรู้สึกว่าคุณประมาทเกินไป”

“ฉันยังมีสวีสุ่ยเหอ” สวีสุ่ยเหอเป็นอดีตตำรวจพร้อมรบเองก็รู้เรื่องนี้ดี

“ซึ่งรับหน้าที่ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ทั้งยังไม่ใช่ซุนหงอคง ให้เก่งแค่ไหนก็ยังเป็นคนธรรมดา”

“พร้อมรบ เธอรู้จักกับพ่อบ้านจางมานานหรือยัง” เฉินเอินยกมือข้างหนึ่งมาวางบนบ่าเพื่อนร่วมดื่มสุรา คนถูกถามตกอยู่ในอาการงงงวยที่อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องพ่อบ้านจางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “หรือบางทีเธออาจจะเป็นลูกชายที่พลัดพรากจากกันมา ถึงได้มีนิสัยจู้จี้ขี้บ่นเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน”

นายตำรวจหนุ่มใหญ่นึกอยากหัวเราะออกมา ติดแต่ว่าดูจะเป็นการล้อเลียนไม่ให้ความเคารพ แต่เมื่ออารมณ์ที่อยากหัวเราะนั้นหายไปเขาก็กลับต้องพิจารณาดูคนตรงหน้าใหม่

ไม่เคยเห็นเฉินเอินเป็นแบบนี้มาก่อน ดูอ่อนไหวและอ่อนแอ ในแววตาที่ปกติเรียบเฉยแกมเศร้าบัดนี้เคล้าไปด้วยแววเหยียดหยันประชดประชันโลก และมีหลายครั้งเหมือนกันที่แสดงความเหนื่อยอ่อนปลดปลงออกมาให้เห็น

ต่อเมื่อเหล้าจอกแล้วจอกเหล้าถูกรินเข้าคอ คนที่ปกติพูดน้อยก็กลับมาเป็นพูดมากไปเสีย

“ซุนหงอคงดียังไงหรือ เป็นเซียนดียังไง สุดท้ายก็โดนภูเขาทับอยู่ห้าร้อยปี ส่วนฉันซึ่งไม่ใช่เซียนแต่ก็คงไม่ใช่มนุษย์เช่นกันถูกจองจำมานานเกินกว่านั้นเสียอีก” เขาเอ่ยเสียงเบาราบเรียบก่อนจะยกมือขึ้นมานวดคลึงหว่างคิ้ว “บางทีนะพร้อมรบ ที่เธอเห็นฉันกำลังประมาทอยู่ตอนนี้เธออาจยังไม่รู้ว่าฉันไม่เคยกลัวเลย สิ่งที่คนกลัวกันหนักหนานั้น ความตายหรือ มันก็แค่จุดหมายสุดท้ายของคนเราเท่านั้น”

พร้อบรบถอนใจยาว วัยอย่างเขาไม่เด็กแล้ว เข้าใจโลกได้ดีระดับหนึ่ง แต่กับอีกคนคงเทียบกันไม่ได้ ไม่รู้จะเอ่ยอะไรได้ดีไปกว่ารับฟัง หากสุราคือยาระบาย อย่างนั้นวันนี้เขาก็ขอเป็นภาชนะรองรับความทุกข์ให้ผู้มีพระคุณหน่อยก็แล้วกัน

 

มโนชาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนงานอีกแล้ว บอกตัวเองว่างานหน้าขอนายจ้างเป็นผู้หญิงทีเถอะ เรียกว่าเข็ดแล้วจริงๆ กับเจ้านายผู้ชาย คนหนึ่งเลวเกิน อีกคนก็ดีเกินจนน่าหมั่นไส้

เธอถอนใจยาวก้าวเข้ามาด้านในบ้านก่อนจะทิ้งของทั้งหมดในมือลง แล้วนอนคว่ำหน้าเหยียดตัวลงกับโซฟาด้วยอารมณ์ที่เรียกได้ว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินเป็นที่สุด

รู้ตัวสะดุ้งตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้วแต่ไม่นึกหิวเลยสักนิด ไม่อยากขยับตัวไปไหน อารมณ์คนอกหักมันเป็นอย่างนี้เอง ที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีความรัก รักวัยใสแบบแซวกันไปกันมาไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไร ในตอนมหาวิทยาลัยทั้งที่จีนและที่ไทยเธอไปไกลได้มากที่สุดก็คืออยู่ในโหมดแอบรักหรือกุ๊กกิ๊กในแบบเด็กๆ

เพิ่งจะมีครั้งนี้ซึ่งตัวเองยังนึกแปลกใจไม่หายว่าทำไมความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันมากมายถึงขนาดนี้ เคยได้ยินคำที่คนพูดเกี่ยวกับคนที่มีแรงดึงดูดกัน สำหรับเฉินเอินอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะเขาไม่เหมือนใคร เพราะเธอไม่เหมือนใคร อาจจะคล้ายขั้วแม่เหล็กกระมัง แม้ต่างกันแต่ก็สามารถดึงดูดกันได้

เพียงแต่ตอนนี้แม่เหล็กสลับขั้วไปแล้ว เธอถึงถูกผลักกระเด็นออกมา

“อือ…” เสียงมโนชางอแงกับตัวเองยามโทรศัพท์สั่นเป็นสัญญาณว่ามีสายเรียกเข้า เธอไม่อยากคุยกับใคร จะยกมือก็ยังไม่มีแรงใจจะทำ “เออ….รับก็ได้ สวัสดีค่ะ” กรอกเสียงใส่ลงไปทั้งที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนโทร.มา

“พี่เองจ้ะ เป็นยังไงบ้าง…” น้ำเสียงนุ่มนวลคุ้นเคยส่งตรงมาจากเมืองจีนมีแววยิ้มปนห่วงใย

“พี่เหมยซี…” มโนชาน้ำตาคลอ “ฮือ ซินลาออกมาแล้ว…” แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็พรั่งพรูหลั่งไหล “คุณเฉินของพี่เหมยซีพูดว่าถ้าอย่างนั้นฉันก็จะปล่อยเธอไปในตอนนี้ ซินจะไม่รู้ได้ยังไงว่ามันหมายความว่ายังไงซินก็เลยเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ซินไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ซินก็แค่…รู้สึกดีนิดหน่อย…” มโนชาเริ่มเบะแต่ก็ยังกลั้นเอาไว้ แอบไขว้มือไว้ข้างหลังกับคำว่านิดหน่อย เพราะอันที่จริงเธอชอบเขาไม่น้อยเลย กว่าจะรู้ตัวว่าชอบความรู้สึกก็พุ่งขึ้นไปทะลุเพดานแล้ว

เซี่ยเหมยซียิ้มกับโทรศัพท์คล้ายเห็นตัวเอง แต่เพียงครู่ก็ถอนใจออกมาคิดว่าจะพูดกับมโนชายังไง แล้วกับเฉินเอินคนนั้นเธอก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะทำเด็ดขาดถึงขนาดนี้

“ซินไม่ผิดเลย เรื่องความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้หรอก แต่ซินก็รู้เงื่อนไขของคุณเฉินดี เขาไม่เหมือนเรา เอาจริงๆ นะ ที่คุณเฉินทำก็เพราะหวังดี แม้ตอนนั้นพี่เองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน ต่อเมื่อได้ก้าวออกมาแล้ว เอาสายตาออกจากคนที่เคยมองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนเข้าใจว่าคนทั้งโลกคงไม่มีใครดีเท่าเขาอีกแล้วถึงได้พบว่าโลกมันยังกว้างใหญ่ และคนดีๆ ก็ยังมีอีก คนดีที่จะรักเราตอบได้”

“อันที่จริงซินไม่ได้คิดไปไกลนักหรอกค่ะ คิดแค่ว่าชอบแต่ยังไม่ได้คิดจะทำยังไงต่อ คิดว่าวันนี้ชอบพรุ่งนี้อาจไม่ชอบก็ได้ อยู่ดีๆ เขาก็ผลักซินออกมา”

เซี่ยเหมยซีนิ่งคิดอย่างพิจารณา เธอเองก็เป็นผู้หญิงเรื่องแบบนี้ก็จะเซนส์แรงเป็นพิเศษ การที่เฉินเอินทำแบบนี้บางทีอาจจะเริ่มรู้สึกอะไรกับมโนชาก็ได้ แต่อย่างที่บอกว่าเขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและมีดวงตาซึ่งมองเห็นแต่ความเป็นไปไม่ได้ เพราะมีบทเรียนจากเธอมาแล้วครั้งหนึ่งที่ปล่อยเวลามานานจนเกินไป และอาจเพราะกลัวใจตัวเองจะคล้อยตามไปถึงได้รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

“ซินไม่คิดไกลแต่คุณเฉินอาจจะคิดไกลก็ได้ เขาอาจจะคิดเผื่อซิน เราเองไม่รู้วันข้างหน้า พี่บอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาทำถูกหรือผิด แต่ไม่อยากให้ซินกล่าวโทษเขาเพราะซินก็รู้ดีว่าคุณเฉินคนนี้มีแต่ความหวังดีให้คนรอบตัวมาโดยตลอด ลองดูกันต่อไป บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ซินบอกก็ได้ ไม่แน่ว่าวันนี้ซินชอบพรุ่งนี้อาจไม่ชอบแล้วก็ได้…”

‘วันนี้ชอบพรุ่งนี้อาจไม่ชอบ’ นั่นมันคำพูดหลอกตัวเองชัดๆ เวลาก็ผ่านมาหลายวันจนเป็นสัปดาห์แล้วเธอก็ยังไม่หายจากอาการนี้เสียที นามบัตรที่สวีสุ่ยเหอแนะนำงานให้ยังคงวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ และเธอก็ยังคงนอนอืดอยู่บนเตียงไม่ก็โซฟา นึกถึงอาม่าแล้วก็ยังไม่มีหน้าไปหา กลัวพี่มนจะถามแล้วเธอก็คงไม่อาจโกหกได้ว่าตัวเองลาออกจากงานมาแล้ว

บางครั้งเธอก็คล้ายจะรอโทรศัพท์ต่อว่าจากเจ้าของโรงน้ำชาเรื่องที่ว่าทำไมยังไม่ยอมไปทำงานอีกทั้งที่แนะนำงานมาให้แล้วแท้ๆ แต่เขาก็ไม่ได้โทร.มา

มโนชาคุยกับเซี่ยเหมยซีผ่านวีแชตบ้างแต่เธอก็ไม่ได้บ่นเรื่องที่อยู่ในใจให้ทางนั้นฟังอีก ป้าจูทักวีแชตมาบ้างส่งของกินมาล่อซึ่งก็ไม่ได้ผลเอาเสียเลย ส่วนน้องที่มาทำงานใหม่ก็ไลน์มาถามเรื่องเก็บอะไรไว้ตรงไหนบ้าง คุยเล่นบ้าง แต่ไม่เคยเอ่ยถึงเฉินเอินเลยสักครั้ง

แต่ชีวิตก็ยังคงต้องเดินต่อไปข้างหน้า ในวันที่ฟ้าสว่างสดใสหลังจากครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาทั้งสัปดาห์มโนชาก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว เกิดความคิดปัจจุบันทันด่วนขึ้นมา เธอสูดหายใจเข้าเรียกความกล้าหาญก่อนแวะร้านตัดผมก่อนเป็นที่แรก ผมยาวเกือบกลางหลังถูกหั่นสั้นเหลือแค่ไหล่เพื่อเป็นนิมิตหมายในการเริ่มต้นใหม่ ก่อนจะไปบ้านพี่มนเพื่อเยี่ยมอาม่า สุดท้ายก็แวะไปเตร่แถวออฟฟิศเก่านัดเพื่อนที่ทำงานเก่าออกมากินข้าวด้วยกันเป็นอันจบวัน

“ไม่รู้จะยินดีกับแกดีหรือเสียใจดีที่ได้เลื่อนไปเป็นเลขาแล้ว แต่คนตกงานอย่างฉันจะไปพูดเสียใจคงไม่ดี ถ้าอย่างนั้นดีใจด้วยที่ได้เลื่อนเป็นเลขาคุณภาทิศ แกก็ระวังหน่อยแล้วกัน…”

“ฉันไม่สวยอย่างแกไม่ต้องกังวล แถมสไตล์สวยไม่แคร์โลกอย่างฉันเนี่ยมีแต่คุณภาทิศที่ต้องกลัว” เพื่อนเอ่ยด้วยอารมณ์ขบขัน ซึ่งมโนชาก็เห็นจริงตามนั้นหลังจากนับสีสันบนเสื้อกระโปรงเพื่อนรวมกันได้เยอะกว่าสีของรุ้งกินน้ำ “วันนี้วันศุกร์ แถวนี้มีบาร์ลับที่หนึ่งเปิดมาสักพักแล้วฉันอยากไป แกไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ อุตส่าห์ไปทำผมมาแล้ว”

“ไม่ได้ทำเพื่อไปเที่ยวกับแก แต่ไปก็ได้…”

บาร์ลับที่ว่าอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเก่ามากนัก ตามปกติช่วงแรกคนมักจะแน่นเพราะอยากลองของใหม่ หลังจากนั้นก็เริ่มจะน้อยลงประปราย ถือว่าเพื่อนเลือกช่วงเวลาได้ถูกเพราะหากต้องรอนานหรือเบียดเสียดยัดเยียดเธอเองก็คงไม่อยากจะไป ก็เพิ่งจะงัดตัวเองออกมาทำอะไรๆ ได้ พลังงานเธอเลยไม่ได้เหลืออยู่มากนัก

บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างมืด แสงสว่างส่วนมากมีที่มาจากบาร์เครื่องดื่ม หลังจากสั่งเรียบร้อยสองสาวก็มาหลบนั่งถกปัญหาชีวิตกันอยู่ตรงที่นั่งมุมเสาอย่างเงียบๆ เพราะรอบข้างไม่มีโต๊ะอื่น มีเพียงสองสามคนที่นั่งดื่มพูดคุยกับบาร์เทนเดอร์ตรงบาร์เครื่องดื่มเท่านั้น

กระทั่งมีคนมาใหม่ สองคนที่นั่งอยู่ก่อนก็หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย เพราะเขาคือเจ้านายของคนหนึ่งและเป็นเจ้านายเก่าของอีกคน ดีว่าเสามันต้นใหญ่และทั้งสองคนนั่งอยู่ติดเสาก็เลยถูกบังจนมิด สองคนเกิดอารมณ์เซ็งขึ้นมาทันที

“เอาไงดีวะ” เสียงของเพื่อนยื่นหน้ามากระซิบ

“ฉันไม่อยากเจอ รอให้เขากลับก่อนแล้วเราค่อยกลับก็แล้วกัน คงไม่เดินข้ามมาฝั่งนี้หรอกมั้ง”

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยเพื่อนสองคนเลยนั่งเงียบๆ เล่นโทรศัพท์รอเวลาแต่ก็ไม่สนุกเสียแล้ว

ไม่ถึงห้านาทีก็มีอีกคนตามมาสมทบทางฝั่งภาทิศ เป็นเสียงผู้ชายพูดคุยภาษาอังกฤษพอจับใจความได้ว่า หากภาทิศทำสำเร็จไปตั้งแต่ปีที่แล้วตอนนี้คงไม่ต้องมาตามแก้ไข

ภาทิศที่เคยอยากรู้ข้อมูลคู่แข่งเมื่อไม่ได้ก็กลายเป็นแพ้ประมูล ทั้งยังต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ถือหุ้นทางฝั่งเมืองจีนซึ่งขู่จะเปิดโปงและจะล้มทั้งธุรกิจหากเรื่องถูกโยงไปจนถึงทางนั้น

ตอนนี้สิ่งที่ภาทิศต้องทำคือต้องรู้ให้ได้ว่าตำรวจมีหลักฐานอะไรอยู่ในมือบ้างจะได้เลือกเดินได้ถูกเกม รู้ว่าควรจะตัดส่วนไหนทิ้งและเลือกเดินไปทางไหนจะได้ไม่เสียหายไปถึงทางฝั่งนั้น แม้การตัดทิ้งที่ว่าจะเสียหายเท่ากับเฉือนขาทั้งสองข้างหรือตัดมือทิ้งก็คงต้องยอม

“หากไม่ได้ข้อมูลนี้ ผมรับปากไม่ได้เหมือนกันว่าพ่อของคุณจะไม่ติดร่างแหไปด้วย” เสียงภาทิศเอ่ยมีแววมืดดำปนร้อนรนจนคนฟังอยู่ต้องมองหน้ากันอีกรอบ รู้สึกอยากหายตัวไปเสียจากตรงนั้น

“ผมกำลังเตรียมการอยู่ อาจจะวันถึงสองวัน ผมต้องดูสถานการณ์ด้วย ต้องรอจนกว่าฝนจะตก คุณมาแสตนด์บายรออยู่ใกล้ๆ ผมจะเคลียร์คนออก แต่ในเรื่องนั้น เราเองต่างไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วหากเป็นการบังคับฝืนใจมันจะใช้การได้แค่ไหน เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

มีเสียงคุยกันสองสามประโยคก่อนจะมีเสียงโทรศัพท์เข้ามา ตามด้วยการบอกลาของคนที่มาทีหลังแต่กลับก่อน ไม่นานภาทิศก็เรียกเก็บเงินและตามออกไปเช่นกัน ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

“แกจะนั่งต่อไหม” มโนชาถามเพื่อน

“ไม่เอา ไม่สนุกตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้ว” เลขาฯ คนปัจจุบันตอบด้วยสีหน้าเซ็งแบบสุดขีด

“อีกคนที่มาแกรู้จักไหม ทำไมฉันรู้สึกว่าเสียงคุ้นยังไงก็ไม่รู้ ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาแอบดู” มโนชาเอ่ยอย่างพยายามนึกว่าเธอเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก

“จะเสนอหน้าออกมาทำไม ไม่โผล่มาน่ะถูกแล้ว เรื่องของเจ้านายเราอย่าไปยุ่งดีกว่า กลับบ้านกันเถอะ หมดสนุกเลย รู้อย่างนี้ไปที่อื่นไกลๆ ดีกว่า”

“คนมันดวงซวยไง ถ้าจะเจอมันก็ต้องเจอ” ไม่รู้ว่าที่ดวงซวยนี่เธอหรือเพื่อนกันแน่

จนจะแยกกันแล้วมโนชายังอดเตือนเพื่อนไม่ได้ เธอเพิ่งจะมาแน่ใจเอามากๆ ว่าภาทิศได้ทำงานเกี่ยวข้องกับนักธุรกิจจีนเทาก็ในตอนที่เฉินเอินถูกยิง และยิ่งแน่ใจเมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น แต่สิ่งที่ติดวนเวียนอยู่ในความคิดคือเสียงอีกคนที่ได้ยิน

มันคือเสียงของใครกัน เธอเคยได้ยินเสียงนั้นมาจากที่ไหน

มโนชาแยกกันกับเพื่อนตรงหน้าร้าน คนหนึ่งกลับรถประจำทางอีกคนกลับรถไฟฟ้าแถมยังไปกันคนละทางก็เลยต่างแยกย้าย ส่วนเพื่อนที่เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งก็รับปากว่าจะรีบหางานใหม่เพราะดูสถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าไม่ดีเอามากๆ

สองเท้าของมโนชาก้าวไปเรื่อยๆ ยังคงคิดทบทวนว่าเสียงใครกันถึงได้คุ้นเคยขนาดนี้ ก็พอดีผ่านมุมตึกซึ่งไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรถยนต์จอดอยู่โดยที่มีคนนั่งอยู่ด้านใน

เพื่อรอเธอ…

มโนชาเบิกตากว้าง กรีดร้องด้วยความตกใจทว่าไร้เสียงใดๆ หลุดเล็ดลอดออกมา รู้ตัวอีกทีเธอก็ถูกดันให้ขึ้นไปอยู่บนรถคู่กันกับเขาที่เบาะหลังพร้อมกับวัตถุโลหะสีดำมันวาวที่เธอเคยได้จับมันเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นอย่างจำใจ คนคนนั้นกำลังหันปืนสั้นจ่อมาที่เธอ

“จังหวะไม่ดีเลยสิใช่ไหม ขนาดหลุดออกมาจากวงโคจรแล้วก็ยังต้องกลับมาจนได้นะซิน ขอโทษด้วยที่ต้องทำอย่างนี้เพราะพี่ถือคติที่ว่ากันไว้ดีกว่าแก้” มโนชาดวงตาลุกวาว ความรู้สึกปนเปกันไปหมดทั้งตระหนกตกใจ ตื่นกลัว และคาดไม่ถึง

“พี่สุ่ยเหอ!”

 



Don`t copy text!